กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 269.1 บนโลกมนุษย์หมื่นเรื่องราวยิบย่อยเหมือนขนวัว
ระหว่างฟ้าดินของภูเขาห้อยหัวมีภูเขาลูกใหญ่
ยอดเขาชี้ไปยังน้ำของทะเลใต้
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งของต้นกุ้ยบรรพบุรุษ เหม่อมองภาพที่สะเทือนจิตใจคนภาพนี้ แม่นางหนิงเดินทางออกจากที่นี่ ก่อนจะไปท่องเที่ยวในใต้หล้าไพศาล
ได้ยินว่าทักษินาตยทวีปคือทวีปใหญ่ที่อยู่ใกล้มากที่สุด ไม่รู้ว่าวันหน้าหลิวเสี้ยนหยางจะแวะเวียนมาที่นี่บ้างหรือไม่?
ขณะที่เกาะกุ้ยฮวายังอยู่ห่างจากอาณาเขตของภูเขาห้อยหัวอีกประมาณครึ่งวัน เรือข้ามฟากที่รายล้อมอยู่รอบด้านมีลักษณะแปลกตาหลากหลาย มีทั้งเต่ายักษ์แบกศิลา มีทั้งเปลือกหอยใสแวววาวที่โผล่พ้นผิวน้ำทะเล เรือคุนที่ใหญ่ยิ่งกว่าของภูเขาต้าเจี้ยวค่อยๆ ลดระดับลงต่ำ มีทะเลเมฆหลากสี ด้านใต้ทะเลเมฆห้อมล้อมไปด้วยนกกางเขนจำนวนนับไม่ถ้วน มีนกกระเรียนเซียนและนกชิงเหนี่ยวเรียงแถวพากันลากหอสูงหลังหนึ่งมา เกาะกุ้ยฮวาที่เป็นหนึ่งในนั้นกลับดูไม่น่าตกตะลึงเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันพลันหันหน้ากลับและก้มลงมอง
เห็นหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง เรือนกายของนางอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้างามพิสุทธิ์ บนศีรษะปักปิ่นมุก สวมกระโปรงยาว รัดเข็มขัดหลากสีไว้ตรงเอว…
ทว่าจู่ๆ เฉินผิงอันกลับรู้สึกชาที่หนังศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว ความรู้สึกนี้รุนแรงยิ่งกว่าตอนเห็นหลิ่วชื่อเฉิงสวมชุดเต๋าสีชมพูในวัดร้างเสียอีก
เพราะเฉินผิงอันมองเห็นลูกกระเดือกของ ‘สาวงาม’ คนนั้น
ไม่ถึงกับรังเกียจ แค่ไม่คุ้นชินก็เท่านั้น
เฉินผิงอันยกมือเกาหัว จ้องมองตรงไปยังบุรุษที่ชอบแต่งกายเป็นหญิงสาวผู้นั้น แล้วอาการขนลุกในใจก็หายวับไป กลายมาเป็นความคิดคำนึง
เมื่อก่อนตอนเป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกร เฉินผิงอันรู้จักบุรุษคนหนึ่งที่ถูกคนหัวเราะเยาะล้อเลียนว่าเป็นกะเทย นิสัยของเขาขี้ขลาดอ่อนแอ เวลาเดินชอบส่ายเอว เวลาพูดก็ชอบชม้ายชายตา จีบไม้จีบมือ ในเตาเผามังกรของผู้เฒ่าเหยา คนผู้นี้ถูกผู้อื่นดูแคลนมากที่สุด รองเท้าใหม่ที่กว่าจะเก็บเงินซื้อมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แค่เอามาสวมก็รับรองว่าวันนั้นต้องถูกคนอื่นๆ ในเตาเผาเหยียบย่ำจนสกปรก เขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไร แค่ยอมรับไว้เงียบๆ ตามหลักแล้วเดิมทีเขากับเฉินผิงอันที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากคนอื่นน่าจะเห็นอกเห็นใจกันถึงจะถูก แต่ที่น่าประหลาดมากก็คือ บุรุษที่ชอบร้องไห้หลั่งน้ำตา พอมาเจอเฉินผิงอันกลับมีความกล้าหาญ วันๆ ชอบพูดจาเสียดสีเฉินผิงอัน คำพูดแต่ละคำล้วนระคายหู เฉินผิงอันไม่เคยสนใจเขา มีอยู่หลายครั้งที่ชายฉกรรจ์ระงับปากตัวเองไม่อยู่ ถูกหลิวเสี้ยนหยางซึ่งเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของผู้เฒ่าเหยามาเจอเข้าโดยไม่ทันระวัง หลิวเสี้ยนหยางตบบ้องหูเขาจนร่างหมุนคว้าง เขาก็ว่าง่ายขึ้นมาทันที จากนั้นยังแอบเอาขนมกินเล่นที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันฝีมือประณีตยิ่งกว่าลูกจ้างในร้านขายขนมไปไว้ในห้องหลิวเสี้ยนหยาง เกรงว่าการกระทำนี้ของบุรุษคงเป็นเพราะต้องการจะขออภัยและประจบเอาใจอนาคตผู้ดูแลเตาเผามังกรอย่างหลิวเสี้ยนหยาง
กระดาษอวยพรที่ติดบนหน้าต่างของเตาเผามังกรล้วนเป็นเขาที่อดตาหลับขับตานอนตัดไปทีละแผ่นทีละแผ่น ต่อให้เป็นสตรีแต่งงานแล้วในตรอกมาเห็นเข้าก็ยังละอายใจที่ฝีมือสู้ไม่ได้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหากบุรุษผู้นี้เป็นสตรีจริงๆ จะทำงานบ้านงานเรือนได้ดีถึงเพียงไหน?
ตอนนั้นเฉินผิงอันย่อมต้องเกลียดกะเทยที่พูดจาไม่เข้าหูอยู่แล้ว แต่เขากลัวว่าตัวเองจะยั้งมือไม่อยู่ต่อยให้อีกฝ่ายร่อแร่ใกล้ตาย เฉินผิงอันในเวลานั้นติดตามผู้เฒ่าเดินขึ้นเขาลงห้วยรอบเมืองเล็กเสียจนทั่วแล้ว เรื่องการตัดฟืนเผาถ่านก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำ บวกกับที่ฝึกวิธีหายใจจากหยางเหล่าโถวทุกวัน พละกำลังของเขามีแต่จะเหนือกว่าไม่มีด้อยกว่าบุรุษวัยฉกรรจ์
สุดท้ายมีครั้งหนึ่งชายฉกรรจ์ที่เป็นกะเทยผู้นั้นรับผิดชอบเฝ้ายามตอนกลางคืนแล้วทำพลาดครั้งใหญ่ ไฟในเตาเผามังกรดับลงขณะที่เขาอยู่ยาม เขาที่ตกใจกลัวจึงเผ่นหนีไปตอนกลางดึก ค่อนข้างฉลาดเล็กน้อย เพราะเขาไม่กล้าหนีไปที่เมืองเล็ก แต่เผ่นหนีเข้าไปในป่าลึก
ความผิดนี้หากอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดต้องโดนโทษประหารเพราะถือเป็นการทำลายให้ตระกูลผู้อื่นขาดลูกหลานสืบทอด ผู้เฒ่าเหยาที่ใบหน้าเป็นสีเขียวคล้ำไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บอกให้ชายฉกรรจ์แข็งแรงหลายสิบคนไล่ตามคนสารเลวที่สมควรโดนแทงพันครั้งผู้นั้นไป แน่นอนว่าเฉินผิงอันที่คุ้นชินกับทางภูเขาเป็นอย่างดีก็อยู่ในกลุ่มคนนั้นด้วย
สองวันต่อมาชายผู้เป็นกะเทยถูกจับมัดกลับมาที่เตาเผามังกร ผู้เฒ่าเหยาตัดมือตัดเท้าของเขา โบยจนเนื้อแตกเห็นไปถึงกระดูกสีขาว
คนที่หาเขาเจอก็คือกลุ่มบุรุษที่เวลาปกติเขาเทิดทูนมากที่สุด
ไม่มีใครเห็นใจบุรุษที่ก่อหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ ต่อให้มีก็ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะถึงอย่างไรผู้เฒ่าเหยาก็ไม่เคยโมโหมากขนาดนี้มาก่อน
ก่อนจะถูกตัดมือตัดเท้า บุรุษผู้เป็นกะเทยก็ตกใจจนปัสสาวะราดกางเกงแล้ว พอถูกคนจับกดลงบนพื้น ร่างก็สั่นเทิ้มไปหมด ถูกไม้กระบองฟาดก็แผดเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด น้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้า พอถูกทุบรัวๆ ไม่นับ กะเทยผู้นั้นก็เหมือนปลาตัวหนึ่งที่ถูกแร่เนื้ออยู่บนเขียง กะเทยก็คือกะเทย ถึงท้ายที่สุดแล้วก็เป็นลมหมดสติ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความกล้าหาญของบุรุษเลยแม้แต่นิดเดียว
สุดท้ายกะเทยผู้นั้นไม่ได้ถูกตีจนตาย นอนป่วยอยู่บนเตียงเกือบครึ่งปีก็ดึงดันเอารอดชีวิตมาได้
ระหว่างนี้ลูกศิษย์ในเตาเผามังกรหลายคนต่างก็ต้องผลัดกันมาดูแลเขา เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หลายคนไม่เต็มใจรับงานลำบากนี้ เลยมาขอให้เฉินผิงอันช่วยทำแทน เฉินผิงอันถือเป็นคนที่พูดง่ายที่สุดในเตาเผามังกร ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นเฉินผิงอันที่กะเทยผู้นั้นไม่ชอบหน้ามากที่สุดที่มาดูแลเขาบ่อยที่สุด เพียงแต่ว่าตั้งแต่เช้าจรดเย็น คนทั้งสองต่างก็ไม่พูดคุยกัน ถึงอย่างไรต่างฝ่ายต่างก็ไม่ชอบกัน
ทุกวันเฉินผิงอันเพียงแค่เก็บยาต้มยา กะเทยผู้นั้นบางครั้งก็เหม่อลอย เหม่อมองกระดาษหน้าต่างเก่าคร่ำคร่าที่ซีดขาวเพราะถูกลมพัดและฝนสาด บางทีอาจกำลังคิดว่าวันใดที่สามารถลงจากเตียงไปทำงานได้แล้ว ระหว่างที่ว่างจากการทำงานจะต้องไปเปลี่ยนกระดาษหน้าต่างแผ่นใหม่ให้เป็นสีแดงสดสวยงาม
ทว่ากะเทยที่เห็นได้ชัดว่ารอดพ้นจากหายนะใหญ่มาได้ ชายฉกรรจ์ที่ระหว่างนอนป่วยติดเตียงก็ยังกัดฟันเดินจากหน้าประตูผีกลับมายังโลกมนุษย์ สุดท้ายก็ยังคงตายอยู่ดี
ตายเพราะประโยคหนึ่ง
เป็นคำพูดโดยไม่ได้ตั้งใจจากช่างคนหนึ่งในเตาเผา ตอนนั้นเฉินผิงอันต้มยาอยู่ที่หน้าประตู หันหลังให้กับช่างและกะเทย ฝ่ายแรกหัวเราะหยอกเย้ากะเทยว่าวันนั้นเจ้าถูกโบยจนเสื้อผ้าขาดเห็นก้นขาวนวลเนียน เหมือนผู้หญิงจริงๆ
ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสม
เพราะถ้อยคำที่พวกบุรุษในเตาเผามังกรด่ากะเทยผู้นี้เวลาปกติหยาบคายและรุนแรงกว่านี้ก็มี กะเทยผู้นี้แทบไม่เคยทะเลาะกับใคร เป็นเพราะไม่กล้า อย่างมากก็แค่ด่าลับหลัง ประมาณว่า ‘กล้าด่าข้า เชื่อหรือไม่ว่าสุสานบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเจ้าระเบิดแน่’
ผลกลับกลายเป็นว่าแค่ประโยคที่ไม่เจ็บไม่คันนี้ วันนั้นกะเทยที่ลุกขึ้นนั่งได้ด้วยตัวเองแล้วกลับชวนเฉินผิงอันคุยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ส่วนใหญ่เป็นเขาพูด เฉินผิงอันที่นิสัยเหมือนน้ำเต้าตันรับฟังอย่างอดทน พอพูดถึงกระดาษหน้าต่าง เฉินผิงอันก็ชมจากใจจริงว่าเขาตัดกระดาษได้สวยมาก เขาหัวเราะ
แล้วคืนนั้นกะเทยที่ใจเล็กยิ่งกว่าเข็มกลับใช้กรรไกรแทงเข้าไปที่ลูกกระเดือกของตัวเอง ยังไม่ลืมใช้ผ้าห่มคลุมร่างตัวเองเอาไว้ ไม่ให้คนที่เข้าห้องมาเห็นสภาพการตายของเขาในทันที
ถึงขั้นไม่มีใครกล้ายกศพของเขาออกมา เพราะน่าสยดสยองและเป็นอัปมงคลเกินไป
ยังดีที่เฉินผิงอันเห็นความเป็นตายของคนข้างกายมาจนเคยชินแล้ว สำหรับเรื่องพวกนี้เขาจึงไม่ได้พิถีพิถันมากนัก ล้วนเป็นเขาที่ลากเอาหลิวเสี้ยนหยางมาช่วยงาน ยุ่งจนหัวหมุน ระหว่างนั้นไม่มีทั้งความเสียใจหรือความปลงอนิจจังอะไรมากมายนัก มีเพียงตอนที่เฝ้าอยู่ในห้องโถงวิญญาณ เฉินผิงอันนั่งอยู่ในห้องตั้งโลงศพที่ว่างโล่งและวังเวงเพียงลำพัง เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด นั่งพึมพำอยู่ข้างเตาไฟว่า “ในเมื่อชาตินี้ไม่ชอบเป็นผู้ชาย ถ้าอย่างนั้นชาติหน้าก็ไปเกิดเป็นผู้หญิงเถอะ”
อันที่จริงตอนที่คุยกันวันนั้น กะเทยถามเฉินผิงอันว่า ทำไมทั้งๆ ที่เป็นคนแรกที่พบตัวเขา ถึงได้ปล่อยเขาไป แถมยังชี้บอกทางเส้นเล็กที่เข้าไปลึกในภูเขาให้กับเขา
เฉินผิงอันบอกว่า ข้ากลัวเจ้าถูกจับกลับไปแล้วจะโดนผู้เฒ่าเหยาตีตาย ถึงเวลานั้นคนอย่างเจ้าที่ใจกล้าเท่าเมล็ดงา พอกลายเป็นผีอาฆาตแล้ว คงไม่กล้าไปแก้แค้นใคร ก็มีแต่ข้าที่เจ้าจะกล้ามาแก้แค้น
ตอนนั้นกะเทยหนุ่มหัวเราะอย่างเบิกบานมากเป็นพิเศษ
อันที่จริงต่อให้เป็นตอนนี้ที่เฉินผิงอันย้อนนึกถึง ก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าตอนนั้นที่กะเทยหัวเราะ ดูแล้วขี้เหร่มาก
แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจ
‘หญิงสาว’ หน้าตางดงามที่ยืนอยู่ใต้ต้นกุ้ยโมโหจนไฟโทสะพุ่งสูงสามจั้งแล้ว ถูกชายผู้หนึ่งจ้องตาไม่กะพริบแบบนี้ หากไม่เป็นเพราะนาง หรือพูดให้ถูกคือเขาเกรงว่าจะทำให้ต้นกุ้ยเสียหาย สร้างความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น เขาคงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มนั้นออกมาแล้วรุมแทงเจ้าคนที่มีตาสุนัขผู้นี้ให้ตายไปนานแล้ว
หลังจากคืนสติ เฉินผิงอันก็ตระหนักได้ว่าตัวเองบุ่มบ่ามไร้มารยาทเกินไป จึงยกมือกุมประสาน กล่าวขออภัย “ขอโทษด้วย ข้าใจลอยไปหน่อย”
คนผู้นั้นหรี่ดวงตาที่เหมือนกับดอกท้อซึ่งเบ่งบานท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิลง ประกบนิ้วสองนิ้วทิ่มมาที่เฉินผิงอัน จากนั้นงอนิ้วน้อยๆ แสดงถึงความหมายของการท้าทายอย่างโจ่งแจ้ง
เฉินผิงอันไม่แค่หันหน้ามาอีกต่อไป แต่หันกลับมาทั้งตัว ตบไปยังตำแหน่งว่างบนกิ่งไม้สูงข้างกายของตัวเอง พูดยิ้มๆ ว่า “แทนคำขอโทษ ข้าสามารถเป็นตัวแทนกุ้ยฮูหยินอนุญาตให้เจ้ามาชมทิวทัศน์ของภูเขาห้อยหัวตรงนี้ได้”
เขาเอาสองมือไพล่หลัง เชิดดวงหน้าที่งามดั่งบุปผาแรกแย้มขึ้น ยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าชอบผู้ชายรึ? หรือว่าขอแค่หน้าตาดี จะหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยง?”
เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันที ส่ายหน้าอย่างแรงแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง
แน่นอนว่าเขาชอบแค่ผู้หญิง
อีกทั้งยังชอบผู้หญิงแค่คนเดียว
ใกล้กับมือทั้งคู่ที่ไพล่หลังของชายที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ปรากฏปราณกระบี่สองกลุ่มหนึ่งทองหนึ่งขาว เล็กบางมากจนแทบจะมองไม่เห็น
เห็นได้ชัดว่าหากพูดจาไม่เข้าหู เขาจะใช้กระบี่บินสังหารคนทันที
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพูดยิ้มๆ ว่า “พูดไปแล้วเจ้าอาจจะโมโหมากกว่าเดิม แต่เจ้าแต่งกายแบบนี้ สวยมากจริงๆ”
เฉินผิงอันใช้สองมือวางค้ำไว้บนกิ่งไม้ ดวงตาใสกระจ่าง “เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของข้า”
คนผู้นั้นที่ตัวเป็นชายแต่แต่งกายเป็นหญิงขมวดคิ้ว
เขาจากไปเงียบๆ ไม่ได้ไปจากยอดเขา แต่ไปยืนอยู่ใกล้กับราวรั้วบนหอชมวิว ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ ตะโกนใส่แผ่นหลังของเขาว่า “ข้าไปแล้วนะ หากเจ้าอยากไปชมวิวบนต้นไม้ ทางที่ดีที่สุดควรฉวยโอกาสตอนนี้ที่คนยังน้อย ไม่อย่างนั้นกุ้ยฮูหยินคงไม่สบอารมณ์เป็นแน่”
คนผู้นั้นไม่สะทกสะท้าน
รอจนเฉินผิงอันเดินไปไกลแล้ว เขาถึงหันกลับมามองต้นกุ้ย สองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขึ้นไปชมทัศนียภาพของภูเขาห้อยหัวในตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม
ส่วนปราณกระบี่สองเส้นนั้นได้ถูกเขาเก็บเข้าไปในเข็มขัดหลากสีตรงเอวนานแล้ว
อันที่จริงพวกมันไม่ใช่ปราณกระบี่ แต่เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่ระดับขั้นสูงมาก แค่รูปร่างไม่สะดุดตาก็เท่านั้น แบ่งออกเป็นชื่อเจินเจียน (ปลายเข็ม) และม่ายหมาง (แสงบนรวงข้าว)
เกิดมาก็มีแล้ว
คือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด
หากในชีวิตมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มก็เท่ากับว่า ไม่มีสักหนึ่งในหมื่น (เปรียบเปรยว่าหาได้ยาก) ของบรรดาผู้ฝึกกระบี่ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่คำว่าหนึ่ง แต่อยู่ที่คำว่าไม่มี
ประเด็นสำคัญคือระดับขั้นของกระบี่ยังดีเยี่ยมจนน่าตกใจ ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงบอกว่าเขาคือผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน หาไม่แล้วก็ไม่มีทางรับเขาเป็นลูกศิษย์
แต่ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะเลื่อนสู่ขั้นขอบเขตหยกดิบได้นั้น อาจารย์ไม่ได้บอก เขาเองก็ไม่ได้ถาม เพราะเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาหลงใหลในศาสตร์ของการอนุมานบนมหามรรคามากกว่า น่าเสียดายก็แต่อาจารย์บอกว่าเขาคงเดินไปบนทางเส้นนี้ได้ไม่ไกลนัก ไม่สามารถสืบทอดวิชาของอาจารย์ได้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคน รวมไปถึงตัวอาจารย์เองต่างก็ยุยงให้เขาฝึกวิชากระบี่ อันที่จริงเขารู้ว่าพวกเขาไม่ได้คาดหวังให้ตนเดินขึ้นไปบนยอดสูงสุดของวิถีกระบี่ ครอบครองตำแหน่งใหญ่อันดับหนึ่งจริงๆ แต่เป็นเพราะมีเจตนาร้าย อยากจะเห็นเรื่องตลกของตนก็เท่านั้น
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก
เขากลัวความสูง
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่กลัวความสูง มันเข้าท่าแล้วหรือ
ตอนนี้บางครั้งที่เขาควบคุมกระบี่บิน ทะยานลมเดินทางท่องเที่ยวไปไกลก็ไม่เคยบินสูงจากพื้นเกินสองจั้ง
เขาชำเลืองตามองกิ่งสูงที่เจ้าหมอนั่นนั่งก่อนหน้านี้แล้วให้รู้สึกว่าอันที่จริงตัวเองก็โง่งมเหมือนกัน
—–