กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 259.2 เบื้องบนยอดกลุ่มเขา มีเทพแห่งการต่อสู้
ทวีปเกราะทอง
ซากโบราณสถานสมรภูมิรบโบราณแห่งหนึ่งที่ปราณวิญญาณเบาบางอย่างถึงที่สุด เทวรูปใหญ่ยักษ์มากมายที่ ‘ตอนมีชีวิตอยู่’ สูงหลายสิบจั้งหลายร้อยจั้งล้วนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ไม่มีองค์ใดที่โชคดี ร่างของพวกเขาทอดยาวเรียงรายต่อกันไปประหนึ่งเทือกเขาสายหนึ่งที่แตกสลาย
สถานที่แห่งนี้กลายมาเป็นพื้นที่ต้องห้ามทางธรรมชาติของผู้ฝึกลมปราณในทวีป
มักจะมีพายุลมกรดม้วนตัวขึ้นท่ามกลางฟ้าดินอย่างไม่มีลางบอกเหตุเป็นประจำ สำหรับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าโอสถทองเซียนพสุธาลงมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นไม่ต่างจากคมมีดที่เลาะหนังเถือกระดูก
ตรงพระพุทธรูปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งซึ่งเศษซากล้มกองอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าตอนที่เทวรูปซึ่งอยู่ในท่าจีบดอกไม้คลี่ยิ้มอย่างเมตตาล้มครืนลงไปบนพื้น ท่อนแขนทั้งท่อนยาวเสมอไหล่ได้หักออก ตอนที่ทั้งแขนร่วงลงไปบนพื้น ดอกไม้ที่นิ้วของพระพุทธรูปคีบไว้แตกสลายไปก่อน นิ้วทั้งห้าเหลือแค่สาม มีนิ้วข้างหนึ่งตวัดโค้งงอนชี้ไปบนฟ้า เพียงแค่นิ้วเดียวก็สูงถึงสิบกว่าจั้ง ไม่ต้องคิดก็จินตนาการได้ว่าหากอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ พระพุทธรูปองค์นี้จะสูงใหญ่มากเพียงใด
เด็กสาวสวมชุดขาวเปลือยเท้าคนหนึ่งยืนอยู่บนนิ้ว ตาสองข้างปิดสนิท มือสองข้างทำมุทรา ยืนตระหง่านรับลม
รูปโฉมของเด็กสาวธรรมดา เหมือนเด็กสาวในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่พบเห็นได้ทั่วไปคนหนึ่ง
เด็กสาวไม่ได้ลืมตา แต่ริมฝีปากของนางขยับคล้ายกำลังเอ่ยภาษาท้องถิ่นของทวีปเกราะทองเบาๆ ว่า “เปิด”
พายุหมุนลูกหนึ่งแยกออกเป็นสองส่วนเหมือนถูกคนผ่ากลาง แล้วพุ่งผ่านสองข้างของนิ้วมือหนึ่งของพระพุทธรูปไป มีเพียงเส้นใยถักทอเป็นตาข่ายที่กรีดผ่านข้างแก้มของเด็กสาวไปได้สำเร็จ บนใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยเลือดเป็นเส้นๆ ทันที เพียงแต่ว่าชั่วพริบตาเดียวโฉมหน้าของเด็กสาวก็กลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม
สายลมพัดผ่านเด็กสาว หอบเอากลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ลอยโชยไป
……
น่านมหาสมุทรแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับกุรุทวีป บนยอดเขาขนาดใหญ่ที่ลักษณะของภูเขาคล้ายเหล็กหมาดที่แทงขึ้นฟ้า มีเพียงบนยอดเขาเท่านั้นที่มีแอ่งเว้าทรงกลมลักษณะเหมือนปากถ้วย มองลงไปคล้ายบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง แต่กลับพอจะมองเห็นได้ว่ามีแสงไฟสาดส่องอยู่ตรงผนังบ่อ ตรงกลาง ‘ปากบ่อ’ ของภูเขาไฟที่ยังปะทุลูกนี้มีชายฉกรรจ์ร่างกายเปลือยเปล่าคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนโขดหินสีดำเมี่ยม เท้าคางด้วยมือข้างเดียวท่าทางกำลังใช้ความคิด รอบกายมีเพลิงลาวาไหลริน คลื่นร้อนเดือดพล่านแผดเผา แต่ชายฉกรรจ์กลับไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย
บุรุษเกิดมาก็มีดวงตาดำสองดวงซ้อนกัน
เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย พึมพำพูดว่า “ธรณีประตูขอบเขตร่างทองนี่ฝ่าไปยากไม่น้อย ต้องโทษที่ตัวเองกินยาวิเศษมากเกินไป? สองร้อยจิน? หรือว่าสามร้อยจิน? ดูท่าเมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทองแล้วคงไม่สามารถกินเจ้าของเล่นพวกนั้นแทนข้าวอย่างโง่งมได้อีกแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ถ่ายหนักทุกวันก็ยุ่งยากมากแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงเสียหน้าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกแย่”
กระบี่บินคมกริบเล่มหนึ่งพุ่งจากปากบ่อแทงลงไปด้านล่างอย่างเงียบเชียบ บุรุษร่างกำยำนอนพังพาบอยู่บนพื้น กลิ้งไถลลงไปในทะเลเพลิงอย่างหมดท่า
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตซึ่งมีขนาดไม่ต่างไปจากกระบี่ของมือกระบี่ล่างภูเขาเล่มนั้นยังคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ บินพุ่งไปทั่วรอบผนังของภูเขาไฟอย่างรวดเร็ว ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนกลิ้งหลุนๆ ลงไปในทะเลเพลิง
หากอยู่ในพื้นที่แห่งอื่นของอุตรกุรุทวีป ด้วยตบะของเจ้าของกระบี่บินและระดับความคมกริบของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ เกรงว่าภูเขาทั้งลูกคงถูกแทงทะลุทะลวงไปนานแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ที่แห่งนี้ กระบี่บินที่ฟาดฟันก้อนหินของผนังบ่อกลับได้รับอุปสรรคขัดขวางอย่างยิ่ง
ผู้เฒ่าสวมชุดคลุมยาวที่สะพายกระบี่ยาวไว้ด้านหลังคนหนึ่งยืนอยู่บนปากบ่อภูเขาไฟ หลังจากแทงกระบี่โดนชายฉกรรจ์ที่มีลูกตาดำสองชั้นไปหนึ่งครั้ง เสียงปานฟ้าผ่าของของผู้เฒ่าก็ดังก้องไปถึงด้านล่างของบ่อ “ในที่สุดก็หาตัวเจ้าเจอสักที เจ้าสารเลวสมควรโดนแทงพันครั้ง! เลิกแกล้งตายได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าดวงแข็งยิ่งนัก ไม่เป็นไร เจ้าเป็นคนเลือกสถานที่ตายไร้ทางหลบหนีแห่งนี้เอง หากตายอยู่ที่นี่ ไม่เหลือแม้แต่กระดูกให้ฝัง ไม่แน่ว่าความวอดวายที่ติดตัวเจ้ามาอาจจะลดน้อยลงไปได้หลายส่วน”
ผู้เฒ่ายื่นสองนิ้วออกมาประกบกัน อ้อมไปด้านหลัง ปาดลงบนด้ามกระบี่เบาๆ หนึ่งที
กระบี่ออกจากฝักพุ่งตรงสู่ชั้นเมฆ จากนั้นก็ร่วงลงมาเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว พุ่งจากปากปล่องภูเขาไฟลงไปยังทะเลเพลิงผืนนั้น เมื่อกระบี่ยาวจมลงไปยังลาวาแดงฉาน เสียงกัมปนาทก็สนั่นกึกก้อง ลูกคลื่นเปลวไฟสูงหลายจั้งสาดกระเซ็นไปทั่ว
พอจะเห็นได้ว่าท่ามกลางทะเลเมฆมีเงาร่างที่พร่าเลือนกำลังแหวกว่ายอย่างรวดเร็ว กระบี่ยาวเล่มนั้นก็เป็นเหมือนฉมวกแทงปลาที่ไล่ล่าตามจ้วงแทงไม่ลดละ
สี่ทิศรอบภูเขาไฟ แต่ละทิศล้วนมีคนผู้หนึ่งค่อยๆ เดินขึ้นเขามา มีนักพรตเต๋าวัยชราที่ใช้ยันต์แปะไปบนหินก้อนแล้วก้อนเล่า มีหลวงจีนที่พนมสองมือเป็นตราประทับ จากนั้นก็ตบลงไปบนพื้นเบาๆ มีคนถือม้วนภาพวาดที่ดูเหมือนว่าจะยาวจนไร้ที่สิ้นสุดม้วนหนึ่ง ลากจากตีนเขายาวขึ้นมาด้านบนประหนึ่งปูพรมบนพื้นดิน และยิ่งมีผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวที่ในมือถือพู่กันกำลังสาดหมึกลงไปบนพื้น เขียนประโยคคำสอนของอริยะลัทธิขงจื๊อมากมายหลายประโยค
ผู้เฒ่าบนยอดเขาที่พยายามใช้กระบี่สองเล่มสังหารคนชั่วเอ่ยเย้ยตัวเองว่า “ข้าเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง ไล่ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพที่ยังไม่ถึงขอบเขตเจ็ดคนหนึ่งกลับต้องเปลืองแรงมากถึงขนาดนี้”
พอผู้เฒ่าคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่สำนักของเขาเท่านั้นที่เดือดร้อน ยังมีคนบนภูเขาและล่างภูเขาอีกนับไม่ถ้วนที่ตายไปอย่างอยุติธรรม ในใจของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองท่านนี้ก็เดือดดาลสุดขีด กล่าวอย่างมีโทสะว่า “คนที่ฆ่าผู้อื่นเพื่อความบันเทิงอย่างเจ้า ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย! ตายเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่สาสม!”
……
สองกองทัพเผชิญหน้า เสียงรัวกลองดังสะเทือนฟ้า
ในกองทัพใหญ่แห่งหนึ่ง บนหอสูงที่สร้างขึ้นชั่วคราวมีบุรุษสวมชุดผ้าแพรคนหนึ่งนอนหลับอย่างเกียจคร้านอยู่บนตั่งนอน มองดูแล้วอายุไม่ถึงสามสิบปี มีดรุณีน้อยหน้าตางามล่มเมืองสองคนนั่งอยู่สองด้านของตั่งนอน คนหนึ่งช่วยนวดคลึงจุดไท่หยาง อีกคนหนึ่งก้มตัวทุบน่องให้บุรุษเบาๆ
ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือด้านหลังบุรุษมีธงใหญ่ของแม่ทัพหลักตั้งตระหง่าน เสียงผืนธงสะบัดตามลมดังพั่บๆ
หญิงสาวหน้าตางามล้ำแต่กลับมีกิริยาท่าทางเหมือนสาวใช้คนหนึ่งค่อยๆ ทุบน่องด้านนอกของบุรุษชุดแพรอย่างระมัดระวัง นางชำเลืองตามองสตรีอีกคนหนึ่งแล้วคลี่ยิ้มพูดเสียงหวานว่า “คุณชาย ได้ยินว่าคราวนี้ฝ่ายตรงข้ามมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดคนหนึ่งและผู้ฝึกตนขอบเขตเก้าจากสำนักการทหารคนหนึ่งคอยช่วยคุมกองทัพให้ ดูท่าอดีตสามีของเสียซิ่วเรา คงจะรักเสียซิ่วมากจริงๆ ถึงได้บันดาลโทสะเพื่อสาวงาม ช่างน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งนัก คุณชาย ไม่สู้ท่านคืนเสียซิ่วให้เขาไป กระจกแตกกลับมาประสานกันอีกครั้ง (ปรียบเทียบถึงสามีภรรยาที่พรัดพรากจากกันไป หรือทะเลาะกันกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง) ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ถึงอย่างไร…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีหน้าตางดงามก็ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก “ถึงอย่างไรคุณชายก็ชิมแม่นางเสียซิ่วของเราไปพอสมควรแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่นางยังเป็นคนจิตใจคับแคบ ไม่เคยเต็มใจอยากแบ่งปันความเท่าเทียมกับเหล่าพี่น้อง นี่ไม่เท่ากับทำลายความสำราญของคุณชายหรอกหรือ? ใต้หล้านี้มีสตรีที่ไหนเผด็จการแบบนี้บ้าง”
โฉมสะคราญอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าเสียซิ่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่ใช้นิ้วหัวแม่มือสองข้างกดจุดไท่หยางของชายชุดแพรเบาๆ แล้วหมุนคลึงด้วยท่าทางนุ่มนวลระมัดระวัง
บุรุษชุดแพรยิ้มตาหยี “เสียซิ่วขี้อาย ข้าผู้เป็นคุณชายสงสารนาง ส่วนเจ้านั้นทนรับความลำบากได้ไหว หากข้าผู้เป็นคุณชายเอ็นดูเจ้าอย่างโง่งม เอาแต่สงสารเจ้าท่าเดียว ไม่เข้าอกเข้าใจสตรี เจ้าจะไม่ก่อกบฏหรอกหรือ?”
หญิงสาวที่ทุบขาคลี่ยิ้มเบิกบาน เลิกคิ้วใส่ ‘เสียซิ่ว’ ผู้นั้นเบาๆ
ฝ่ายหลังไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายท้าทายแม้แต่น้อย
บุรุษชุดแพรยกขาขึ้นเบาๆ “ถอดรองเท้าให้ข้า!”
วินาทีนั้นสายตาของหญิงสาวพลันเร่าร้อน ขยับไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตั่งนอน มือทั้งสองข้างที่สั่นเทาขยับปลดรองเท้าหุ้มแข้งให้บุรุษ
บุรุษลุกขึ้นนั่ง ยืดแขนบิดขี้เกียจ “ทวีปฝูเหยาของพวกเราใหญ่กว่าแจกันสมบัติทวีปนั่นแค่หน่อยเดียว น่าเบื่อชะมัด”
เขาเปลือยเท้า ยื่นมือสอดลึกเข้าไปในคอเสียของหญิงสาวที่ชื่อว่า ‘เสียซิ่ว’ สุดท้ายหยิบลูกกลมสีทองที่ยังมีไอร้อนของคนงามออกมาหนึ่งเม็ด บีบเบาๆ บนร่างก็สวมเสื้อเกราะวิเศษสีเงินที่มักถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างของสำนักการทหาร ที่น่าประหลาดก็คือเสื้อเกราะตัวนี้เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล และตรงหัวใจก็ยิ่งมีรูเล็กๆ รูหนึ่งเหมือนเคยถูกกระบี่ยาวแทงทะลุ
บุรุษหนุ่มที่สวมเสื้อเกราะวิเศษไม่รู้ชื่อเดินไปข้างหน้าช้าๆ หลายก้าว แต่แล้วจู่ๆ ก็หันมาพูดกับสตรีที่ชื่อเสียซิ่วด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ว่าเรื่องใดอดีตสามีของเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้ มีเพียงเรื่องเดียวที่ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่อาจตามเขาได้ทัน นั่นก็คือการทำรื่องตลก”
เขายื่นมือข้างหนึ่งชี้ไปยังธงผืนใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ห่างไปไกล มุมปากตวัดโค้ง พูดกับหญิงสาวว่า “ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เชิญผู้ฝึกกระบี่มาแล้วยังจะเชิญผู้ฝึกตนสำนักการทหารมาอีก คุณชายของเจ้าเกือบจะถูกเขาทำให้ขำตายซะแล้ว”
สาวงามที่ถอดรองเท้าให้บุรุษหนุ่มนั่งลงไปบนพื้น เอาหลังพิงตั่งนอน กุมท้องหัวเราะเสียงดัง ฉายเสน่ห์ชวนมอง
บุรุษหันไปทางกองทัพใหญ่ของศัตรู แหงนหน้าหัวเราะดังก้อง “ภรรยาของคนอื่นดี ภรรยาหม้ายของคนอื่นก็ยิ่งดี!”
บุรุษที่สวมเสื้อเกราะวิเศษสีเหมือนน้ำค้างแข็งทะยานตัวขึ้นสูง แหวกอากาศจากไป กระโดดข้ามกองทัพใหญ่ของฝั่งตรงข้าม ลอยตัวอยู่เหนือหัวของกองทัพม้านับพันนับหมื่นนายประดุจสายรุ้งสีขาวที่พาดผ่านกลางนภา
……
ทางทิศเหนือสุดของธวัลทวีป พื้นที่ที่มีหิมะและน้ำแข็งขาวโพลนไร้ที่สิ้นสุด พายุหิมะพัดกระโชกแรงจนมองไม่เห็นดวงอาทิตย์
มีคนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมหนังเตียวสีขาวกระจ่าง บางครั้งเมื่อลมหิมะพัดมาก็จะกระชับเสื้อคลุมให้แน่นเข้า นั่นถึงทำให้เห็นว่าเรือนกายใต้ชุดคลุมเพรียวบาง เบื้องใต้หมวกขนเตียวขนาดใหญ่ที่กดลงต่ำเผยให้เห็นดวงตาใสสว่างคู่หนึ่ง
ตรงเอวของคนผู้นี้ห้อยดาบยาวฝักดำที่เผยให้เห็นเพียงส่วนเล็กๆ
นางมักจะคอยยื่นมือออกมาจากชุดคลุมตัวใหญ่ ใช้นิ้วโป้งลูบด้ามดาบเบาๆ
เผยให้เห็นข้อมือขาวนวลดุจรากบัว ดูเหมือนผิวของนางจะขาวยิ่งกว่าหิมะเสียอีก อีกทั้งยังมีประกายแวววาวเปล่งแสงเป็นระลอก
น่าจะเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง
แต่นางกลับกล้าเดินทางอยู่ท่ามกลางแผ่นดินที่มีเพียงหิมะหนาวเหน็บเสียดแทงขั้วกระดูกเพียงลำพัง นางเดินอยู่ในทิศเหนือสุดของธวัลทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือสุดของเก้าทวีปใหญ่
ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งยังไม่กล้าประมาทมาเดินท่องอยู่ทางทิศเหนือเพียงลำพังแบบนี้
หญิงสาวควักหมั่นโถวลูกหนึ่งที่แข็งราวกับเหล็กออกมากัดกินเบาๆ สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้าตลอดเวลา
พื้นที่ที่หนาวเหน็บสุดขั้วของธวัลทวีปเงียบสงัดไร้ผู้คน แต่มักจะมีปีศาจใหญ่ปรากฏตัวอยู่เป็นประจำ อาศัยสภาพแวดล้อมที่ฟ้าอำนวยดินอวยพรจึงรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด ในบรรดาขอบเขตโอสถ นอกจากผู้ฝึกกระบี่แล้ว ล้วนไม่มีใครยินดีมาที่นี่เพื่อโรมรันต่อสู้กับเหล่าเดรัจฉานปีศาจใหญ่ที่เจ้าเล่ห์ชั่วร้าย หากสร้างความโกรธเคืองให้กับเหล่าปีศาจก็มักจะถูกโอบล้อมโจมตี ถึงเวลานั้นนั่นแหละที่เรียกว่า เรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบอย่างแท้จริง
หญิงสาวหยุดเดิน เพิ่งกินหมั่นโถวลูกนั้นหมดพอดี
ท่ามกลางลมหิมะที่พร่ามัวเบื้องหน้ามีศีรษะขนาดมหึมาของหมาป่าหิมะตัวหนึ่งโผล่ออกมา
เมื่อมันปรากฏตัว พายุหิมะในรัศมีร้อยลี้ล้วนหยุดนิ่ง
หญิงสาวขยับหมวกขนเตียว เงยหน้าขึ้น ยืนคุมเชิงอยู่กับหมาป่าหิมะที่สูงดุจภูเขาลูกย่อม
นางส่งเสียงเรอหนึ่งที
จากนั้นก็ยกดาบขึ้น
ครู่หนึ่งต่อมา ยังไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นในฟ้าดิน นางจึงสอดดาบกลับเข้าฝัก
นางเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง พูดพลางยิ้มบางๆ ว่า “ขอยืมหัวของเจ้าไปใช้หน่อย เอามาแลกเป็นเงินค่าเครื่องประทินโฉม”
เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้เบื้องหน้าหมาป่าหิมะตัวนั้น ร่างของปีศาจใหญ่ถึงจะเหมือนภูเขายักษ์ที่ถล่มครืนลงมา
นางมองศีรษะหมาป่าขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกตัดด้วยดาบเดียวอย่างลำบากใจเล็กน้อย นางจะต้องแบกหัวใหญ่ถึงขนาดนี้กลับไปเองจริงๆ หรือ?
ดังนั้นนางจึงหันกลับไปมองพายุหิมะที่อยู่ห่างไปไกล ยกมือกวักพลางตะโกนเรียก “เจ้า มานี่ ช่วยข้าเอาศีรษะนี้กลับไปที ถ้าเจ้าไม่ตาย ค่าตอบแทนของเจ้าก็คือศพทั้งหมดที่เหลืออยู่ของหมาป่าหิมะ”
หลังจากนั้นหญิงสาวก็เดินทางกลับ ด้านหลังมีวานรย้ายภูเขาตนหนึ่งแบกหัวหมาป่าท่วมเลือดด้วยสองมือเดินตามมา
ต่อให้บริเวณใกล้เคียงกับศพไร้หัวของหมาป่าหิมะจะมีปีศาจใหญ่หลายตนอยากลงมือช่วงชิงมาครอบครองเป็นของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าข้ามเส้นอันตรายออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
……
ใต้หล้าไพศาลมีห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร แต่ละแห่งล้วนมีอาณาบริเวณกว้างขวาง
บนพื้นที่แห่งหนึ่งที่ ‘แผ่นดินยุบตัว’ พังถล่มลงไปก็ได้ถูกทะเลสาบผืนใหญ่ท่วมทับปกคลุม
ใต้ทะเลสาบมีซากปรักหักพังของสนามรบโบราณอยู่หนึ่งแห่ง บุรุษคนหนึ่งกำลังไล่จับวิญญาณวีรบุรุษที่จิตยังไม่ดับสลายแล้วเอาใส่ข้องจับปลาเล็กๆ ที่ห้อยไว้ตรงเอว
……
บนอากาศเหนือมหาสมุทรใหญ่แห่งหนึ่งที่สูงจนเหมือนว่าเพียงเอื้อมมือก็แตะม่านฟ้าของใต้หล้าไพศาลได้ สถานที่แห่งนี้มีทะเลเมฆกลิ้งหลุนๆ แบ่งออกเป็นสองชั้น ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันร้อยกว่าลี้ กลางทะเลเมฆที่อยู่สูงกว่ามีช่องโพรงเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาจนสามารถมองข้ามไปได้โดยตรง ชายชราคิ้วยาวร่างผอมบางนั่งอยู่รูเมฆ ในมือถือคันเบ็ดตกปลาสีเขียวปลั่งราวกับจะคั้นน้ำให้หยดลงมาได้ แต่กลับไม่มีเส้นเอ็นตกปลา
เหนือทะเลเมฆชั้นที่อยู่ด้านล่าง ห่างจากผู้เฒ่ามาประมาณเจ็ดสิบแปดสิบลี้มีปลาวาฬเมฆหมอกฝูงใหญ่ฝูงหนึ่งบินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างรวดเร็ว
ผู้เฒ่าทำท่าโยนสายเบ็ด ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่องพอจะมองเห็นได้รำไรว่ามีเส้นใยสีเงินยวงเส้นหนึ่งห้อยจากปลายบนสุดของคันเบ็ดสีเขียวมรกตลงมา เส้นใยนั้นเล็กบางจนแทบจะมองไม่เห็น
สายเบ็ดรัดพันร่างของปลาวาฬเมฆหมอกขนาดมหึมายาวหลายลี้ตัวหนึ่ง ปลาวาฬเมฆหมอกที่เกิดมาก็มีพละกำลังมหาศาลสะบัดดิ้นอย่างรุนแรง
ผู้เฒ่ากระชากคันเบ็ดไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นยืน คันเบ็ดถูกดึงจนตวัดเป็นวงโค้งน่าตกตะลึง ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไอ้ตัวดี! พละกำลังมากจริงๆ!”
ทั้งสองฝ่ายงัดข้อกันอยู่หนึ่งก้านธูป ผู้เฒ่าที่ถือคันเบ็ดวิ่งกลับไปกลับมาอยู่บนทะเลเมฆพลางสบถด่าไปด้วย มองดูแล้วน่าตลกอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งที่สามารถทะยานลมเดินทางไกลได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นขอบเขตแปด
ต่อให้เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด แต่จะฆ่าปลาวาฬเมฆหมอกสักตัวก็เหลือเฟือ ต่อให้คุมเชิงอยู่กับปลาวาฬเมฆหมอกกลุ่มหนึ่งก็ยังคว้าชัยชนะได้อย่างมั่นคง
แต่ความลี้ลับในการตกปลาของผู้เฒ่าอยู่ที่ว่า เขาใช้ลมปราณที่แท้จริงเฮือกหนึ่งรวบรวมขึ้นเป็นสายเบ็ดตกปลาที่เล็กบางราวเส้นผม ใช้สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวรับมือกับปลาวาฬเมฆหมอกตัวหนึ่งที่มีพละกำลังมหาศาลโดยที่สายเอ็นไม่ขาด นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่น่าตกตะลึงที่สุด
เดิมทีความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็อยู่ที่คำว่าชำนาญอย่างเต็มตัวอยู่แล้ว
……
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง วัตถุขนาดใหญ่มโหฬารที่เคยเป็นหนึ่งในเก้าราชวงศ์ใหญ่แห่งใต้หล้าไพศาลล่มสลายลง ณ บัดนี้ โชคชะตาแห่งแคว้นขาดสะบั้น
โดยทั่วไปแล้วกองกำลังที่สามารถทำให้ราชวงศ์ใหญ่เช่นนี้ล่มสลายได้ มีเพียงบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าเก้าราชวงศ์ใหญ่เท่านั้น
แต่ว่าครั้งนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เมืองที่แคว้นล่มสลาย ท่ามกลางวังหลวงมลังเมลืองที่ควันดินปืนผุดพุ่งไปทั่วทิศมีม้าตัวหนึ่งควบไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า ทุกที่ที่ผ่าน ทหารและแม่ทัพฝ่ายบู๊ต่างก็พากันถอยกรูดหลบทางให้ราวกับกระแสน้ำลง
ม้าตัวนี้ควบตรงไปยังตำหนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปเก้าทวีป
ม้าศึกไม่ได้เยาะย่างลงบนบันไดสองฝั่งของผนังมังกรเข้าไปในตำหนักใหญ่ แต่กีบม้ากลับเหยียบย่ำลงบนภาพผนังมังกรโดยตรง ราวกับม้าป่าตัวหนึ่งที่เดินขึ้นเนินเขาที่ลาดเอียง
คนที่ขี่ม้ามีเรือนกายสูงใหญ่ สวมเสื้อเกราะสีทองอร่าม และสวมหน้ากากอำพรางใบหน้า
ในมือถือทวนยาวเล่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยอักขระยันต์ มีแสงสีทองไหลเวียนวน เมื่อเทียบกับทวนเหล็กของขบวนรบทั่วไปถือว่ายาวกว่ามาก
ม้าที่ควบขี่คือม้าหลงจวีที่เป็นทายาทของเจียวหลง ลักษณะไม่ธรรมดา หาได้ยากยิ่ง
แม่ทัพที่ขี่ม้าผู้นี้ยังห้อยกระบี่ไร้ฝักไว้ตรงเอวเล่มหนึ่ง กระบี่ยาวไร้ประกายคมกริบ มีแต่สนิมเกาะเกรอะกรัง ตัวอักษรเล็กๆ โบราณสองตัวที่พร่าเลือนสึกกร่อนแทบไม่เหลือสภาพดี
ก่อนหน้าที่ม้าจะควบเข้าไปในตำหนักใหญ่ จู่ๆ แม่ทัพฝ่ายบู๊ที่สร้างคุณความชอบในการทำลายแคว้นผู้นี้ก็ยกแขนขึ้นสูง ชูนิ้วกลางขึ้นไปยังกลางอากาศสูง
แม่ทัพม้าทำท่านี้แล้วก็คล้ายรอการตอบรับจากท้องฟ้า แต่หลังจากดึงบังเหียนม้าให้หยุดนิ่งด้วยท่าทางสบายๆ ครู่หนึ่งก็กระแทกท้องม้าเบาๆ หนึ่งที เดินหน้าต่ออีกครั้ง เมื่อกีบม้าข้ามผ่านธรณีประตูตำหนักใหญ่เข้าไป สุดปลายสายตาที่แม่ทัพผู้นี้มองเห็นก็คือบัลลังก์มังกรที่ถูกขนานนามให้เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในใต้หล้าตัวนั้น
แม่ทัพบู๊ก้มหน้าลงมองกระบี่ยาวไร้ฝักหนึ่งที
ได้ยินว่าฝักกระบี่หายไปในสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีป ตนควรจะให้คนไปเอากลับมา หรือควรจะไปด้วยตัวเองดี?
แม่ทัพผู้นี้ปลดหน้ากากและหมวกเหล็กลง
เส้นผมสีดำขลับทิ้งตัวสยายยาวเหยียด
นาง ไม่ใช่เขา
สตรีผู้เป็นเทพแห่งการต่อสู้
—–