กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 262.2 มีกระบี่พุ่งมาจากทะเลเมฆ
ช่างห้าวหาญยิ่งนัก! หากเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ดทั้งหลาย หรือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตแปดที่ซ่อนเร้นตัวอยู่ในนครมังกรเฒ่ามานาน เพราะผ่านการหล่อหลอมมานับร้อยนับพันรอบนานหลายสิบปีหรืออาจถึงหลายร้อยปี ผ่านศึกสุดยอดที่เจ้าไม่ตายข้าก็ม้วยมาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงได้มีท่วงท่าน่าตะลึงเช่นนี้ก็คงว่าไปอย่าง แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้อายุเท่าไหร่กันเชียว?
หม่าจื้อไม่รู้ว่าวันนี้ตัวเองตกตะลึงเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
จิตใจของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่กับสิ่งที่เผชิญอยู่อย่างเต็มที่ เบื้องหน้าไม่มีกระบี่บินเหลียงอิน ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองอะไรอยู่อีกแล้ว
มีเพียงผู้เฒ่าเปลือยเท้าในเรือนไม้ไผ่ที่ส่งเสียงหัวเราะอย่างเหี้ยมอำมหิต กลิ่นอายแห่งความเป็นวีรบุรุษแผ่พลุ่งพล่านไปทั่ว ต่อยให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายครั้งแล้วครั้งเล่า ด่าเขาว่าเป็นสตรีไม่ได้เรื่อง แถมยังสอดแทรกคำพูดจากใจที่ผู้เฒ่าไม่ได้พูดให้เขาเฉินผิงอันฟัง แต่พูดให้ฟ้าดินฟังอยู่เป็นระยะ
หมัดนี้ปล่อยออกไปเพื่อต่อยให้เทพที่เยื้องกรายลงมาอวดอ้างบารมีฟ้ากลับสวรรค์!
จะต่อยให้ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง จนต้องใช้หมัดของข้ามาค้ำฟ้ายันดิน!
เฉินผิงอันหลุดปากพูดไปว่า “เชิญออกกระบี่!”
ได้ยินคำพูดที่ฟังเหมือนท้าทายจากเด็กรุ่นหลังอย่างเด็กหนุ่ม ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไร้สีหน้าไม่สบอารมณ์ พอจิตของเขาขยับ กระบี่บินเหลียงอินก็เปลี่ยนจากของจริงมาเป็นภาพมายา ประหนึ่งทหารม้าที่บุกขึ้นหน้าบุกเบิกที่ดินให้กับกษัตริย์
เฉินผิงอันหน้าซีดขาวเล็กน้อย กำมือสองข้างเป็นหมัดแน่น ท่าหมัดเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย กระทืบเท้าหนักๆ ออกมาหนึ่งครั้ง
พื้นดินในลานบ้านสั่นไหวเล็กน้อย ปณิธานหมัดทั่วร่างเหมือนขุนเขาสูงตระหง่านที่ฝังรากหยั่งลึกลงไปในพื้นดิน
หม่าจื้อขมวดคิ้วน้อยๆ สองนิ้วของผู้เฒ่าประกบกันแล้ววาดลงไปบนร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ ประหนึ่งผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้กระบี่เล่มยาวตั้งท่าจะแหวกหน้าอกผ่าท้องของศัตรู
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง กัดฟันแน่นจนแก้มพองโป่ง ท่าหมัดเปลี่ยนไปอีกครั้ง ยังคงเป็นกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ เพียงแต่ว่าเริ่มขยับตัวหดเข้ามา เท้าทั้งสองข้างห่างจากกันแค่เพียงเล็กน้อย
ขณะเดียวกันปณิธานกระบี่ทั้งหมดที่ไหลออกไปข้างนอกร่างก็หดกลับเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งสองมือที่ยกขึ้นพนมประกบกันตบแมลงวันตัวหนึ่งให้ตาย
“ประมาทเช่นนี้ ไม่ฉลาดเลยนะ”
หม่าจื้อหัวเราะเสียงเย็น ตวัดสองนิ้วที่ประกบกันขึ้นด้านบน แอบเพิ่มน้ำหนักปณิธานกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้มากขึ้น
ไหล่ของเฉินผิงอันส่ายไหวเล็กน้อย ปล่อยหมัดหนึ่งออกไปอย่างว่องไว ปณิธานหมัดไหลเชี่ยวกรากพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ต่อยให้ร่มเงาของต้นกุ้ยบรรพบุรุษที่มาปกคลุมปรากฎการณ์ในเรือนเล็กเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ที่แท้มันเป็นเหมือนม่านน้ำที่มาห่มคลุมอยู่กลางอากาศเหนือเรือนกุยม่าย พอถูกพายุหมัดพุ่งกระแทกดังครืนครั่นก็เกิดริ้วกระเพื่อมเป็นระลอก เป็นเหตุให้ภาพด้านนอกของเรือนเล็กเริ่มพร่าเลือนตามไปด้วย
ผู้เฒ่าสบถในใจอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองที่ยิ่งใหญ่อย่างข้าจะสอนผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่เล็กๆ คนหนึ่งไม่ได้!”
ผู้เฒ่าถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าจริงจัง เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งทำมุทรากระบี่ พูดเสียงเฉียบขาด “เฉินผิงอัน การประลองกระบี่ที่แท้จริงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว! ระหว่างที่กระบี่บินอินเหลียงเปลี่ยนจากมายาเป็นของจริงจะทุบตีหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าไปพร้อมกันด้วย จงตั้งใจรับมือกับศัตรูให้ดี!”
เด็กหนุ่มสีหน้าเด็ดเดี่ยว เขาไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแค่เก็บท่าหมัดโบราณนั้นลง ก้าวถอยไปด้านหลังช้าๆ ทุกการกระทำคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติดุจเมฆเคลื่อนคล้อยน้ำไหลริน มองแล้วเพลินตา
ผู้ฝึกกระบี่ในโลกมีปณิธานกระบี่นับพันนับหมื่น รูปแบบสารพัดหลากหลาย
สัจธรรมปณิธานกระบี่ที่ผู้ฝึกกระบี่หม่าจื้อบรรลุมาคือกระบี่เหลียงอิน ต่อให้บนโลกใบนี้จะร้อนระอุแผดเผาแค่ไหน ที่ใดที่กระบี่บินเหลียงอินผ่านไป ที่นั้นก็เย็นฉ่ำ
……
เรือนธรรมดาที่อยู่ห่างจากเรือนเล็กกุยม่ายไปไม่ไกล จินซู่แม่นางกุ้ยฮวากำลังกินแตงหวานชิ้นหนึ่ง บนเกาะมีน้ำพุธรรมชาติ ผลไม้รสเย็นจึงมีรสชาติยอดเยี่ยมที่สุด น้ากุ้ยสตรีวัยแต่งงานแล้วซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาของจินซู่หมดความสนใจต่ออาหารเลิศรสในโลกมานานมากแล้ว นางกำลังมองดวงหน้าที่เย็นชางดงามของลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอยู่ข้างๆ ขนาดในเวลาที่นางกินอาหารซึ่งเป็นท่าทางปกติทั่วไปก็ยังเผยความงามพิสุทธิ์ตามธรรมชาติออกมา ในใจคิดว่ามิน่าเล่าปีนั้นทั้งซุนเจียซู่และฝูหนันหัว คนหนุ่มสองคนที่โดดเด่นที่สุดของนครมังกรเฒ่าก็ยังอดหวั่นไหวต่อสตรีคนเดียวกันไม่ได้
ซุนเจียซู่ชอบจินซู่หรือไม่ แน่นอนว่าต้องชอบ เพียงแต่สตรีแต่งงานแล้วไม่อยากเปิดเผยความลับสวรรค์ เพราะนางไม่รู้สึกว่าจินซู่และซุนเจียซู่จะกลายมาเป็นคู่รักเทพเซียนที่ดีได้ ในบรรดาตัวเลือกของผู้ที่จะมาเป็นสามีของจินซู่ สตรีแต่งงานแล้วคิดว่าซุนเจียซู่ที่ความสามารถมากล้น อยู่เบื้องหน้าสุดของเวทีคือตัวเลือกท้ายสุด ฝูหนันหัวดีขึ้นมาหน่อย ที่ดีที่สุดยังคงเป็นฟ่านเอ้อร์
น่าเสียดายก็แต่ความรักระหว่างชายหญิงบนโลกนี้ไม่อาจใช้ข้อที่ว่าบุรุษดีหรือเลว สองฝ่ายเหมาะสมกันหรือไม่มาตัดสินได้เสมอไป
นี่จะโทษใครได้?
น้ากุ้ยรู้สึกเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย เพราะนางรู้จริงๆ ว่าช่วงแรกเริ่มสุดควรจะโทษใคร เพียงแต่ว่าตอนนี้กลับบอกได้ยากแล้ว
นางส่งเสียงร้องอุทานตกใจออกมาเบาๆ อดหันไปมองทางเรือนเล็กกุยม่ายไม่ได้
จินซู่ถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ มีอะไรหรือ?”
น้ากุ้ยพูดยิ้มๆ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะประเมินเด็กหนุ่มแซ่เฉินคนนั้นต่ำไป”
จินซู่หยิบแตงหวานเย็นฉ่ำดับร้อนอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ต่อให้เขาจะสูงส่งยิ่งกว่าฟากฟ้า ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
ดูเหมือนน้ากุ้ยจะได้ยินเสียงในใจบางอย่าง จึงพยักหน้ารับแล้วพูดกับจินซู่ว่า “เจ้ามีงานต้องทำแล้ว ไปเอาตัวยาที่ร้านตรงตีนเขากลับมาก่อน ท่านปู่หม่าของเจ้าคุยกับคนที่นั่นไว้แล้ว พวกเขาน่าจะจัดเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พอเจ้ากลับมา รอให้ปู่หม่าเปิดปากเสียก่อน แล้วเจ้าค่อยเตรียมถังน้ำใบใหญ่ไปให้ที่เรือนเล็กกุยม่าย”
จินซู่มึนงง “ทำไมล่ะ เด็กหนุ่มคนนั้นจะแช่ตัวในน้ำยาเพื่อบำรุงร่างกายงั้นหรือ? นี่เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกตนขอบเขตหลอมร่างกายจำเป็นต้องทำบ่อยๆ ใช่ไหม?”
หญิงสาวไม่ค่อยจะเต็มใจนัก “ต้องมาทำเรื่องแบบนี้ให้เด็กหนุ่มคนหนึ่ง อาจารย์ ข้ารู้สึกแปลกๆ พิกล นี่ไม่ใช่ว่าข้าคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูที่มีชะตากรรมเป็นสาวใช้อะไรหรอกนะ ปกติเวลาให้ต้มชา ดีดพิณ ปัดกวาดที่พักให้พวกแขก ให้เล่นหมากล้อม แต่งกลอน ร้องเพลงกับพวกเขา ข้าเองก็ตั้งใจทำสุดความสามารถ แต่จะให้ข้าไปเตรียมน้ำอาบ ข้า…”
สตรีแต่งงานแล้วพูดยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นให้อาจารย์ไปทำเอง?”
จินซู่ถอนหายใจ ตั้งใจเช็ดมืออย่างละเอียด “ข้าไปเองก็ได้”
หลังจากจินซู่ออกไปจากเรือนเล็กได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว นางพาแขกจากต่างทวีปกลุ่มหนึ่งที่ดูมีอำนาจน่าเกรงขามมาด้วย เดิมทีนางยังรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงยืนกรานอยากจะมาเยี่ยมเยียน ‘น้ากุ้ย’ แต่พอนางเห็นว่าอาจารย์มายืนรออยู่ที่หน้าประตูเรือน นางก็วางใจลงได้ทันที ส่วนลึกในใจของจินซู่คิดว่าไม่มีอะไรที่อาจารย์ของตนทำไม่ได้ อีกฝ่ายต้องไม่ใช่แค่เค่อชิงธรรมดาคนหนึ่งของตระกูล แม้ว่าอาจารย์จะเก็บเรื่องวิชาการสืบทอดและประสบการณ์ในการฝึกตนของตัวเองเป็นความลับมาโดยตลอด แต่มีเรื่องหนึ่งที่จินซู่มั่นใจได้ นั่นคือด้วยสายตาและคำพูดคำจาของอาจารย์ ต่อให้ไม่ใช่เซียนพสุธาก่อกำเนิด อย่างน้อยก็ควรจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง
ไม่เพียงแต่เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาลำนี้ ทุกครั้งที่เรือข้ามฟากทุกหกลำไปกลับนครมังกรเฒ่าและภูเขาห้อยหัวจำเป็นต้องมีผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองอย่างน้อยคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์ สำหรับคนนอก น้ากุ้ยเป็นเพียงหนึ่งในผู้ดูแล เป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรเท่านั้น ทว่าอันที่จริงตอนนี้หากรวมท่านปู่หม่าเข้าไปอีกคน บนเกาะกุ้ยฮวาก็มีขอบเขตโอสถทองอยู่ถึงสามคนแล้ว
จินซู่ไม่เชื่อหรอกว่าฟ้าจะยังถล่มลงมาได้จริงๆ
คนกลุ่มนั้นนับรวมกันแล้วได้หกคน มีทั้งหญิงชายเด็กและคนชรา ทุกคนล้วนมาจากอาคเนย์ใบถงทวีป คือคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของเส้นทางการเดินเรือเกาะกุ้ยฮวาตระกูลฟ่านในครั้งนี้ ห้องใต้ดินและคลังลับเกือบครึ่งหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวาล้วนถูกพวกเขาเหมาเอาไว้ ส่วนของที่ผลิตเฉพาะในอาคเนย์ใบถงทวีป จินซู่เป็นแค่แม่นางกุ้ยฮวาคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีทางรู้ได้ นางแค่เคยได้ยินมาว่าพวกเขาคือบุคคลยิ่งใหญ่จากตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ในชื่อมีคำว่าสำนักของอาคเนย์ใบถงทวีป
ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่ออาจารย์ออกหน้าเองแล้ว จินซู่ก็สามารถไปเอาตัวยาจากตีนเขาเกาะกุ้ยฮวามาได้อย่างสบายใจแล้ว
ตอนที่นางจากไปยังอดหันกลับมามองด้านหลังแวบหนึ่งไม่ได้ นางมองผู้เฒ่าร่างกายผอมสูงคนหนึ่งซึ่งเมื่อเทียบกับบุรุษของนครมังกรเฒ่าแล้วยังสูงกว่าเกินหนึ่งช่วงศีรษะ ผมขาวหน้าแดงปลั่ง เด่นสะดุดตาที่สุด เขาสวมชุดคลุมยาวสีดำเข้มเหมือนสีหมึก สะอาดสะอ้านไร้ฝุ่นเกาะ ย่อมต้องเป็นชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่ง
ผู้เฒ่าเป็นองค์รักษ์ประจำตัวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาธรรมดา คิ้วบางมาก แต่กลับมีดวงตาคู่หนึ่งที่เรียวยาวอย่างถึงที่สุด เวลาที่เขาหรี่ตามองคน ต่อให้เป็นจินซู่ที่มีขอบเขตถ้ำสถิตก็ยังรู้สึกขนลุกขนชัน ไม่กล้ามองสบตาเขาตรงๆ
น้ากุ้ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “ไม่ทราบว่าทุกท่านตั้งใจมาหาข้า มีธุระอันใด?”
บุรุษหรี่ตาลงจ้องมองสตรีแต่งงานแล้วตรงหน้า เอ่ยด้วยถ้อยคำที่ไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย “เจ้าก็คือกุ้ยฮูหยิน?”
น้ากุ้ยตอบรับด้วยสีหน้าเฉยชา “ถูกต้อง”
สายตาของบุรุษฉายประกายร้อนแรงขึ้นมา “ขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ข้าชื่อเจียงเป่ยไห่ มาจากสำนักกุยหย ตอนนี้สำนักของพวกเรากำลังขาดเรือข้ามฟากลำหนึ่งพอดี ไม่ทราบว่ากุ้ยฮูหยินสนใจจะเข้าร่วมกับสำนักกุยหยกของเราหรือไม่?”
น้ากุ้ยนิ่งเงียบ
บุรุษหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “ความเสียหายทั้งหมดของตระกูลฟ่าน รายรับทั้งหมดของเกาะกุ้ยฮวา คิดคำนวณเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ข้าจะมอบให้โดยไม่ขาดสักอีแปะเดียว จะชดเชยให้ตระกูลฟ่านทั้งหมด! เชื่อว่าตระกูลฟ่านคงไม่กล้า ไม่เต็มใจและไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอแนะของข้า กุ้ยฮูหยิน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
บุรพแจกันสมบัติทวีปคือทวีปที่เล็กที่สุดในเก้าทวีปใหญ่ ทว่าใบถงทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้บริเวณใกล้เคียงกันกลับไม่เล็ก เมื่อเทียบกับทวีปฝูเหยาแล้วยังถือว่าใหญ่กว่ามาก อีกอย่างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลของใบถงทวีปก็ถือว่ามีจำนวนมากสุดในเก้าทวีปใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดานั้นมีพื้นที่มงคลสองแห่งที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด ดีเยี่ยมจนผู้ฝึกตนมากมายจากนาตยทวีปและกุรุทวีปล้วนเต็มใจเดินทางไกลหลายหมื่นลี้ไปเยือนใบถงทวีป ต่างคนต่างก็มีความปรารถนาเป็นของตัวเอง สุดท้ายผู้ฝึกตนทั้งหลายที่ใช้สถานะ ‘เจ๋อเซียน’ เยื้องกรายไปเยือนพื้นที่มงคลเหล่านี้ก็ได้ผลประโยชน์มหาศาล เหนือเกินกว่าเวลาไปเยือนพื้นที่มงคลแห่งอื่น
และบนอาณาเขตพื้นที่ของใบถงทวีป สำนักใบถงและสำนักกุยหยกหนึ่งอยู่เหนือหนึ่งอยู่ใต้ เป็นดั่งยอดเขาสองแห่งที่คุมเชิงกันอยู่
คนหนุ่มของใบถงทวีปที่ช่วยให้ตระกูลติงรอดพ้นหายนะครั้งนั้นมาได้ก็มาจากสำนักใบถง สำนักหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งทวีป ตั้งตระหง่านมาหลายพันปีก็ไม่เคยล้มลง เดิมทีนี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันน่าเกรงขามที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ข้อนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกุรุทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทว่ากลับกล้าแย่งอักษรคำว่าอุตรไปจากธวัลทวีป เรียกตัวเองว่าอุตรกุรุทวีปแทนอยู่หลายส่วน
สตรีโตเต็มวัยสวมชุดชาววังคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเจียง ตอนอยู่ในสำนักท่านเก็บตัวสันโดษ อีกอย่างสำนักกุยหยกของพวกเราก็จิตใจดีงามพร้อมช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เหมือนกับสำนักใบถงที่ชอบโอ้อวดตัวเอง คิดดูแล้วกุ้ยฮูหยินคงไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกเราสักเท่าไหร่”
น้ากุ้ยส่ายหน้า “ชื่อเสียงของสำนักกุยหยกประดุจฟ้าผ่าที่ดังอยู่ข้างหู ตระกูลเจียงในสำนักกุยหยกที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา รวมไปถึงเรื่องที่หลายสิบปีที่ผ่านมาสกุลเจียงล้วนมีบุตรชายคนเดียวเป็นผู้สืบทอด ข้าก็ล้วนเคยได้ยินมาก่อน”
บุรุษแซ่เจียงคลี่ยิ้ม “ในเมื่อกุ้ยฮูหยินรู้หมดแล้ว แต่ยังมีท่าทางไม่ร้อนไม่หนาวแบบนี้ คิดดูแล้วคงเป็นเพราะรู้สึกว่าสำนักกุยหยกกับตระกูลฟ่านของนครมังกรเฒ่าอยู่กันคนละทวีป อีกทั้งยังมีสำนักใบถงกั้นขวางอยู่ แส้ยาวของพวกเราคงเอื้อมมาไม่ถึงสินะ?”
กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย บุรุษแซ่เจียงแสร้งทำเป็นโค้งตัวขออภัย แต่บนใบหน้ากลับแต้มยิ้มเย็นชา “เสียมารยาทแล้วๆ พูดจาไม่เหมาะสม ขอกุ้ยฮูหยินอย่าได้ถือสา”
น้ากุ้ยยังคงมีท่วงท่าเรียบง่ายผ่อนคลายดังเดิม นางเอ่ยเบาๆ ว่า “เมื่อเกี่ยวข้องกับคำมั่นสัญญาแห่งมหามรรคา เกี่ยวพันกับจิตดั้งเดิมในการฝึกตน ย่อมไม่สามารถละเมิดกฎได้ง่ายๆ ความปรารถนาดีของคุณชายเจียง ข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว”
บุรุษยืดตัวขึ้นตรง “อ้อ?”
จู่ๆ น้ากุ้ยก็คลี่ยิ้ม “สัญญาครั้งนั้นยังเหลือเวลาอีกหกสิบปี หากคุณชายเจียงมีความจริงใจ ไม่สู้รออีกสักหน่อย?”
บุรุษหนุ่มพลันหัวเราะเสียงดังก้อง “เชื้อเชิญกุ้ยฮูหยินให้เข้ามาอยู่ในสำนักกุยหยกไม่ถือว่าเป็นความจริงใจของข้าเจียงเป่ยไห่ ขอแค่กุ้ยฮูหยินเต็มใจ จะแต่งเข้าบ้านข้าก็ยังได้”
จากนั้นเขาก็โบกมือทั้งๆ ที่ยังหัวเราะเสียงดัง “แค่พูดเล่น อย่าคิดจริงจังเลย แล้วกุ้ยฮูหยินก็วางใจได้ เจ้าสำนักกุยหยกและเจ้าประมุขตระกูลเจียงของข้าต่างก็เลื่อมใสชื่นชมกุ้ยฮูหยินมานานมากแล้ว จะปล่อยให้ข้าเจียงเป่ยไห่ทำตามใจปรารถนาแล้วเป็นการล่วงเกินฮูหยินได้อย่างไร”
น้ากุ้ยยังคงคลี่ยิ้มกลับคืนอย่างมีมารยาท หาข้อตำหนิไม่ได้แม้แต่น้อย
ระดับความงามของสตรีใช่ว่าจะตัดสินทุกอย่างได้เสมอไป
แววตาของผู้เฒ่าร่างผอมสูงฉายแววชื่นชม เพียงแต่เขาเอ่ยเนิบช้าด้วยน้ำเสียงเฉยเมยที่เป็นมาตั้งแต่เกิด “กุ้ยฮูหยินมีน้ำใจและจิตใจอันดีงาม อย่างที่คุณชายของข้ากล่าวไป สำนักกุยหยกยินดีเชื้อเชิญเจ้าด้วยความจริงใจ ขอฮูหยินโปรดพิจารณาอย่างจริงจัง หวังว่าหกสิบปีให้หลังจะได้ดื่มสุรากุ้ยจื่อที่กุ้ยฮูหยินหมักเองกับมือในสำนักกุยหยกสักจอก”
น้ากุ้ยพยักหน้ารับเบาๆ
ทั้งสองฝ่ายจึงจากลากันไป
นางเดินกลับเข้าไปในลานเล็กช้าๆ เงยหน้ามองไปยังทิศทางของนครมังกรเฒ่าด้วยความจนใจแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือไม่ ถึงได้ดูเหมือนว่าสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้กำลังน้อยเนื้อต่ำใจนิดๆ
บนทะเลเมฆของนครมังกรเฒ่า สตรีที่สวมชุดเขียวคนหนึ่งทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนหงายอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ หาวหวอดหนึ่งครั้งแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน “คนที่รนหาที่ตาย เหตุใดถึงได้มากนัก น่าเบื่อๆ ดื่มเหล้าๆ …”
นางหยิบกาเหล้าธรรมดาใบนั้นมา ยกกระดกขึ้นดื่ม แต่กลับพบว่าไม่มีเหล้าเหลือสักหยด นี่ทำให้หญิงสาวนึกถึงตอนที่อยู่ในทางเดินมังกรใต้ดินแล้วตนหยอกล้อผีขี้เหล้าน้อยที่แหงนหน้าดื่มเหล้าจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ อะไรกัน กรรมตามสนองเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? พอคิดถึงเรื่องนี้ หญิงสาวก็ยิ่งโมโห ลุกขึ้นยืนด้วยท่าปลาหลีหงายท้อง (ท่าดีดตัวขึ้นจากท่านอนหงาย) เอื้อมมือไปหยิบก้อนเมฆขนาดเล็กที่อมน้ำฝนขึ้นมาขยำยัดใส่ปาก กลืนมันลงไปแทนเหล้า เคี้ยว ‘เหล้าเมฆา’ ที่ไร้รสชาติแรงๆ อารมณ์ของนางเวลานี้ย่ำแย่ถึงขีดสุด
นางมองไปทางเกาะกุ้ยฮวาที่อยู่บนทะเลด้วยสายตาเย็นชา กระโดดก้าวถอยหลังไปอย่างต่อเนื่องเหมือนเด็กชาวบ้านที่เล่นกระโดดข้ามช่อง ขยับจากทะเลเมฆทางใต้สุดไปถึงทะเลเมฆทางเหนือสุด พอยืนได้มั่นคงแล้วก็เริ่มพุ่งกระโจนไปข้างหน้า เชิดศีรษะขึ้นสูง ตั้งท่าเหมือนคนที่กำลังจะขว้างทวนในมือออกไป แต่แล้วก็หยุดกึกพร้อมตะโกนก้อง “ไป!”
ทะเลเมฆพลันซัดตลบดุจน้ำร้อนที่เดือดพล่าน
เมื่อหญิงสาวทำท่าขว้างนี้ กระบี่สีขาวหิมะยาวสิบกว่าจั้งเล่มหนึ่งที่ถูกนางกระชากออกจากมาจากทะเลเมฆก็พุ่งวาบผ่านอากาศเหนือนครมังกรเฒ่าไป
บนมหาสมุทร เรือข้ามฟากกุ้ยฮวาที่อยู่ห่างไกลจากนครมังกรเฒ่ามากแล้ว
ผู้เฒ่าร่างผอมสูงจากสำนักกุยหยกผู้นั้นพลันใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบให้ลูกหลานสายตรงตระกูลเจียงที่อยู่ข้างกายกระเด็นออกไป
ตัวเขาเองที่ยืนอยู่ที่เดิมแทนเจียงเป่ยไห่ยกสองแขนขึ้นบังเหนือศีรษะ เสื้อคลุมอาคมชุดนั้นกระเพื่อมอย่างรุนแรง ในชายแขนเสื้อสองข้างมีประกายสายฟ้าเปล่งวูบวาบ
ตลอดทั้งเกาะกุ้ยฮวาโยกคลอนอย่างหนัก กระเทือนส่ายไหวไม่หยุดจนคลื่นลูกยักษ์โถมตัว
เจียงเป่ยไห่หันกลับไปมองด้านหลังด้วยสีหน้าเหม่อลอย ชุดคลุมอาคมของผู้เฒ่าก่อกำเนิดท่านนั้นสลายหายไปเกินครึ่ง โชคดีที่ยังพอมีโอกาสซ่อมแซมได้ แต่เนื้อบนแขนสองข้างของเขาล้วนไม่เหลืออยู่แล้ว เห็นเป็นเพียงกระดูกขาวโพลน
ผู้เฒ่ากระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ จ้องเขม็งไปบนท้องฟ้าเหนือนครมังกรเฒ่า ยื่นแขนข้างหนึ่งที่สภาพเละเทะอเนจอนาถออกมาพลางพูดเสียงทุ้มหนักว่า “นายน้อย รออยู่ที่เดิมอย่าขยับ อย่าเข้ามาใกล้ข้า แต่อย่าเดินไปไหนมั่วซั่ว”
กระบี่บินชูอีที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ซึ่งเฉินผิงอันผูกไว้ตรงเอวส่งเสียงอื้ออึงอย่างลิงโลด ราวกับได้พบเจอสหายเก่า
พอเห็นท่าทางที่ผู้เฒ่ายื่นมือข้างหนึ่งออกมา หญิงสาวที่เดิมทีคิดจะหยุดแล้วก็พูดว่า “โอ๊ะโอ นี่หมายความว่าอยากจะขออีกหนึ่งกระบี่สินะ?”
หญิงสาวชุดเขียวที่มีนามว่าฟ่านจวิ้นเม่าคนนี้หงายตัวไปด้านหลัง แตะปลายเท้าเล็กน้อยแล้วถอยร่นไปเรื่อยๆ จากนั้นนางก็ทำท่าเดิมซ้ำอีกหนึ่งรอบ ก่อนจะขว้างกระบี่ออกไปยังพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เอาไป!”
แล้วนางก็ยกสองแขนขึ้นกอดอก หันไปมองทางเกาะกุ้ยฮวายิ้มๆ จุ๊ปากพูด “ต่อให้ผ่านไปอีกพันปี ข้าก็ยังชอบชายชาตรีวีรบุรุษผู้กล้าหาญเช่นนี้อยู่เสมอ ดูเหมือนวันๆ พวกเขาจะชอบยืดคอออกมาพลางร้องตะโกนบอกว่า มาฟันคอข้าให้ตาย มาฟันคอข้าให้ตายสิ…”
บนเกาะกุ้ยฮวา เฉินผิงอันกดมือลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างเงียบเชียบ ครั้งก่อนหน้านี้ฉุกละหุกเกินไป ครั้งนี้ในที่สุดก็ได้เงยหน้าขึ้น ดูเหมือนเขาจะจับเบาะแสอะไรบางอย่างได้
ในขณะที่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งแค่ดวงจิตส่ายไหวเล็กน้อย
เฉินผิงอันกลับหลับตาลง ใช้ใจรับสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของกระบี่เมื่อครู่นี้
—–