กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 269.2 บนโลกมนุษย์หมื่นเรื่องราวยิบย่อยเหมือนขนวัว
เฉินผิงอันกลับมาที่เรือนเล็กกุยม่าย หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่โอสถทองยืนอยู่ในลานบ้าน ส่งยิ้มต้อนรับ
เดิมทีเฉินผิงอันเคยเป็นฝ่ายไปหาหม่าจื้อที่พักรักษาตัวอยู่ถึงเรือนพัก สอบถามว่าเมื่อไหร่ถึงจะสามารถฝึกกระบี่ได้อีกครั้ง สามวันต่อมา เรือนเล็กกุยม่ายก็กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างที่เคยเป็นเมื่อแรกเริ่มสุด หม่าจื้อช่วยฝึกกระบี่ให้เฉินผิงอัน จินซู่รับผิดชอบส่งอาหารสามมื้อในหนึ่งวัน บางครั้งกุ้ยฮูหยินก็จะมาที่เรือนเล็ก นางไม่ได้รบกวนคนทั้งสอง แค่นั่งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง อย่างมากสุดก็แค่ชงชาให้คนทั้งสองดื่มหนึ่งกาแล้วจากไป
ช่วงระยะเวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันเอายันต์แผ่นที่มีผีงามโครงกระดูกพักผิงอยู่ออกมา กุ้ยฮูหยินนำมาถือไว้ในมือ เพียงไม่นานผีสาวชุดขาวก็ถูก ‘สะบัด’ ออกมา ครั้งแรกที่ได้กลับมาเห็นแสงอาทิตย์อีกครั้ง ผีสาวชุดขาวที่เคยแสดงพลังอำนาจดุร้ายในศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อีผู้นี้ก็เห็นกุ้ยฮูหยินที่เป็นก่อกำเนิดคนหนึ่ง คนพายเรือเฒ่าเซียนพสุธาที่ขอบเขตถดถอยไปยังโอสถทองคนหนึ่ง หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง และยังรวมไปถึงศัตรูอย่างเฉินผิงอันอีกคนหนึ่ง
หากไม่เป็นเพราะผีสาวตายไปแล้ว เกรงว่าจิตวิญญาณคงแหลกสลายไปอีกครั้ง
สุดท้ายภายใต้ความช่วยเหลือของกุ้ยฮูหยิน ‘อริยะจำลอง’ ของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างเกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้ ผีงามโครงกระดูกก็เอ่ยคำสาบานอย่างจริงจังว่าจะจงรักภักดีต่อเฉินผิงอันเป็นเวลาหกสิบปี ค่าตอบแทนก็คือนางสามารถออกจากยันต์ที่ไม่มีปราณวิญญาณราดรดจึงทำให้ดวงจิตของนางค่อยๆ ไหลรินหายไปทีละน้อยแผ่นนั้น เข้าไป ‘พักอาศัย’ อยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไหวแทน
เพราะในประวัติความเป็นมาของต้นไหวโบราณก็มีคำกล่าวว่า ‘เรือนไหว’ อยู่แล้ว ไม่เพียงแต่พวกภูตไม้ที่ชื่นชอบต้นไหวที่มีอายุนับพันปีขึ้นไป วิญญาณผีและวัตถุหยินก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ค่ำคืนหนึ่งก่อนที่จะขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัว ทางช้างเผือกเปล่งประกายระยิบระยับ จู่ๆ ผู้เฒ่าพายเรือก็มาหาเฉินผิงอัน พาเขาไปยังท่าเรือที่อยู่ตรงตีนภูเขาเกาะกุ้ยฮวา รอจนเฉินผิงอันไปถึงที่นั่นถึงได้สังเกตเห็นว่าตรงท่าเรือมีเจียวหลงเยาว์วัยตัวหนึ่งปีนขึ้นมา มันเอาศีรษะวางพาดไว้บนชายฝั่ง ร่างกายส่วนใหญ่จมอยู่ในน้ำทะเล สายตาที่มันมองเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และซาบซึ้งใจอย่างไร้เดียงสา
คนพายเรือเฒ่านั่งยองริมท่าเรือ จุ๊ปากพูด “เจ้าเด็กที่น่าสงสารตัวนี้ หากเป็นมนุษย์เราก็คงอายุประมาณหกเจ็ดขวบกระมัง ตอนนั้นกุ้ยฮูหยินไม่อยากทำให้เจ้าตัวน้อยที่เป็นผู้บริสุทธิ์ลำบากใจ จึงเก็บไว้แค่ข้องราชามังกร ปล่อยตัวมันไป คิดไม่ถึงว่าดูเหมือนมันจะไม่มีบ้านให้กลับ จึงไล่ตามเกาะกุ้ยฮวามา แต่ก็ไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้เกินไปนัก ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทั้งคืน ว่ายวนเวียนอยู่รอบเกาะกุ้ยฮวาไม่ยอมไปไหน ตอนนี้พวกเราขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัวมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวน้อยคงรู้ว่าหากยังขยับไปข้างหน้าต่อย่อมต้องตายสถานเดียว คราวนี้แม้แต่ตอนกลางวันก็ยังร้องไห้งอแง หากไม่เป็นเพราะกุ้ยฮูหยินสงสารมัน จึงช่วยอำพรางลมปราณให้กับมัน เกรงว่าคงถูกพวกผู้ฝึกลมปราณที่เคียดแค้นถลกหนังดึงเส้นเอ็นของมันออกมานานแล้ว”
สุดท้ายคนพายเรือเฒ่าพูดยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน ดูเหมือนมันตั้งใจจะมาหาเจ้าโดยเฉพาะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาตอบแทนบุญคุณหรือมาแก้แค้น แม้ว่ามันจะอายุยังน้อย ทว่าพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงมีนิสัยเลือดเย็นเจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เกิด เรื่องนี้จึงพูดได้ยาก”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร แค่หยิบหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งมาโยนให้เจียวน้อย มันกลืนลงไปตามสัญชาตญาณ สีหน้าคล้ายจะเลื่อนลอยเล็กน้อย
เฉินผิงอันโบกมือบอกเป็นนัยให้มันกลับไป
เจียวน้อยบิดตัวกลับเข้าไปในมหาสมุทร แค่ร้องคร่ำครวญเบาๆ ถึงกระนั้นก็ยังไม่อยากขยับออกห่างจากน่านน้ำทะเลของเกาะกุ้ยฮวา เฉินผิงอันคิดแล้วก็ขว้างหินดีงูธรรมดากำใหญ่ไปกลางทะเล
เจียวน้อยว่ายน้ำไปอย่างบ้าคลั่งจนเกิดคลื่นลูกยักษ์โถมตัว ไล่กลืนหินดีงูแต่ละก้อนที่สำหรับมันแล้วเป็นเหมือนอาหารเลิศรส
สุดท้ายเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือพูดกับมันว่า “วันหน้าจงตั้งใจฝึกตนให้ดี วันนี้เจ้าได้รับบุญคุณจากข้า หากยังชอบทำร้ายผู้คนเหมือนเจียวเฒ่าตัวนั้น ข้าจะต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียว”
เจียวหลงกลับมาหยุดอยู่ข้างท่าเรืออีกครั้ง ชูศีรษะขึ้นสูงเหนือท่าเรือ เบิกตากว้างคล้ายต้องการจดจำใบหน้าของเฉินผิงอันไว้ให้แม่น
ครู่หนึ่งต่อมา มันถึงทิ้งตัวไปด้านหลัง กลับคืนสู่ทะเลกว้างอีกครั้ง
คนพายเรือเฒ่าผ่านมรสุมมาอย่างโชกโชนแล้ว จึงกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “เจ้ามีเจตนาดีจึงผูกบุญสัมพันธ์ครั้งนี้ แต่เรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ ไม่แน่เสมอไปว่าทำดีแล้วจะได้ดีตอบแทน”
สีหน้าของเฉินผิงอันเฉยเมย มองไปยังผิวน้ำทะเลที่แสงดาวส่องประกายระยิบระยับเหมือนเศษเงินเศษทอง เอ่ยเบาๆ ว่า “หากเป็นกรรมสัมพันธ์ก็สะบั้นมันด้วยกระบี่เดียว”
ตอนนั้นคนพายเรือเฒ่านึกถึงอาจารย์ผู้มีพระคุณของตนที่ไม่รู้จะหายตัวไปอีกกี่ร้อยปี และยังมีตำราสีทองที่เซียนทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ซึ่งเฉินผิงอันนำมามอบให้เขา จึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของเฉินผิงอัน
……
สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย
ปีนั้นเมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ออกเดินทางจากต้าหลีมาด้วยกันมาถึงภูเขาตงซานลูกนี้ ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมกันอย่างในวันวานอีกแล้ว
หลี่ไหวได้รู้จักเพื่อนใหม่สองคน คนหนึ่งคือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่ขี้ขลาดมาก อีกคนหนึ่งคือเด็กซุกซนตระกูลยากจนที่ใจกล้าเทียมฟ้า คนทั้งสองต่างก็อายุมากกว่าหลี่ไหวเล็กน้อย เด็กสามคนเล่นด้วยกันอย่างบ้าคลั่งทั้งวัน สนุกสนานกันอย่างเต็มคราบ
หลินโส่วอีตอนนี้ตั้งใจมานะฝึกตน อ่านตำราทุกเล่มจนครบถ้วน ไปๆ มาๆ อยู่ระหว่างห้องหนังสือ หอพักและห้องเรียน โดดเด่นดุจนกกระเรียนในฝูงไก่
อวี๋ลู่สนิทกับเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยอย่างมากจนกลายมาเป็นเพื่อนรักกัน ยิ่งนานวันเกาเซวียนก็ยิ่งชอบมาตกปลาเป็นเพื่อนอวี๋ลู่ที่สำนักศึกษา
ส่วนเซี่ยเซี่ยที่นอกจากจะไปฟังอาจารย์สอนในห้องเรียนแล้ว ทุกวันมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ให้กับชุยตงซานด้วยความยินดี
หลังจากคราวก่อนที่หลี่เป่าผิงอ่านจดหมายที่อาจารย์อาน้อยส่งมาให้ ภายหลังเป็นช่วงระยะเวลายาวนานมากที่แม่นางน้อยเหมือนจะซึมไป
วันนี้นางโดดเรียนอีกแล้ว นางปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาของภูเขาตงซานอย่างว่องไวเหมือนแมวป่าตัวน้อยที่คล่องแคล่วปราดเปรียว นางนั่งอยู่บนกิ่งไม้ เอนหลังพิงลำต้น ตรงคอยังคงแขวนแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่าผู้นำแห่งยุทธภพแผ่นนั้น ภายหลังนางรู้สึกว่ายังไม่น่าเกรงขามมากพอจึงสลักคำว่า ‘ผู้ออกคำสั่งแก่กลุ่มวีรบุรุษ’ เพิ่มเข้าไปอีก หลังจากนั้นพอได้เริ่มแล้วก็หยุดตัวเองไม่ได้ แผ่นไม้เล็กๆ ถูกนางสลักถ้อยคำห้าวเหิมเปี่ยมกลิ่นอายในยุทธภพไว้เต็มไปหมด ส่วนใหญ่ล้วนคัดลอกมาจากหนังสือนิยาย ยกตัวอย่างเช่นประโยคทำนองว่า ‘เจ็บใจก็แต่นับจากนี้ไปชีวิตนี้คงไร้ศัตรูทัดทาน’ เป็นต้น
เด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้ข้างกัน ร่างของเขาโยกขึ้นลงน้อยๆ ไปตามกิ่งไม้ ถามยิ้มๆ ว่า “เป็นอะไรไป โกรธหรือ?”
หลังจากเข้าหน้าร้อน แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงก็เปลี่ยนมาเป็นแม่นางน้อยชุดตัวบางสีแดง นางกล่าวเสียงขุ่น “ ไม่ได้โกรธ”
ชุยตงซานถาม “รู้สึกว่าพวกหลี่ไหว หลินโส่วอีห่างเหินจากเจ้าไปทุกทีใช่หรือไม่?”
แม่นางน้อยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ห่างเหินจากข้าก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็ก ข้าก็ไม่ชอบยุ่งกับพวกเขาอยู่แล้ว”
ชุยตงซานยิ้มอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนอาจารย์ของข้าล่ะสิ?”
แม่นางน้อยมีนิสัยตรงไปตรงมาจึงพยักหน้ายอมรับอย่างเปิดเผย “อืม”
ชุยตงซานสอดมือสองข้างรองไว้ที่ท้ายทอย พูดเหมือนปลงอนิจจัง “ทุกคนล้วนต้องเติบโต พอโตขึ้นแล้วก็มักจะหยิบของใหม่ โยนของเก่าบางอย่างทิ้ง เก็บๆ ทิ้งๆ อยู่อย่างนี้ แปบเดียวก็แก่แล้ว”
แม่นางน้อยเดือดดาล “อาจารย์อาน้อย พวกเขาก็ตัดใจทิ้งได้อย่างนั้นหรือ?!”
ชุยตงซานหันหน้าไปมองแม่นางน้อยที่สีหน้าเกรี้ยวกราด ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีอะไรที่ต้องตัดใจหรือไม่ตัดใจเล่า อีกอย่างต่อให้อาจารย์ข้ารู้เรื่องพวกนี้ก็ไม่มีทางโกรธ แล้วเจ้าจะโกรธทำไม ไม่มีความจำเป็น”
แม่นางน้อยยกสองมือกอดอก โมโหหนักกว่าเดิม
ชุยตงซานหันหน้ากลับไปมองยังทิศทางของเมืองหลวงต้าสุย “วันหน้าเจ้าอาจจะได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่ดีมากๆ เติบโตไปด้วยกันอย่างรู้ใจ แล้วจากนั้นสักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องแต่งงาน เจ้าจะชอบสามีของเจ้ามากยิ่งกว่า หรือเจ้าอาจจะได้พบเจออาจารย์ที่ดีกว่าฉีจิ้งชุน แล้ววันหนึ่งก็รู้สึกว่าความรู้ของอาจารย์ฉีไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุด และในอนาคตเจ้าก็อาจจะเจอกับ…เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดี หรืออาจถึงขั้นดีกว่าอาจารย์อาน้อยของเจ้า แล้วเจ้าก็จะค้นพบว่าความกลัดกลุ้มเอย ความทุกข์ใจในเวลานี้เอย ก็มีเพียงแค่นี้เอง ถึงเวลานั้นดื่มเหล้าแค่อึกสองอึก มันก็จะหายไปพร้อมกับเหล้าที่ไหลลงท้องแล้ว…”
ชุยตงซานหันขวับกลับมา เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เป่าผิงน้อย เจ้าถึงขนาดไม่ตอบโต้ข้า หากเจ้ายังไม่พูดอะไรอีก ข้าจะพูดต่อไม่ออกแล้วนะ!”
แม่นางน้อยย่นดวงหน้าเล็กๆ ที่งดงาม “ข้ากำลังยุ่งอยู่กับการเสียใจนะ!”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ ทิ้งตัวไปข้างหลังแล้วพลิกตัวหันข้างนอนเอนลงบนกิ่งไม้เล็กบาง เขาใช้มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ สายตาจ้องนิ่งไปที่แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายสีแดง
สักวันหนึ่งเมื่อแม่นางน้อยเริ่มตัวสูงขึ้น ใบหน้าเล็กๆ กลมๆ จะซูบลง ปลายคางแหลมเล็ก ดวงตายังคงคลอประกายน้ำ ทั้งใสสะอาดทั้งเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา และอาจยังสวมชุดสีแดง ควบม้าอยู่ในยุทธภพ ดื่มสุราอยู่ท่ามกลางแม่น้ำและภูเขา บางทีอาจจะได้พบเจอเรื่องราวที่ทำให้ดีใจ หรือพบกับคนที่ทำให้เสียใจกระมัง?
ชุยตงซานถอนหายใจ
เขากลุ้มใจเล็กน้อย
หากมีวันหนึ่งแม่นางที่ดีขนาดนี้ชื่นชอบอาจารย์ของเขาเข้าจริงๆ แบบนั้นคงน่ากลุ้มใจอย่างมาก
แต่หากมีวันหนึ่ง นางไม่ชอบอาจารย์ของเขามากที่สุดอีกแล้ว บางทีอาจจะยิ่งน่าเสียดายมากกว่า
ชุยตงซานเบี่ยงตัวนอนหงาย ยกขาไขว่ห้าง เริ่มหลับตานอน
เรื่องการพบกันอย่างผิวเผินและเรื่องใจคนห่างเหินนั้น ต่อให้ชุยตงซานในเวลานี้จะอยู่ในร่างของเด็กหนุ่ม ทว่าถึงอย่างไรอุปสรรคและประสบการณ์ทั้งหลายก็ล้วนสั่งสมอยู่ในใจ เทียบกับราชครูชุยฉานแล้วก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย
มีประโยคหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกแม่นางน้อย
เขาชุยตงซาน รวมไปถึงชุยฉานผู้เฒ่า จั่วโย่ว เหมาเสี่ยวตง หรือแม้แต่ฉีจิ้งชุนเอง ปีนั้นล้วนอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกป้องของซิ่วไฉเฒ่า ค่อยๆ เติบโตมาด้วยกัน ทว่าถึงท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างก็หวังว่าจะได้เดินออกจากร่มเงานั้น พอเดินออกมาแล้ว กลับกลายเป็นว่าดียิ่งกว่าเดิม เดินออกมาไม่ได้ ใจคนก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป
แม่นางชุดแดงที่อยู่ไม่ห่างเก็บป้ายไม้ ควักเอาม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้ออย่างระมัดระวัง ในภาพมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ กำลังส่งยิ้มมาให้นาง
แม่นางน้อยเลิกกลุ้มทันที นางค่อยๆ คลี่ยิ้ม เอ่ยอย่างมีความสุขว่า “อาจารย์อาน้อยที่ดื่มเหล้าเป็นแล้วเท่ห์มากจริงๆ รอข้าโตกว่านี้จะต้องให้อาจารย์อาน้อยพาข้าท่องไปในยุทธภพด้วยกัน!”
แม่นางน้อยยิ่งคิดก็ยิ่งลิงโลด หันหน้ามาตะโกนถามเสียงดัง “ชุยตงซาน ดื่มเหล้ายากหรือไม่?”
ชุยตงซานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “เจ้าห้ามดื่มเหล้า!”
หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างโมโห “ทำไม?!”
ชุยตงซานบ่นอย่างไม่พอใจ “อาจารย์ตัดใจด่าเจ้าไม่ลงแม้แต่ครึ่งคำ แต่กลับตัดใจตีข้าจนตายได้!”
หลี่เป่าผิงถอนหายใจหนึ่งที ส่ายศีรษะกล่าวด้วยน้ำเสียงเวทนา “น่าสงสารจริงๆ”
ชุยตงซานชำเลืองตามองแม่นางน้อยที่คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า “เสี่ยวเป่าผิงเอ๋ย วันหน้าเวลาเจ้าปลอบใจคนอื่น รบกวนช่วยเก็บใบหน้ายิ้มสมน้ำหน้าคนอื่นไปด้วยนะ”
หลี่เป่าผิงทำมือเป็นท่าถือตราประทับ
ชุยตงซานถอนหายใจอย่างเศร้าสลด พึมพำเบาๆ ว่า “ทำดีไม่ได้ดี”
……
ระหว่างภูเขาห้อยหัวกับน้ำทะเลกว้างใหญ่มี ‘ทางน้ำ’ หลายเส้นที่ลักษณะคล้ายน้ำคล้ายเมฆลอยอยู่กลางอากาศ เพื่อสะดวกให้เรือทุกลำจอดเทียบท่า เรือจำนวนมากที่สามารถทะยานลมจำเป็นต้องลดระดับลงมาถึงพื้นผิวน้ำทะเลก่อน ไม่สามารถขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัวได้โดยตรง
เกาะกุ้ยฮวาจอดเทียบท่าเรือที่อยู่เบื้องล่างทางน้ำสายหนึ่งชั่วขณะ แค่ส่งมอบตำราสีชาดที่ลักษณะคล้ายหนังสือผ่านทางพอเป็นพิธี ไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางที่ราคาสูงเทียมฟ้า จากนั้นก็เริ่มขับเอียงไปบนทางน้ำที่มุ่งหน้าเข้าหาภูเขาห้อยหัว
ในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบภูเขาห้อยหัวมีเพียงภูเขาลูกนี้ลูกเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ในโลก เรียกได้ว่าอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล
มีนักพรตเต๋าร่างสูงใหญ่ลักษณะเหมือนชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมหน้าผา ด้านหลังคือนักพรตเต๋าร่างผอมแห้งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเทพเซียน ในมือถือไม้ปัดฝุ่นที่แต่ละเส้นเป็นสีทองสลับสีเงิน ล้วนเป็นหนวดของเจียวหลง นักพรตเฒ่าถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ ต้องการให้ศิษย์ลงมือทำลายเกาะกุ้ยฮวาให้ย่อยยับหรือไม่?”
นักพรตสูงใหญ่ตอบยิ้มๆ “ยินดีแข่งขันก็ต้องรู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ แพ้ในการต่อสู้แค่ไม่กี่ครั้ง มีอะไรน่าอายกัน ข้าไม่ใช่อาจารย์ปู่ของเจ้าสักหน่อยที่ไม่เคยพ่ายแพ้ใครตลอดชีวิต”
ระหว่างที่เทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวท่านนี้กำลังสนทนา
ใต้หล้ามืดสลัว
มีนักพรตคนหนึ่งถูกคนผู้หนึ่งต่อยจากฟ้านอกฟ้าเข้ามายังโลกมนุษย์ที่อยู่เบื้องใต้ใต้หล้ามืดสลัว
—–