กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 266.1 ศิษย์พี่ใหญ่แซ่จั่ว
เฉินผิงอันเขียนยันต์ตัดโซ่ผิดไปหนึ่งตัวอักษร หากก่อนหน้านี้ตอนที่เหล็กหมาดหิมะสัมผัสกับกระดาษยันต์เป็นเหมือนแสงจันทร์ที่ลอยขึ้นเหนือมหาสมุทร ถ้าเช่นนั้นเมื่อยันต์แผ่นนี้เขียนเสร็จก็เป็นเหมือนดวงอาทิตย์สีแดงฉานที่ใหญ่พอๆ กับปากบ่อน้ำ เพียงแต่ว่าไม่ได้ให้ความรู้สึกร้อนแผดเผา กลับกันคือเป็นความอบอุ่นอ่อนโยน หลังจากที่เฉินผิงอันเอ่ยแปดคำนั้นออกมา ดูเหมือนว่ายันต์แผ่นนี้จะขาดการชักนำจากลมปราณที่แท้จริง มันจึงลอยส่ายไปมาอยู่เหนือผิวน้ำทะเล จากนั้นก็ค่อยๆ จมลงไปยังร่องลึกเจียวหลง แล้วก็ไม่มีภาพเหตุการณ์ประหลาดอะไรเกิดขึ้นอีก
ทว่าพวกสิ่งมีชีวิตร่างใหญ่ที่ขดตัวอยู่ใต้ร่องลึกกลับไม่มีตนใดที่ไม่จำแลงร่างกลายเป็นคน บ้างก็เป็นผู้เฒ่า บ้างก็เป็นหญิงชรา พวกเขาพากันออกจากรังมายืนอยู่ตรงผนังหินของร่องมหาสมุทร ประสานมือโค้งคำนับยันต์แผ่นนั้น หลังจากที่เหล่าคนเฒ่าคนแก่ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจียวเฒ่าสีทองพากันปรากฎตัวอย่างเอิกเกริก เผ่าพันธ์เจียวหลงจำนวนมากที่ยังเยาว์วัยไม่รู้ความ พลังการต่อสู้อ่อนแอ ครั้งนี้ไม่มีโอกาสเข้าร่วมศึกใหญ่กับเกาะกุ้ยฮวา หรือไม่ก็ถูกบรรพบุรุษกำราบไว้ใต้ทะเลลึก เด็กน้อยทั้งหลายที่ต่อให้จะไม่ได้จำแลงกายเป็นมนุษย์ก็ยังหันไปผงกหัวแสดงการคารวะต่อยันต์แผ่นนั้นเลียนแบบเหล่าผู้อาวุโส
จากนั้นสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มากี่ปีพวกนี้ก็พากันร่ายใช้เวทลับ ใช้ภาษาเสียงน้ำแห่งยุคบรรพกาลตวาดด่าทายาทเจียวหลงทั้งหลายที่กำลังโจมตีเกาะกุ้ยฮวาอย่างเฉียบขาด
พวกงูหลาม ฉิวน้ำที่เป็น ‘วัยหนุ่มสาวแข็งแกร่ง’ หันมามองหน้ากันเอง ในสายตาของพวกมันมีทั้งความคลางแคลงใจ ความตกตะลึงและความไม่ยอมแพ้ เพียงแต่บรรพบุรุษของแต่ละฝ่ายล้วนป่าวประกาศแล้วว่าหากไม่กลับมายังร่องน้ำเจียวหลงภายในเวลาครึ่งก้านธูปจะถูกขับไล่ออกจากเผ่าโดยไม่มีข้อยกเว้น จากนั้นจะถูกลงทัณฑ์ด้วยการถลกหนัง สุดท้ายจะถูกโยนทิ้งให้ตากแดดล่องลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาสามปี หากมีชีวิตรอดมาได้ถึงจะมีโอกาสได้กลับคืนสู่เผ่าพันธุ์อีกครั้ง
ก่อนหน้าที่พวกมันจะติดตามเจียวเฒ่าร่างทองมาในครั้งนี้ เหล่าบรรพบุรุษต่างไม่คัดค้านถือเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย ทายาทวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ที่เผชิญกับความยากลำบากอยู่ในทะเลใต้และนาตยทวีปมานานหลายปียอมติดตามเจียวเฒ่าชุดทองก็เพราะหวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถไปเปิดฉากสังหารที่นาตยทวีป เข่นฆ่าลูกหลานตระกูลเฉินผู้มากความรู้และเหล่าผู้ฝึกลมปราณที่คอยป้องกันชายฝั่งให้สิ้นซาก แต่ตอนนี้บรรพบุรุษออกคำสั่งแล้ว อีกทั้งเจียวเฒ่าชุดทองก็ไม่ได้คัดค้าน พวกมันจึงได้แต่พากันดีดตัวออกจากเกาะกุ้ยฮวา กระโจนกลับเข้าไปยังทะเล พอลงน้ำมาแล้ว ต่างคนต่างกลับจวนของตัวเองเพื่อขอฟังคำอธิบายที่สมเหตุสมผลจากเหล่าบรรพบุรุษ
เหตุการณ์หลังจากนั้นก็คือเจียวเฒ่าร่างทองที่ก่อนจะรับคำสั่งได้ปล่อยหนึ่งกระบี่ฟันลงมายังเด็กหนุ่มที่ทำลายแผนการซึ่งวางมานานนับร้อยปีของเขา
คำสั่งลู่เฉิน?
ลู่เฉินคือใคร เจียวเฒ่าย่อมเคยได้ยินชื่อมาก่อน เคยได้ยินบรรพบุรุษของเขาเล่าว่าเป็นจื้อเหริน (หมายถึงบุคคลที่หลุดพ้นทางโลก บรรลุถึงขอบเขตอนัตตาของลัทธิเต๋า) หนึ่งในเจ้าลัทธิของลัทธิเต๋า ก่อนที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยาน เขาชอบล่องเรือน้อยท่องเที่ยวไปตามสี่มหาสมุทรมากที่สุด ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบอยู่บนบกสักเท่าไหร่ ยังมีเรื่องเล่าลืออีกว่ามีคนพายเรือคนหนึ่งมาพายเรือให้ลู่เฉินโดยเฉพาะ ตอนที่ออกทะเลอายุประมาณสามสิบปี รอจนลู่เฉินบินทะยานที่ทะเลเหนือ เขาถึงพายเรือกลับแผ่นดินเพียงลำพัง พอกลับไปถึงบ้านจึงพบว่าบ้านเมืองที่ตัวเองคุ้นเคยไม่เหลืออยู่แล้ว ชื่อของเขามีบันทึกไว้ในหนังสือลำดับวงศ์ตระกูลของเมื่อสามร้อยปีก่อนเท่านั้น หลังจากนั้นมาคนพายเรือที่ไม่อาจตรวจสอบชื่อแซ่ก็ออกทะเลไปอีกครั้งเพื่อตามหาลู่เฉิน แล้วก็ไม่มีข่าวคราวของเขาอีกเลย
เจียวเฒ่าชุดทองกลัวเจ้าลัทธิลู่เฉินหรือไม่?
แน่นอนว่าต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ไม่ถึงขั้นที่แค่ได้ยินชื่อก็กลัวจนตัวสั่น
เพราะเขาอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่ลู่เฉินอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว
ยิ่งเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงศักดิ์เกินจะทัดเทียมอย่างลู่เฉิน คิดจะมาเยือนใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งก็ยิ่งไม่ง่าย อีกอย่างกฎเกณฑ์ก็ซับซ้อน ทุกการกระทำของเขาจะต้องถูกอริยะลัทธิขงจื๊อจับตามอง
หากลู่เฉินคิดจะลงมือด้วยตัวเองจะเป็นการทำลายกฎ ถึงเวลานั้นอริยะลัทธิขงจื๊อที่ตนเคียดแค้นจะกลับกลายมาเป็นยันต์คุ้มกันกายให้กับร่องน้ำเจียวหลง และถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่ลงมือช่วยเหลือก็คือบุรพาจารย์สกุลเฉินผู้มากความรู้ที่บนไหล่แบกดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ผู้นั้น
แม้จะไม่ได้หวาดกลัวอะไรนัก แต่จะไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยก็ไม่ใช่ ท้าทายอริยะคนหนึ่ง ต่อให้มีหนึ่งใต้หล้ากั้นขวางก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย
ในใจของเจียวเฒ่าชุดทองหัวเราะหยันไม่หยุด เจ้าลัทธิที่ถือกำเนิดในใต้หล้าไพศาล แต่ไปเป็นผู้ควบคุมระบบเต๋าสายหนึ่งของใต้หล้าอื่นช่างตั้งชื่อได้ดีจริงๆ
ส่วนเด็กหนุ่มที่ปลอดภัยดีเพราะเรียกตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่หนึ่งออกมาสกัดกั้นปราณกระบี่ผู้นั้น
เจียวเฒ่าชุดทองกระตุกมุมปาก เรื่องแบบนี้ได้คืบแล้วจะเอาศอกไม่ได้ แม้ว่าจะเคียดแค้นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้อย่างถึงที่สุด แต่เจียวเฒ่าคิดไว้แล้วว่าจะหยุดมือ ผลได้และผลเสียไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนเท่านั้น เรื่องราวในวันนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ไปไกลมาก ไม่แน่ว่าอาจจะดึงดูดสายตาของพวกลาดตระเวนชายหาดทะเลใต้ของนาตยทวีปแล้ว ถึงอย่างไรก็ควรป้องกันไว้ก่อนเป็นดี หากถูกคนจับจุดอ่อน แผนใหญ่จะถูกทำลายเอาได้
เจียวเฒ่าจุ๊ปากพูดยิ้มๆ “น่าเสียดายตราประทับชิ้นนี้นัก สามารถสกัดกั้นหนึ่งกระบี่ที่โจมตีอย่างเต็มกำลังของเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ไม่ใช่สิ่งที่ข้องปลาผุๆ อันหนึ่งจะนำมาเปรียบเทียบด้วยได้ เจ้าหนู คราวนี้เสียดายหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบไม่ตรงคำถาม “หากที่บ้านข้ามีหินดีงูชั้นเยี่ยมของถ้ำสวรรค์หลีจูอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องใช้เท่าไหร่ถึงจะสามารถแลกกับการผ่านทางอย่างปลอดภัยของเกาะกุ้ยฮวาได้?”
เจียวเฒ่าชุดทองอึ้งไปเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่กลางอากาศด้านหลังแจกันสมบัติทวีปน่ะหรือ? หากเป็นหินดีงูชั้นเยี่ยมที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น สำหรับพวกเราแล้วไม่เป็นรองความสำคัญที่แท่นสังหารมังกรชิ้นหนึ่งมีต่อผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเลย เผ่าพันธุ์เจียวหลงขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดลงมา เพียงหนึ่งก้อนก็สามารถแลกมาด้วยการเลื่อนขั้นที่มั่นคงหนึ่งขอบเขต ขอข้าคิดคำนวณดูก่อน เกาะกุ้ยฮวาหนึ่งแห่ง กุ้ยฮูหยินหนึ่งคน ชีวิตของผู้ฝึกลมปราณสองพันคน…ไอ้หนู เว้นเสียแต่ว่าเจ้ามีหินดีงูกองใหญ่เท่านั้นถึงจะได้”
เจียวเฒ่าชุดทองยื่นฝ่ามือสองข้างออกมาพลิกหนึ่งที “อย่างน้อยยี่สิบก้อน เจ้ามีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตลอดหลายปีมานี้มอบให้คนอื่นไปเยอะ มีเหลือไม่มากถึงขนาดนั้นแล้ว”
เขาฝืนลุกขึ้นยืน ต้นกุ้ยที่เติบโตมาจากกิ่งกุ้ยหนึ่งกิ่งพังทลายลงเพราะการโจมตีของปราณกระบี่เจียวเฒ่าแล้ว
เฉินผิงอันเก็บพู่กันเหล็กหมาดหิมะและตราประทับแม่น้ำที่เหลืออยู่อันเดียวกลับมาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น ใช้เสียงทางจิตส่งสัญญาณ กระบี่บินชูอีและสืออู่ก็พุ่งออกจากร่างของเฉินผิงอันที่จิตวิญญาณสั่นไหว กลับเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ปิดบังอำพราง ถึงอย่างไรเจียวเฒ่าก็มองออกตั้งแต่แรกแล้ว
เจียวเฒ่าชุดทองหรี่ตาลง
กระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ในกล่องไม้ด้านหลังเด็กหนุ่มสร้างภัยคุกคามให้แก่เขาไม่น้อย
คำสั่งลู่เฉินแผ่นหนึ่งที่สามารถพลิกฟ้าพลิกดิน หินดีงูจากถ้ำสวรรค์หลีจูหนึ่งกอง ตราประทับแม่น้ำและภูเขาหนึ่งคู่ พู่กัน ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ หนึ่งด้าม น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งลูกที่ระดับขั้นไม่เลว อีกทั้งยังแซ่เฉิน
เจียวเฒ่าชุดทองยิ่งแน่ใจว่าการที่ตนหยุดมือในเวลาที่สมควรคือการกระทำที่ฉลาด
น่าเสียดายเหลือเกิน เด็กแบบนี้ หากกระบี่เดียวเมื่อครู่นี้สังหารเขาได้ นั่นต่างหากที่จะกลายมาเป็นภัยร้ายไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง ส่วนจุดหักเหทั้งหลายแหล่ที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง เขาไม่กลัวเลยสักนิด
เมื่อแข่งกันด้านตบะและขอบเขต อริยะจำลองอย่างเขาคงไม่กล้าประมาท แต่หากแข่งกันทางด้านคนหนุนหลัง เขาไม่คิดจริงๆ ว่าตัวเองจะแพ้ให้กับผู้ใด
เจียวเฒ่าเห็นว่าผู้เฒ่าพายเรือที่ได้รับบาดเจ็บไปถึงพลังต้นกำเนิดมายืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม สีหน้าเต็มไปด้วยแววระแวดระวังก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “วางใจเถอะ ยันต์ตัดโซ่แผ่นนั้นมีหน้าตาที่ใหญ่มาก ความกล้าของข้าช่วยให้ข้าลงมือได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
เจียวเฒ่าถอนสายตากลับมามองเฉินผิงอันอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้ามีหินดีงู ทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก? ไยต้องปล่อยให้เกิดศึกครั้งนี้ ทำลายความปรองดองของทั้งสองฝ่าย?”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้ากำลังล้อเล่นหรือว่าพูดจริง?”
เจียวเฒ่าสีหน้ามืดทะมึน
ผู้เฒ่าพายเรือหัวเราะหยัน “สถานการณ์ในตอนนั้น เจ้ากุมชัยชนะอยู่ในมือ จะฆ่าคนชิงทรัพย์ยังแทบไม่ทัน ยังจะยอมมานั่งคุยปรึกษากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งดีๆ อย่างนั้นหรือ?”
เจียวเฒ่าชุดทองไม่สนใจคำพูดถากถางจากผู้เฒ่าพายเรือ เขาจ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่ม “ฉลาดเกินไปก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ท่านผู้อาวุโส ท่านกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับสัตว์…กับผู้อาวุโสเจียวเฒ่าท่านนี้เป็นการส่วนตัว”
ผู้เฒ่าพายเรือส่ายหน้า พูดเสียงหนัก “มีภูเขาเขียวย่อมไม่กลัวไร้ฟืน เฉินผิงอัน เจ้ายังเด็ก การฝึกตนบนมหามรรคา อุปสรรคเหล่านี้ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นโชคหรือภัย ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ…”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ผู้เฒ่าถึงได้รู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ายังคงจมจ่อมอยู่ท่ามกลางความศักดิ์สิทธิ์ของยันต์แผ่นนั้น ไม่อาจดึงตัวออกมาได้เสียที
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ผู้อาวุโส ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
เฉินผิงอันอยากจะยกมือขึ้นกุมกันเพื่อแสดงถึงการขอบคุณ เพียงแต่ยกมือขวาขึ้นได้แล้ว แขนซ้ายทั้งแขนที่ใช้เขียนตัวอักษรกลับงอไม่ขึ้น เฉินผิงอันจึงกำมือขวาเป็นหมัด ทุบลงที่หัวใจของตัวเองเบาๆ “อีกเดี๋ยวพอข้ากลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาจะเลี้ยงเหล้าผู้อาวุโส”
ผู้เฒ่าพายเรือลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนพยักหน้ารับ กลับไปยังเรือลำเล็กที่อยู่ข้างๆ กันแล้วพายไปยังเกาะกุ้ยฮวาช้าๆ
เมื่อคนพายเรือเฒ่าจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็ตบลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง ชูอีกับสืออู่มาลอยตัวอยู่ตรงไหล่ของเฉินผิงอัน จากนั้นเขาก็เรียกตราประทับแม่น้ำออกมาอีกครั้ง
เจียวเฒ่าชุดทองพูดกลั้วหัวเราะ “ทำไม คิดจะสู้ตายกับข้า?”
เฉินผิงอันแสยะยิ้ม “พูดคุยกับคนบางคน หากหมัดไม่แข็งพอ ต่อให้เหตุผลดีแค่ไหนก็ฟังไม่เข้าหู ยันต์ตัดโซ่แผ่นก่อนหน้านี้ก็คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่ข้าใคร่ครวญได้ข้อนี้เหมาะจะนำมาใช้กับพวกเจ้าเป็นอย่างดี ข้าขอถามคำถามหนึ่ง ตระกูลฟ่านกับกุ้ยฮูหยินตั้งกฎอะไรกับพวกเจ้า ถึงทำให้เจ้าคิดว่าถูกต้องเหมาะสมแล้วที่จะสังหารคนสองพันกว่าคน?”
เจียวเฒ่าเริ่มหงุดหงิด พูดเสียงหนักและเย็นชา “เจ้าคิดว่ากฎข้อนี้ไม่เหมาะสม?”
เขากระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งทีคล้ายไม่ตั้งใจเพื่อตัดการเชื่อมโยงระหว่างสถานที่แห่งนี้กับภายนอก
จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเผ่าพันธุ์เจียวหลงอย่างพวกเราที่อยู่ในร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ จากตอนแรกที่ถูกเนรเทศมาถึงสถานที่ลงหลักปักฐาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าระหว่างทางมีกี่ชีวิตที่ต้องตายไป? และหลายปีที่ผ่านมานี้ กฎเกณฑ์ห่วยแตกที่พวกอริยะลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ทำให้กี่ชีวิตต้องตายไปอย่างอยุติธรรม?”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้ารู้สึกว่ากฎของลัทธิขงจื๊อไม่ถูกต้อง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้อที่ว่ากฎที่ตั้งให้กับเจ้าถูกหรือไม่? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้อริยะทำไม่ถูกจริงๆ เจ้าก็จะทำผิดตามเขางั้นหรือ? อีกอย่างถ้าเจ้ามีความสามารถ ไปทะเลาะกับอริยะลัทธิขงจื๊อก็ดี ต่อยตีกันก็ช่าง แต่เอาความโกรธมาลงที่เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาจะนับเป็นอะไร?”
เจียวเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “จะนับเป็นอะไร? ก็แค่ระบายความโกรธแค้นเท่านั้น ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะพอนัก”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้ามองตามนี้ อริยะลัทธิขงจื๊อไม่ได้ตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวต่างหากที่ถือว่าทำผิด”
เจียวเฒ่าไม่โกรธกลับยังหัวเราะ “ไอ้หนู เจ้าพูดวกไปวนมากับข้าอยู่แบบนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่? คิดจะอวดที่พึ่งของเจ้ากับข้า ข่มขู่ข้าว่าวันใดวันหนึ่งข้างหน้า บรรพบุรุษตระกูลเจ้าหรือไม่ก็อาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ของเจ้าจะมาหาเรื่องข้ากับร่องน้ำเจียวหลงอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่มีคนในครอบครัวเหลืออยู่แล้ว แล้วก็ไม่มี…อาจารย์สักคนด้วย”
เจียวเฒ่ารู้สึกงงขึ้นมาในฉับพลัน “นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตายอย่างนั้นรึ?”
แล้วเจียวเฒ่าก็พยักหน้ากับตัวเอง “ประหลาดมาก ข้ากลับเชื่อคำพูดของเจ้าซะได้ ก็ดี ในเมื่อเจ้าไม่มีทั้งผู้อาวุโสและอาจารย์ช่วยหนุนหลังให้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็เริ่มมีความกล้ามากพอจะสังหารเจ้าแล้ว”
—–