กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 258.1 ยอดบนสุดของเกาะกุ้ยฮวา
เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านลำนั้นจะออกเดินทางในอีกหกวันให้หลัง ส่วนเต่าทะเลภูเขาของตระกูลซุนได้ออกเดินทางไปก่อนแล้ว เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะเห็นรูปร่างของเต่าทะเลภูเขาด้วยตัวเองสักครั้ง แต่พอคิดถึงว่าช่วงนี้มีคนมากมายมารวมตัวกันอยู่ในนครมังกรเฒ่า อีกทั้งเจิ้งต้าเฟิงยังเพิ่งฝ่าทะลุขอบเขต สร้างความครึกโครมใหญ่เทียมฟ้า จึงบอกกับตนว่าอย่าได้สร้างปัญหาให้คนอื่น กลืนใจแห่งความสงสัยใคร่รู้นี้ไปพร้อมกับเหล้าซะ
สองวันถัดมา เด็กหนุ่มตระกูลฟ่านยังคงมาที่ร้านยาฮุยเฉินทุกวัน และจะต้องถือเหล้าหมักกุ้ยฮวามาขอวิชาความรู้จากเจิ้งต้าเฟิง แม้ว่าเจิ้งต้าเฟิงจะเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังนัก แต่เวลาพูดถึงเรื่องวิถีวรยุทธ์กลับเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ถึงแม้ถ้อยคำที่ใช้จะมีลูกไม้ชั้นเชิงเยอะไปบ้าง แต่เฉินผิงอันที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อการฝ่าทะลุขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของเด็กหนุ่มตระกูลฟ่านเวลานี้มาก บอกว่าเป็นคำชี้แนะที่ล้ำเลิศซึ่งมีค่าดุจทองดุจหยกก็ไม่มากเกินไป เพียงแต่ว่าเนื้อหาที่เจิ้งต้าเฟิงอธิบายไม่มีประโยชน์อะไรต่อเฉินผิงอัน สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าทำให้ในใจเฉินผิงอันเกิดข้อสงสัยอีกต่างหาก
เจิ้งต้าเฟิงไม่ถือสาที่เฉินผิงอันมาร่วมรับฟังความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เกี่ยวข้องกับคอขวดของขอบเขตสาม เขาถึงขั้นอยากให้เฉินผิงอันรู้สึกคันยิบๆ ในใจจนอดไม่ไหวกระโดดออกมาถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้เด็กหนุ่มตระกูลฟ่านด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นก็สบายเขาเลยล่ะ ตนจะได้วิ่งไปที่ร้านด้านหน้า ช่วยคลายเหงาให้กับพวกพี่สาวน้องสาวทั้งหลาย น่าเสียดายก็แต่เฉินผิงอันแค่ฟังโดยไม่เอ่ยอะไร เขาแสร้งทำเป็นโง่งม ราวกับไม่ภาคภูมิใจในวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ของตัวเองแม้แต่น้อย นี่ยิ่งทำให้เจิ้งต้าเฟิงไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม ดูเอาสิ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าหลวงจีนเข้าฌาน ยิ่งกว่านักพรตเต๋าที่นั่งลืมตนแบบนี้ จะทำให้เขาเจิ้งต้าเฟิงผู้มีเสน่ห์ รักอิสระเสรีชื่นชอบได้อย่างไรไหว?
หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันถือเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขาเกินครึ่งตัว หากไม่เป็นเพราะได้ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาหนึ่งไหทุกวัน เจิ้งต้าเฟิงก็คงให้เฉินผิงอันม้วนเสื่อหอบผ้าหอบผ่อนไสหัวออกไปจากร้านยาที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาแห่งนี้นานแล้ว ย้ายไปเป็นแขกผู้มีเกียรติที่ตระกูลฟ่านซะ จะห่มหนังพยัคฆ์วางอำนาจบารมีอยู่ที่นั่นอย่างไรก็ตามใจเจ้า
วันนี้พอฟ่านเอ้อร์ได้ฟังคำอธิบายไขข้อข้องใจจากเจิ้งต้าเฟิงจบ ชายฉกรรจ์ก็รีบเผ่นไปหยอกเย้าเล่นสนุกกับพวกหญิงสาวที่ร้าน เด็กหนุ่มจึงหันมาพูดคุยกับเฉินผิงอันแทน คนวัยเดียวกันสองคนนั่งรับลมเย็นๆ อยู่ใต้ชายคา
เมื่อเทียบกับซุนเจียซู่ที่รับภาระสำคัญเป็นประมุขของตระกูลแล้ว คำพูดและการกระทำทุกอย่างของซุนเจียซู่รอบคอบรัดกุม ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมวสันตฤดู เด็กหนุ่มฟ่านเอ้อร์กลับอ่อนเดียงสากว่ามาก แต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดที่ไม่รู้ความทุกข์ยากในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดเสียเลย เด็กหนุ่มฉลาดเฉลียว เปิดกว้างร่าเริง อีกทั้งยังได้รับการอบรมสั่งสอนจากตระกูลมาเป็นอย่างดี มีความเป็นไปได้ว่าพ่อแม่ของเขาเป็นคนใจใหญ่ ดูได้จากชื่อที่ตั้งให้เขา
ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มพูดถึงฟ่านจวิ้นเม่าพี่สาวของตัวเอง น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส ต้องรู้ว่าเขากับพี่สาวมีพ่อเดียวกัน แต่คนละแม่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเกิดมาในตระกูลของผู้สูงศักดิ์ร่ำรวย แต่ฟ่านเอ้อร์กลับยังสนิทสนมกับ ‘แม่ใหญ่’ สตรีที่เป็นประมุขหญิงของตระกูลอย่างมาก มักจะพูดว่ามารดาแท้ๆ ของตนตามใจเขาจนเหลิงเกินไป เป็นเรื่องดีก็จริง แต่น่ากังวลว่าตนจะไม่โตเป็นผู้ใหญ่เสียที แม่ใหญ่รักและเอ็นดูตนมาก แต่ก็เข้มงวดเรื่องกฎระเบียบ แบ่งแยกถูกผิดชัดเจน การเรียนมีความก้าวหน้า ฝึกวรยุทธ์ประสบความสำเร็จ ปฏิบัติต่อคนอื่นวางตัวเข้าสังคมได้ดี แม่ใหญ่จะต้องมีรางวัลให้แล้วบอกว่าทำดีตรงไหน แต่หากทำผิดพลาด แม่ใหญ่ก็จะปฏิบัติต่อตนเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง จะไม่ตวาดสั่งสอนดุด่า แต่จะอธิบายกับเขาอย่างใจเย็น ดังนั้นฟ่านเอ้อร์จึงเคารพรักแม่ใหญ่ผู้นี้จากใจจริง
ฟ่านเอ้อร์ยินดีเล่าเรื่องความทุกข์ความสุขของวัยเด็กหนุ่มกับเฉินผิงอันจากต้าหลีที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
เฉินผิงอันรับฟังคำบอกเล่าของฟ่านเอ้อร์อยู่เงียบๆ อย่างตั้งใจ ตอนแรกฟ่านเอ้อร์ยังเป็นกังวลว่าเฉินผิงอันจะรำคาญ ภายหลังเห็นว่าเฉินผิงอันชอบฟังจริงๆ ฟ่านเอ้อร์ก็อดที่จะดื่มเหล้าเพิ่มอีกหลายคำไม่ได้
ภายหลังเฉินผิงอันเองก็เล่าเรื่องมากมายของหลงเฉวียนบ้านเกิดให้ฟ่านเอ้อร์ฟัง เล่าเรื่องตอนที่เขาเป็นช่างปั้นเครื่องปั้น เล่าเรื่องเวลาขึ้นเขาลงห้วย
คำถามที่ฟ่านเอ้อร์เอ่ยถามหลังจากฟังจบมักจะเติมไปด้วยจินตนาการบรรเจิดเสมอ “เฉินผิงอันเจ้าต้องกินดินด้วยหรือ? อร่อยเหมือนข้าวไหม? ช่างเถอะ ขอแค่ให้อิ่มท้องได้ก็พอแล้ว! เจ้าสอนข้าหน่อยสิว่าดินแบบไหนถึงจะอร่อย วันหน้าเวลาข้าถูกลงโทษให้อดอาหาร ระหว่างที่เดินไปห้องบรรพชนจะได้กำดินไปด้วยกำใหญ่ๆ!”
“เจ้าสามารถเผาเครื่องเคลือบชิ้นหนึ่งด้วยฝีมือตัวเองคนเดียวได้? เฉินผิงอัน วันหน้าเมื่อข้าเข้าพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เจ้าต้องมอบเครื่องปั้นให้ข้าชิ้นหนึ่งนะ แค่ของเล็กๆ อย่างจอกชาจอกเหล้าก็พอแล้ว ไม่ต้องพิถีพิถันมากนัก แค่มีรูปร่างหยาบๆ ที่พอให้คนมองออกว่าเป็นอะไรก็พอ ข้าจะได้เอาไปโอ้อวดให้คนอื่นดู บอกว่าเพื่อนข้าเป็นคนทำเอง พวกเขาต้องอึ้งงัน อิจฉาข้าแทบตายแน่ๆ”
“เพดานฟ้า (เพดานที่เปิดอ้าจนมองเห็นท้องฟ้า) คืออะไร? เวลาฝนตกหิมะตกจะทำอย่างไร? แล้วข้างในบ่อน้ำที่อยู่ตรงกับเพดานฟ้าสามารถเลี้ยงปลา เต่า กุ้ง ปูได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบคำถามฟ่านเอ้อร์ไปทีละข้อ สุดท้ายยิ้มพูดด้วยประโยคที่ทำให้ฟ่านเอ้อร์ดีใจมากที่สุด “ข้ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อหลิวเสี้ยนหยาง ตอนนี้เขาได้ดิบได้ดีแล้วล่ะ เดินทางไกลไปอยู่ทักษินาตยทวีปเพียงลำพัง ไม่ว่าจะเป็นวางกับดักหรือทำธนู เขาก็ล้วนเป็นคนสอนข้า วันหน้าจะแนะนำให้พวกเจ้าสองคนได้รู้จักกัน”
ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับรัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวสาร ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย
เขาเริ่มคิดคำนวณแล้วว่า หากในอนาคตมีวันหนึ่งเฉินผิงอันพาหลิวเสี้ยนหยางมาเป็นแขกที่บ้าน ควรจะจัดหาที่พักอย่างไรให้พวกเขา แต่ละวันจะดื่มเหล้าอะไร กินอาหารอะไร ไปเที่ยวเล่นที่ไหนในนครมังกรเฒ่าบ้าง…
หลังจากนั้นมีวันหนึ่งที่ฟ่านเอ้อร์ไม่ได้มาร้านยาฮุยเฉิน
ยามสนธยาของวันนี้ ร้านยาปิดกิจการแต่หัววัน เฉินผิงอันกับเจิ้งต้าเฟิงกินอาหารเต็มโต๊ะที่สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งทำไว้ให้ในห้องหลักของเรือนด้านหลัง เจิ้งต้าเฟิงอยากจะอาศัยความหล่อเหลาของตัวเองล่อลวงไม่ให้พี่สาวคนนั้นคิดเงิน จะได้มีหน้ามีตาต่อหน้าเฉินผิงอัน คาดไม่ถึงว่าสตรีแต่งงานแล้วจะไม่ไว้หน้า พูดจาอย่างเด็ดเดี่ยวว่าห้ามขาดแม้แต่อีแปะเดียว
เจิ้งต้าเฟิงมือหนึ่งถือตะเกียบ อีกมือหนึ่งถือถ้วย ทั้งกินข้าวทั้งดื่มเหล้าพร้อมกันสองอย่างไม่มีขาด เอ่ยถามชวนคุย “เจ้าคุยอะไรกับเจ้าเด็กตระกูลฟ่านทั้งวันไม่จบไม่สิ้น สนุกหรือไง?”
เฉินผิงอันเคี้ยวอาหารอย่างละเอียดแล้วกลืนลงท้อง วางตะเกียบลง “สนุกสิ”
เจิ้งต้าเฟิงพ่นลมออกจมูก แต่สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหวเปิดปากพูดว่า “ข้าเพิ่งออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาได้ไม่กี่วัน เจ้าก็งมสมบัติได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ? ได้มายังไง ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิ? เหยียบโชคขี้หมาเดินมาตลอดทางจนถึงที่นี่เลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันโต้กลับ “ข้าไม่สนิทกับเจ้า”
เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามามอง “แล้วสนิทกับฟ่านเอ้อร์รึ?”
เฉินผิงอันตอบ “สนิทกว่าเจ้าแล้วกัน”
เจิ้งต้าเฟิงแยกเขี้ยว “ท่านผู้เฒ่ายินดีขายสืออู่ที่เก็บรักษาไว้มานานให้กับเจ้า นับว่าดีต่อเจ้าไม่น้อยเลยจริงๆ”
คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป
ในเมื่อเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนแล้ว เจิ้งต้าเฟิงก็ไม่คิดจะรักษาหน้าตาอะไรอีก เขาถามอีกว่า “แยกเดินทางใครทางมันกับเจ้าคนฉลาดซุนเจียซู่ผู้นั้นแล้วรึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าซุนจื่อผู้นี้มีเงินมาก ไม่คิดจะกู้คืนความสัมพันธ์หน่อยรึ? เป็นเพื่อนกับเขา ต่อให้เป็นแค่เพื่อนกิน วันหน้าเมื่อมาเยือนนครมังกรเฒ่า รับรองเจ้าว่าไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องกินดื่ม”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปนั่นแหละ”
ลังเลอยู่ชั่วครู่ เฉินผิงอันก็เอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “ซุนเจียซู่ไม่ใช่คนเลวร้าย ก็แค่ไม่มีคุณธรรมในบางเรื่องเท่านั้น หากข้าเป็นพ่อค้าคงไม่กล้าทำการค้าใหญ่กับเขา เพราะคนอย่างเขา ไม่ว่าจะกับใครก็ล้วนมีการประเมินราคา ตั้งมูลค่าไว้เสมอ เวลาไหนควรทำการค้าอะไร ซุนเจียซู่ล้วนรู้ชัดเจนดี ต่อให้ความสัมพันธ์จะดีหรือสนิทสนมกันมากแค่ไหน หากถึงท้ายที่สุดแล้วก็เป็นแค่การค้าอย่างหนึ่งเท่านั้น ใครจะรับรองได้ว่าเขาจะไม่ขายคนแลกกับเงิน? ข้าอาจจะมองเขาผิด เข้าใจเขาผิด แต่ไม่ว่าซุนเจียซู่จะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงพูดยิ้มๆ “เขาไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าคิด และแน่นอนว่าไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าคิดด้วย วันหน้าคนผู้นี้จะร้ายกาจมาก วันนี้เจ้าพลาดเขาไป เป็นทั้งความสูญเสียของเขาซุนเจียซู่ แล้วก็เป็นความสูญเสียของเจ้าด้วย ถ้าเจ้าไม่เชื่อ พวกเราก็มาคอยดูกัน”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าหมายถึงความสูญเสียด้านเงินทอง?”
เจิ้งต้าเฟิงยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งตัวยาว “แล้วจะมีเรื่องไหนอีกล่ะ? คนใต้หล้ามาเบียดเสียดอยู่ด้วยกันเพื่ออะไร? ชื่อเสียง ไม่ใช่เรื่องของเงิน? ฝึกตน ไม่ต้องใช้เงินหรือ? ทุกอย่างล้วนใช้เงินทั้งนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ถ้าเป็นแค่เรื่องของเงินก็ยิ่งไม่ต้องคิดมากเลย”
เจิ้งต้าเฟิงเข้าใจความหมายในคำพูดของเฉินผิงอัน ตัดใจจากเงินไม่ได้ แต่ก็ตัดอาลัยจากเงินได้ง่ายที่สุด มองดูเหมือนขัดแย้งกันเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ขัดแย้ง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เส้นทางสายใหญ่ใต้ฝ่าเท้าของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ฝึกตน ล้วนสำคัญที่ความสมดุลระหว่างสองเท้าทั้งสิ้น ขอแค่ทำได้ถึงจุดนี้ ต่อให้กระโดดไปข้างหน้าก็สามารถเดินขึ้นไปถึงบนยอดเขาได้เหมือนกัน
เคยเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แต่แล้วต้องแยกทางกันเดิน ใช่จะแบ่งได้เสมอไปว่าระหว่างเฉินผิงอันกับซุนเจียซู่ใครสูงใครต่ำ ใครดีใครร้ายกว่ากัน ก็แค่เดินไปบนเส้นทางที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับนิสัยจิตใจของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เจิ้งต้าเฟิงมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็แค่ของสิ่งเดียวกัน สำหรับคนหนึ่งเป็นดั่งสารหนู กับอีกคนหนึ่งเป็นดั่งน้ำตาลหวานเท่านั้น หลี่เอ้อร์ชอบ เขาไม่ชอบ แต่ไม่ชอบก็ส่วนไม่ชอบ เพราะเขาจำต้องยอมรับว่า การที่เฉินผิงอันเดินทีละก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ย่อมต้องมีเหตุผลหลักการเป็นของตัวเอง อีกอย่างใต้หล้านี้จะมีคนสักกี่คนที่สามารถเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขาเจิ้งต้าเฟิงได้?
ท่านผู้เฒ่าเป็นได้ แต่ไม่เต็มใจจะเป็น แค่ยอมรับในความสัมพันธ์ฉันท์อาจารย์และศิษย์เท่านั้น ด้วยไม่อยากใคร่ครวญเสียเวลาอยู่กับคำว่ามรรคา
ส่วนเฉินผิงอันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเต็มใจ ทว่าความบังเอิญในโลกก็น่าสนใจอย่างนี้นี่แหละ
เจิ้งต้าเฟิงอดนึกถึงภาพเหตุการณ์บางอย่างที่ลึกล้ำกว่าเดิมขึ้นมาไม่ได้ บางเหตุการณ์อยู่ใกล้จนมองเห็นได้กับตาของตัวเอง บางเหตุการณ์ยังอยู่ห่างไปไกล ชายฉกรรจ์พลันเกียจคร้านหมดความสนใจ จึงตัดสินใจหยุดบทสนทนาที่ไม่มีรสชาติ สู้อาหารบนโต๊ะนี้ก็ยังไม่ได้โดยการเอ่ยว่า “เงินห้าอีแปะที่ติดเจ้าไว้ ข้าจะต้องคืนให้เจ้าก่อนเจ้าจะขึ้นเรือเกาะกุ้ยฮวา และจะคืนให้อย่างยุติธรรม คิดรวมบัญชีไปพร้อมกับการฝ่าทะลุขอบเขตของข้าในครั้งนี้ด้วย ในเมื่อท่านผู้เฒ่าไม่ได้พูดถึงเรื่องผู้ปกป้องมรรคาอย่างชัดเจน อีกทั้งข้ายังไม่รู้สึกว่าตัวเองคือผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคิดว่าไม่มีเรื่องนี้อยู่ อย่างน้อยกับเจ้าเฉินผิงอันก็เป็นเช่นนี้”
เฉินผิงอันไม่มีความคิดเห็นที่แตกต่างจึงพยักหน้ารับ
เจิ้งต้าเฟิงหยิบกระบอกยาสูบโบราณขึ้นมา เริ่มพ่นควันโขมง พอสูบยานานวันเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน รู้สึกว่าไม่เลวเหมือนกัน มิน่าเล่าท่านผู้เฒ่าถึงได้ชอบสูบมันนัก
สายตาของเจิ้งต้าเฟิงฉายความเลื่อนลอย
ตอนนั้นที่ฝ่าทะลุทะเลเมฆ อีกนิดเดียวเจิ้งต้าเฟิงก็เกือบจะมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ฝ่าทะลุสองขอบเขตได้ในวันเดียว แต่ทว่าเจิ้งต้าเฟิงได้เห็นภาพเหตุการณ์หนึ่งเหนือทะเลเมฆเสียก่อน
ทำให้เขาล้มเลิกความคิดนั้น
ระหว่างขอบเขตเก้าและสิบของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว จำเป็นต้องชนประตูสวรรค์ ประตูสวรรค์จากธรรมชาติที่มองเห็นได้ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เจิ้งต้าเฟิงเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุดว่า ประตูสวรรค์ที่ตัวเองมองเห็นต้องไม่เหมือนกับของผู้อาวุโสด้านวรยุทธ์ทุกคนที่ได้เลื่อนขอบเขตสิบไปก่อนแล้วอย่างแน่นอน
ประตูสวรรค์นั้นปรากฏขึ้นแล้วจริงๆ
เพียงแต่ว่าไม่ได้มีแค่ประตูสวรรค์ก็เท่านั้น
—–