กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 261.1 ดวงจันทร์เหนือมหาสมุทร
ตอนที่ฟ่านเอ้อร์เดินออกจากตรอก หญิงสาวชุดเขียวที่อายุยังน้อยคนนั้นก็เดินเข้าไปในร้านยาฮุยเฉินแล้ว
เมื่อนางเดินเข้าไปร้าน เหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ที่กำลังประชันความงามกันก็พลันสีหน้าหม่นหมอง พวกนางหันมามองหน้ากันเอง เมื่ออยู่ห้องเดียวกับหญิงสาวผู้นี้ ความละอายใจที่ตนเองสู้ไม่ได้พลันบังเกิดขึ้นมาในใจของพวกนาง
เมื่อเทียบกับความเกรงใจมีมารยาทของฟ่านเอ้อร์แล้ว สตรีผู้นี้ไม่ได้เป็นกันเองหรือเข้าถึงง่ายขนาดนั้น นางก้าวยาวๆ ไปตรงม่านไม้ไผ่ เดินเข้าไปในเรือนด้านหลัง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีผู้หญิงในร้านยาคนไหนกล้าส่งเสียงห้ามปราม
เจิ้งต้าเฟิงกำลังนั่งสูบยาอยู่บนขั้นบันไดหน้าห้องหลัก
หญิงสาวสวมชุดเขียวกวาดตามองไปรอบด้าน ยกมือขึ้นกวักหนึ่งครั้ง ม้านั่งตัวเล็กตัวหนึ่งก็พุ่งจากใต้ชายคาห้องปีกข้างมาปรากฎอยู่ด้านหลังนางในเสี้ยววินาที แล้วนางก็นั่งลงเริ่มดื่มเหล้า
แน่นอนว่าเจิ้งต้าเฟิงต้องรู้จักคนผู้นี้ บุคคลแรกที่เขาได้พบเจอหลังจากลงใต้มาถึงนครมังกรเฒ่าก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลฟ่านที่ชื่อเสียงไม่โด่งดัง ฟ่านจวิ้นเม่าผู้นี้
ห้าสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าได้แก่ฝู ซุน ฟาง โหว ติง
ไม่พูดถึงฝูฉีเซียนพสุธาและตระกูลฝูที่ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนสี่ชิ้น ตระกูลซุนมีชื่อเสียงเรื่องรากฐานลึกล้ำ มีเซียนพสุธาก่อกำเนิดคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์
ตระกูลฟางที่แม้ว่าจะไม่มีก่อกำเนิดคอยสร้างความยำเกรงให้แก่ฝูงชน แต่กลับมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ดสองคนและผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าโอสถทองอยู่คนหนึ่ง ราชวงศ์ด้านล่างภูเขาทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะในยุทธภพ ตระกูลฟางมีพลังอำนาจสูงสุด มีโรงรับจำนำ สำนักคุ้มกันภัย ร้านค้าโรงเตี๊ยมจำนวนมากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เมื่อเทียบกับตระกูลฝูและตระกูลซุนแล้ว ตระกูลฟางได้รับผลประโยชน์น้อยนิดราวหัวแมลงวัน ใช้วิธีการสะสมจากน้อยจนกลายเป็นมาก
พลังการต่อสู้ขั้นสูงสุดของตระกูลโหว เหล่าเค่อชิงข้ารับใช้ห้าขอบเขตกลางเหล่านั้นไม่ทำให้พวกเขาได้เปรียบใดๆ แต่มีบุตรอนุภรรยาคนหนึ่งที่ออกจากบ้านไปนานหลายปีได้กลายเป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหู แม้ว่าหลังจากที่ออกจากบ้านไปแล้ว นักปราชญ์ผู้นั้นจะไม่เคยหวนคืนกลับบ้านเกิดมากราบไหว้บรรพบุรุษ แต่ตระกูลโหวก็ได้รับผลประโยชน์ลึกล้ำจากเรื่องนี้ ทุกปีจะต้องส่งคนไปเยี่ยมเพื่อคารวะสวัสดีปีใหม่ที่สำนักศึกษากวานหู
ตระกูลโหวนอกจากเรือข้ามฟากที่จะเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวแล้ว ยังมีเส้นทางการเดินเรือจากนครมังกรเฒ่าไปยังอุตรกุรุทวีปมากที่สุด ระยะทางส่วนใหญ่ล้วนไม่ยาวไกล มีตั้งแต่หลายหมื่นลี้ไปจนถึงสามแสนลี้ ยกตัวอย่างเช่นเส้นทางมังกรเดินที่สุดปลายทางทิศเหนืออยู่ที่แคว้นซูสุ่ยสายนั้น ตระกูลโหวก็ยึดครองไปแล้วถึงครึ่งหนึ่ง หลายพื้นที่รวมๆ กันแล้วก็มากพอไม่ให้ใครมาดูถูกได้
ตระกูลโหวมีความสัมพันธ์กับตระกูลเซียนมากมายทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป เมื่อผ่านการดำเนินการอย่างยากลำบากมานานเกือบสองร้อยปี ก็สามารถช่วยประคับประคองช่วยเหลือสำนักบนภูเขาของที่แห่งนั้นได้หลายแห่งแล้ว
เดิมทีตระกูลติงเกือบจะถูกตัดชื่อออกจากห้าแซ่ใหญ่ เพราะถูกตระกูลหนึ่งที่ช่วงร้อยปีที่ผ่านมาลุกผงาดอย่างรุ่งเรืองคอยจ้องเขม็งหมายเข้ามาแทนที่ โดยเฉพาะเมื่อตอนนั้นตระกูลติงสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับฉู่หยางบุคคลอันดับหนึ่งในขอบเขตโอสถทองของนครมังกรเฒ่า ซึ่งก็คือบุคคลที่สร้างกระท่อมฝึกตนใกล้กับหอมังกร พลังต้นกำเนิดจึงเสียหายอย่างหนัก อำนาจและชื่อเสียงร่วงดิ่งลงเหว
แต่เวลานี้เอง คนหนุ่มผู้หนึ่งที่มาจากทวีปใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้กลับมาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ตอนแรกที่เขาเข้ามาในนครมังกรเฒ่าอยู่ในสภาพตกอับชวนเวทนา มาถึงท้ายที่สุดก็ไม่สามารถสร้างริ้วคลื่นใดๆ ให้เกิดขึ้นในนครมังกรเฒ่าได้ ก่อนจะออกไปจากนครมังกรเฒ่าก็ยังคงตกอับอยู่ดี
ทว่าในช่วงเวลาที่ตระกูลติงกำลังจะเสื่อมถอยล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิง คนหนุ่มผู้นี้กลับมาถึงนครมังกรเฒ่าทันเวลา พาคนและเงินมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้กับตระกูลติง ถึงท้ายที่สุดก็แค่พาหญิงสาวคนหนึ่งจากไปด้วยเท่านั้น
เวลานั้นนครมังกรเฒ่าถึงเพิ่งรู้ว่าคนหนุ่มก็คือลูกศิษย์สายตรงของตระกูลเซียนที่ชื่อมีคำว่าสำนักระดับใหญ่สุดในอาคเนย์ใบถงทวีป วัยวุฒิของเขาสูงมากเป็นพิเศษ
หลังจากนั้นตระกูลติงที่อาศัยเส้นสายในใบถงทวีปจึงเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา พอจะมีวี่แววว่าสามารถงัดข้อกับตระกูลซุนได้
มีเพียงตระกูลฟ่านที่ไม่อุ่นไม่ร้อน ไม่เคยดึงความสนใจจากใครได้
ในตระกูลไม่มีทั้งบุรพาจารย์ขอบเขตสิบก่อกำเนิด แล้วก็ไม่มีโอสถทองที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถลงมือให้ความช่วยเหลือได้อย่างแท้จริง ยิ่งไม่มีเด็กรุ่นหลังที่พรสวรรค์เลิศล้ำ แต่ไหนแต่ไรมาก็เอาแต่ตามติดตระกูลฝูทุกย่างก้าว อาศัยร่มเงาใต้ต้นไม้ใหญ่ อาศัยความสัมพันธ์ชั้นนี้จึงพอจะรักษาตำแหน่งหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่เอาไว้ได้
ดังนั้นตระกูลโหวที่มีความขัดแย้งกับตระกูลฟ่านถึงกล้าพูดว่าตระกูลฟ่านเป็นแค่สุนัขเฝ้าบ้านให้กับฝูฉีเจ้านคร คอยกินของเหลือเดนจากคนอื่นปีแล้วปีแล้ว กินไม่อิ่มแต่ก็ไม่หิวตาย เจ้าประมุขแต่ละรุ่นล้วนไร้ปณิธานยิ่งใหญ่ นอกจากเรื่องกินแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นอีก
ส่วนเจ้านครกลับยอมรับมาโดยตลอดว่าตระกูลฟ่านคือหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของนครมังกรเฒ่า แต่คนส่วนใหญ่ของนครมังกรเฒ่ากลับคิดว่าตระกูลติงเป็นตระกูลใหญ่สมชื่อมากกว่า ตระกูลฟ่านไม่ควรอยู่ในลำดับนี้ด้วย และอันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง
เจิ้งต้าเฟิงจ้องหญิงสาวชุดคลุมยาวสีเขียวที่นั่งดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์ห่างไปไม่ไกลผ่านกลุ่มควัน
สำหรับคนผู้นี้ ท่านผู้เฒ่าไม่ได้พูดถึงรากฐานของนางอย่างละเอียด บอกแค่ว่าเมื่อมาถึงนครมังกรเฒ่าให้มาหานางก่อน แค่ทักทายให้เห็นหน้ากันก็พอ จากนั้นถึงค่อยไปพูดคุยเรื่องการค้ากับฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่า
เจิ้งต้าเฟิงเคยชินกับความลึกลับคลุมเครือของผู้เฒ่ามานานแล้ว สูบยาสูบเป็นเช่นนี้ การกระทำของเขาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงคร้านจะสืบสาวราวเรื่องเกี่ยวกับสตรีที่ชื่อว่าฟ่านจวิ้นเม่า ตอนนั้นเขาใช้ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขั้นแปดไปสังเกตฟ่านจวิ้นเม่าก็เห็นแค่ว่านางเป็นผู้ฝึกตนอ่อนเดียงสาที่ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ตอนนี้พอเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าแล้วลองมองประเมินนางอีกครั้ง เจิ้งต้าเฟิงค้นพบว่าตอนนั้นตนมองผิดไป ฟ่านจวิ้นเม่าในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง
หญิงสาวเอาแต่ดื่มเหล้าไม่พูดไม่จา
เจิ้งต้าเฟิงจึงเงียบงันไปพร้อมกับนางด้วย ถึงอย่างไรหญิงสาวก็หน้าตาสะสวย เขาที่เป็นคนมองย่อมได้เปรียบ
แต่แล้วจู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็ส่งเสียงจุ๊ๆๆ ดังเป็นระลอก “ร้ายกาจๆ เมื่อก่อนมักรู้สึกว่านครมังกรเฒ่าไม่ได้มีคนและเรื่องราวประหลาดเยอะอย่างเมืองเล็ก วันนี้ในที่สุดก็ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ แล้ว”
ที่แท้ตอนที่ ‘ฟ่านจวิ้นเม่า’ ผู้นั้นดื่มเหล้าก็ได้เลื่อนขอบเขตสู่ขั้นสิบก่อกำเนิด กลายเป็นเซียนพสุธาในสายตาของชาวโลกด้วยเวลาเพียงครู่เดียว
แม้ว่านางจะพยายามกดข่มเบาะแสที่จะบอกให้รู้ว่าตัวเองฝ่าทะลุขอบเขตไว้อย่างเต็มกำลังแล้ว แต่เจิ้งต้าเฟิงก็ยังจับเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ได้ ในใจจึงทอดถอนใจด้วยความชื่นชมไม่หยุด
เขาแน่ใจอย่างยิ่งแล้วว่า
ผู้เฒ่าต้องคิดอยากได้ตัวคนผู้นี้อย่างแน่นอน
ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจเป็นหนึ่งในผู้ที่จะตัดสินแพ้ชนะในใจของผู้เฒ่ามานานแล้วก็เป็นได้
ในที่สุดฟ่านจวิ้นเม่าก็เปิดปากพูดประโยคแรก “วันหน้าเมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่า เจ้าต้องฟังคำสั่งจากข้า”
เจิ้งต้าเฟิงขมวดคิ้ว
หญิงสาวชุดเขียวลุกขึ้นยืนพลางหัวเราะเสียงหยัน จากนั้นก็ทำท่าทางหนึ่งที่ประหลาดอย่างถึงที่สุด นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วทำท่าขว้างออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าน่าสะพรึงกลัว ใช้สองมือทำท่าจิ้มเข้าที่หัวใจของเจิ้งต้าเฟิงเบาๆ พูดเนิบช้า “สวบ ตายแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นยืน นาทีนี้เขาไม่ใช่เถ้าแก่ร้านยาที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกแล้ว
แต่เป็นเจิ้งต้าเฟิงที่ร่วมศึก ‘ขอตาย’ ห้าครั้งกับหลี่เอ้อร์ อดีตคนเฝ้าประตูที่เคยสังหารคนที่มาค้นหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์หลีต้าหลีอยู่นอกประตูเมืองเล็กไปหลายสิบคน
หญิงสาวยิ้มบางๆ “ตอนนี้ข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้”
แต่ไม่นานนางก็เอ่ยเสริมเสียใหม่ว่า “แค่ชั่วคราว”
จากนั้นร่างทั้งร่างของนางก็กลายเป็นควันสีเขียวเข้มที่พุ่งไปยังชั้นเมฆ ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลเมฆ
นาทีถัดมานางนั่งอยู่ริมทะเลเมฆ สองเท้าที่ห้อยอยู่กลางอากาศแกว่งเบาๆ เป็นเหตุให้ทะเลเมฆทั้งผืนกระเพื่อมขึ้นลงตามไปด้วย เหมือนเด็กสาวชาวบ้านที่นั่งไกวชิงช้า นางดื่มเหล้ามองไปทางมหาสมุทรผืนใหญ่
ดวงจันทร์ส่องแสงอยู่เหนือมหาสมุทร
ในดวงตาที่ใสกระจ่างของหญิงสาวซึ่งกำลังชมทัศนียภาพมองเห็นเป็นภาพนี้
……
ฟ้าเพิ่งจะสางเฉินผิงอันก็ออกมาฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านขนาดเล็กแล้ว ระหว่างฟ้าดินเงียบสงัด มีเพียงแสงรุ่งอรุณที่นอนแผ่อยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างเกียจคร้าน
รอจนหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่โอสถทองผลักประตูออกมา เฉินผิงอันก็เดินนิ่งเสร็จสิ้นแล้ว เขานั่งอยู่บนโต๊ะหินพลิกเปิดตำรา ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ออกอ่าน อันที่จริงระหว่างที่เฉินผิงอันฝึกหมัด เขาไม่เคยละเลยการเรียนหนังสือ มีทั้งหนังสือเบ็ดเตล็ดที่ตัวเองซื้อมาระหว่างทาง แล้วก็มีบันทึกท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำที่ ‘ขโมย’ มาจากห้องหนังสือจวนเจ้าเมืองแคว้นไฉ่อี แน่นอนว่ายังมีตำราพื้นฐานลัทธิขงจื๊อที่ซิ่วไฉเฒ่ามอบให้ บวกกับประสบการณ์การเดินทางร่วมกับลูกศิษย์ชุยตงซานทำให้เขาเข้าใจคำว่าคัมภีร์ที่แท้จริงมานานแล้วว่าไม่ได้เรียบง่ายตามที่พูดกันทั่วไปเท่านั้น เพราะการที่ตำราเล่มหนึ่งถูกเรียกว่าเป็นคัมภีร์ได้นั้น ถือเป็นคำเรียกขานที่ยิ่งใหญ่มาก จะถูกยกให้เป็นสุดยอดแห่งตำราที่มีชื่อเสียงระดับโลก และยิ่งเพิ่มคำว่าแท้จริงเข้าไปก็ยิ่งร้ายกาจเข้าไปใหญ่
แม้ว่ามองดูเหมือนเจิ้งต้าเฟิงจะเป็นคนที่หาแก่นสารอะไรไม่ได้ แต่กับเรื่องบางเรื่องเขากลับไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย
เจิ้งต้าเฟิงไม่ชอบเฉินผิงอัน แล้วเฉินผิงอันหรือจะชอบคนเฝ้าประตูเมืองเล็กผู้นี้?
ทว่าคนทั้งสองที่เกลียดขี้หน้ากันไม่ได้หมายความว่าจะมองเห็นแต่จุดที่น่ารังเกียจของอีกฝ่าย คนสองคนที่ชื่นชอบกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมองเห็นแต่จุดที่ดีของกันและกัน
ก็เหมือนกับกู้ช่าน อายุยังน้อยแต่กลับเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ เฉินผิงอันกลัวมากว่าเมื่อเขาไปอยู่ที่ทะเลสาบเจี่ยนซู ติดตามใกล้ชิดกับสกัดคงคาเจินจวิน-หลิวจื้อเม่านานวันเข้า สุดท้ายกู้ช่านจะกลายไปเป็นคนในแบบที่ตนรังเกียจที่สุดตอนยังเป็นเด็ก หลี่ไหว ตอนที่เพิ่งออกจากเมืองเล็ก เขาคือต้นฉบับของเด็กเอาแต่ใจที่เก่งแต่ในบ้าน ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว? เวลาที่สหายถูกรังแก เขาจะกล้ายืดอกปกป้อง แตกต่างจากตอนเดินทางไกลไปยังต้าสุยก่อนหน้านี้ที่เอาแต่หลบเลี่ยงอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันหรือไม่? หลินโส่วอี แม้ว่าจะสุขุมเกินวัย คือวัตถุดิบชิ้นเยี่ยมในการฝึกตน มุ่งมั่นอยู่กับการฝึกตนไปตลอดทาง เฉินผิงอันก็ยังกังวลว่าการมุ่งมั่นฝึกตนเป็นเรื่องดี แต่หากคิดถึงแค่เรื่องการฝึกตนอย่างเดียว เมื่ออยู่ต่อหน้ามหามรรคา แม้แต่สหายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหว จะถูกหลินโส่วอีมองเป็นเพียงอุปสรรคขัดขวาง เป็นเหตุให้เขาไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ยิ่งนานวันทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งห่างเหินกัน ถ้าเป็นแบบนั้นจะทำอย่างไร?
ยังมีเพื่อนรักของเขาอย่างหลิวเสี้ยนหยาง เมื่อนานมาแล้วอีกฝ่ายเคยป่าวประกาศว่าตัวเองจะต้องได้เห็นภูเขาที่สูงที่สุด เห็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดนอกบ้านเกิด ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่ยอมตายอยู่ในเมืองเล็กเด็ดขาด ถ้าเช่นนั้นหากหลิวเสี้ยนหยางเห็นภูเขายิ่งใหญ่และทัศนียภาพบนภูเขามาจนชินตาแล้ว เขาจะไม่เต็มใจกลับบ้านเกิดหรือเปล่า?
เฉินผิงอันมักจะมีความกังวลเช่นนี้อยู่เสมอ ดังนั้นเขาถึงได้รู้สึกอิจฉาความไร้ทุกข์ไร้กังวลของฟ่านเอ้อร์จากใจจริง
เฉินผิงอันไม่ค่อยเหมือนกับเพื่อนบ้านซ่งจี๋ซินและหม่าขู่เสวียนสักเท่าไหร่ คนทั้งสองถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่พอโบยบินแล้วก็ต้องทะยานสู่ฟ้าสูง หากเป็นของดีที่พวกเขาได้พบเห็นแต่ไม่อาจได้มาครอบครอง ซ่งจี๋ซินอย่างมากก็แค่พูดแดกดันถากถาง ส่วนหม่าขู่เสวียนที่หากอารมณ์ไม่ดีก็อาจจะต่อยให้แหลกละเอียดด้วยหมัดเดียว ในเมื่อข้าไม่ได้มาครอง เจ้าก็อย่าหวัง
เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลง พลิกเปิดตำรากระบี่ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ที่เจิ้งต้าเฟิงตั้งชื่อให้ชั่วคราวเล่มนั้นต่ออีกครั้ง
หากบอกว่าคัมภีร์ที่แท้จริงคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถ้าอย่างนั้นเวทกระบี่ก็เป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก เพราะเวทกระบี่คือทักษะการโจมตีที่ผู้ฝึกยุทธ์มือกระบี่เรียนรู้ และมักจะมีแค่ผู้ฝึกกระบี่ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณเท่านั้นที่สามารถกล่าวถึงคำว่าวิถีกระบี่ได้ เทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่ถูกหม่าขู่เสวียนต่อยตาย อริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ย-ซ่งอวี่เซา ราชันกระบี่แคว้นกู่อวี๋-หลินกูซาน เซียนกระบี่แคว้นซงซี-ซูหลางล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ล่างภูเขา ซึ่งจะถูกนับรวมเป็นคนในยุทธภพ ไม่ถูกคนบนภูเขามองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน
ส่วนเจ้าคนที่สวมงอบ ตรงเอวห้อยดาบไม้ไผ่ผู้นั้นคือข้อยกเว้น ทั้งๆ ที่ตัวเองคือผู้ฝึกกระบี่ที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้า แต่กลับชอบเรียกตัวเองว่ามือกระบี่ ชอบพเนจรร่อนเร่ไปทั่วยุทธภพ
ตำรากระบี่เล่มนี้บันทึกเวทกระบี่ไว้แค่หกกระบวนท่า โจมตีและป้องกันมีอย่างละสองท่า ท่าจู่โจมคือกระบวนท่าหิมะทลายและท่าสยบเสินโถว กระบวนท่าป้องกันได้แก่ท่าขุนเขาและท่าห่มเกราะ อีกสองกระบวนท่าที่เหลือคือเวทกระบี่ที่ใช้หล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของมือกระบี่ ไม่ได้ใช้สังหารศัตรู แต่ใช้บำรุงร่างกาย หนึ่งคือหล่อหลอม สองคือเข้าฌาน หล่อหลอมนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับท่าเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา เข้าฌานคล้ายคลึงกับท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู หนึ่งขยับหนึ่งนิ่ง
ในบรรดาเวทกระบี่ทั้งหกท่านี้ เฉินผิงอันชอบกระบวนท่าหิมะทลายมากที่สุด การออกกระบี่รวดเร็วฉับไว คนขยับตามกระบี่ คล้ายพายุหิมะที่ซัดตลบปั่นป่วนจนคนมองตาลาย
—–