กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 271.1 แม่นางหนิง ไม่เจอกันนานเลยนะ
วันนี้หลังจากที่ไปเรือนซือเตามาแล้ว สุดท้ายเฉินผิงอันกับจินซู่ก็ไปที่หอจิ้งเจี้ยน เมื่อเป็นเช่นนี้แผนการเดินทางในวันนี้จึงร่นระยะทางน้อยที่สุด ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินอ้อมไปไกล
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่หน้ากำแพงเรือนซือเตาที่ปิดแผ่นรายการไว้เต็มไปหมด เฉินผิงอันเจอชื่อของคนที่คุ้นเคยสามชื่อ ชุยฉาน สวี่รั่ว ซ่งจ่างจิ้ง
จำนวนใบประกาศจับของชุยฉานมีเยอะที่สุด มากถึงหกแผ่น คนที่เอาใบประกาศมาติดมาจากทวีปใหญ่สี่แห่ง แค่คิดก็รู้ได้ว่าในอดีตศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในใต้หล้าไพศาลมากถึงเพียงใด
สวี่รั่วจากสำนักโม่และอ๋องแห่งแคว้นต้าหลีต่างก็มีกันคนละแผ่น เหตุผลนั้นประหลาดมาก คนที่ให้รางวัลนำจับสวี่รั่วคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ลงนามว่า ‘หลิวโหรวสี่เทวนารีน้ำใสแห่งทะเลสาบเจิงหรง’ ระหว่างถ้อยคำที่เขียนบรรยายเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความรักอาลัย
ส่วนคนที่ลงประกาศจับซ่งจ่างจิ้งลงนามว่าหานว่านจั่นแห่งทวีปเกราะทอง อาจเป็นเพราะว่าคนผู้นี้มีเงินเยอะมาก แต่ไม่มีที่ให้ใช้ เหตุผลของเขาจึงมีแค่รู้สึกว่าแจกันสมบัติทวีปที่เป็นทวีปเล็กไม่คู่ควรให้มีปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ขอบเขตปลายทาง
ตอนที่เฉินผิงอันกับจินซู่หมุนกายจากไปได้เดินสวนทางห่างๆ กับคนสามคนที่เดินมาจากอีกฝั่งหนึ่งของถนน
เฉินผิงอันอดใจไม่ไหวมองซ้ำไปอีกหนึ่งรอบ เพราะผู้หญิงคนนั้นสูงมากจริงๆ เส้นผมสีนิลเต็มศีรษะถูกมัดรวบขึ้นเป็นหางม้า เรือนร่างได้สัดส่วน ตรงเอวห้อยกระบี่ยาวไร้ฝักไว้เล่มหนึ่งคล้ายกระบี่ใหม่ที่เพิ่งออกมาจากเตาหลอม ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ระหว่างที่หญิงสาวร่างสูงใหญ่ก้าวเดิน กระบี่ยาวก็สะท้อนเส้นแสงใสสว่างสีขาวหิมะเป็นระลอก
อันที่จริงไม่ใช่แค่เฉินผิงอันเท่านั้น คนมากมายที่อยู่สองฝากฝั่งของถนนต่างก็กำลังมองประเมินหญิงสาวประหลาดผู้นี้กันแทบทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น
บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเดินเคียงไหล่มากับนาง กระซิบกระซาบกันอยู่เป็นระยะ บางครั้งหญิงสาวจะพยักหน้ารับ น้อยครั้งมากที่จะเอ่ยพูดอะไร
ด้านหลังคนทั้งสองคือข้ารับใช้วัยกลางคนคนหนึ่งที่มีปราณสังหารเข้มข้นจนยากจะปกปิดได้ อาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ต่ำกว่าขอบเขตเจ็ดลงมา ยังสร้างร่างทองไม่สำเร็จจึงปกปิดลมปราณไว้ไม่อยู่ ทว่าหากเป็นขอบเขตเจ็ดขึ้นไป แล้วยังสามารถสร้างบรรยากาศเช่นนี้ได้ นั่นก็ค่อนข้างน่ากลัวแล้ว ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่นับพันนับหมื่นคนของใต้หล้าไพศาล จั่วโย่วแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็คือตัวอย่างที่สุดโต่งที่สุด
ต่อให้เดินห่างไปไกลมากแล้ว จินซู่ก็ยังอดหันหน้ากลับมามองแผ่นหลังของหญิงสาวคนนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ไม่ได้ แม้ว่าสตรีนางนั้นไม่ได้เอ่ยอะไร ไม่ได้สวมใส่อาภรณ์เลิศหรู หรือถึงขั้นไม่ได้เป็นโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมือง ทว่าจินซู่กลับรู้สึกอิจฉาหญิงสาวที่เป็นเช่นนี้อย่างที่ตัวนางเองก็บอกเหตุผลไม่ถูก
คนบางคนมักจะมีความแตกต่างอยู่เสมอ แค่มองครั้งเดียวก็ทำให้คนจดจำได้หลายปี แต่คนบางคนที่ต่อให้ผ่านไปอีกสักกี่ปีก็ไม่เคยจดจำไว้ในหัวใจ
เฉินผิงอันกลับไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพียงไม่นานก็เดินไปบนเส้นทางของตัวเอง ดื่มเหล้าคำเล็กๆ เป็นระยะ เขาแค่นึกถึงสะพานหินโค้งของที่บ้านเกิดเท่านั้น แน่นอนว่าคิดไปคิดมาก็คิดถึงสะพานโค้งสีทองบนสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ยาวไกลเหมือนไร้ที่สิ้นสุดแห่งนั้นด้วย
ตลอดทางที่เดินมา หญิงสาวร่างสูงใหญ่ไม่เคยมองสังเกตใคร
นางเดินตรงดิ่งไปที่หน้ากำแพงของเรือนซือเตา แหงนหน้ากวาดตามองรายการนำจับอย่างรวดเร็ว ตอนที่สายตากวาดผ่านประกาศส่วนใหญ่ล้วนมีท่าทางไร้ความสนใจ คร้านจะมองให้มากเกินครั้งเดียว แต่สุดท้ายพอสายตาไปหยุดอยู่ที่กระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งอยู่ตรงมุมซ้ายสุด ดวงตานางกลับเป็นประกายวาบ
การเดินทางลงใต้มายังภูเขาห้อยหัวในครั้งนี้ได้โดยสาร ‘หอหอยกาบ’ เรือข้ามฟากที่อยู่ในนามราชวงศ์ของตน จากทิศเหนือของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางบินผ่านทะเลสาบเจิงหรงหนึ่งในห้าทะเลสาบใหญ่ ผ่านภูเขาสุ้ยซานที่ใหญ่ที่สุดในโลก แล้วก็ผ่านทักษินาตยทวีป ตลอดทางมานี้นางอยู่ในห้องตลอดเวลา อ่านตำราโบราณที่เก็บไว้ในคลังลับของราชวงศ์บางแห่งที่ล่มสลายไปแล้ว ไม่เคยออกมาปรากฎตัวให้ใครเห็น ใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบ นั่นก็เพราะนางต้องใช้ความคิดว่าหลังจากหล่อหลอมกระบี่ที่ภูเขาห้อยหัวในครั้งนี้แล้ว ระหว่างที่เดินทางกลับทิศเหนือควรจะหาเรื่องอะไรให้ตัวเองทำ
นางยื่นมือไปกระชากกระดาษนำจับแผ่นนั้นมาไว้ในมือ หันไปพูดกับทางประตูใหญ่ของเรือนซือเตาอย่างเฉยเมยว่า “เงินรางวัลนำจับนี้ ข้ารับไว้แล้ว”
ก่อนหน้านี้บุรุษหล่อเหลามองตามสายตาของสตรีร่างสูงใหญ่ไป ปากก็คอยบ่นพึมพำตลอดเวลา ตอนที่นางจ้องมองประกาศแผ่นนี้ เขาก็ท่องในใจตัวเองว่า “อย่าฉีกแผ่นนี้ อย่าฉีกแผ่นนี้ เปลี่ยนไปเป็นแผ่นไหนก็ได้…”
ผลกลับกลายเป็นว่าสวรรค์ไม่เป็นใจ หญิงสาวกลับฉีกประกาศแผ่นเก่าที่ไม่รู้ว่าแปะอยู่ตรงนี้มานานกี่ปีแล้วแผ่นนั้นไป
ใบหน้าของปรมาจารย์ข้ารับใช้ด้านหลังชายหญิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีท่าทางแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับรู้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
ชายฉกรรจ์พูดด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว “ราชครู พวกเราจะไปก่อเรื่องที่นครจักรพรรดิขาวกันจริงๆ หรือ ยักษ์ใหญ่วิถีมารที่อยู่ใกล้ๆ กับพวกเราก็เป็นรองแค่เจ้านครจักรพรรดิขาวไม่กี่ระดับเท่านั้น เขาเองก็อยู่ในลำดับสิบพญามารแห่งใต้หล้าไพศาลเหมือนกัน เหตุใดราชครูถึงไม่ไปหาเขา? ไปกลับรอบหนึ่ง ไม่แน่ว่าข้าอาจจะสามารถอุ่นเหล้าหนึ่งกาให้ราชครูอยู่ในวังหลวงได้เสร็จพอดี แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเพราะกริ่งเกรงราชครู มารตนนี้จึงเร้นกายไปจากโลกภายนอก แถมยังมีข่าวลือออกมาว่าได้ย้ายสำนัก…”
นางตัดบทคำพูดของบุรุษ “การที่ข้าสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้ คนผู้นั้นถือว่ามีความชอบใหญ่หลวง ลืมบอกฝ่าบาทไปว่า เขาถูกข้าสังหารไปแล้ว”
บุรุษอึ้งตะลึง ก่อนจะกล่าวอย่างเสียดายว่า “เหตุใดราชครูไม่เกลี้ยกล่อมให้เขามาสวามิภักดิ์กับเรา หากได้คนผู้นี้มาช่วยเหลือ…”
หญิงสาวร่างสูงใหญ่หัวเราะ “ข้าเคยทำแล้ว แต่เขามีข้อเรียกร้องข้อหนึ่ง บอกว่าต้องการให้ข้าไปเป็นอนุภรรยาของเขา ข้าคิดดูแล้วรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับการยกน้ำชงชาให้เขาแล้ว ฆ่าเขาเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า”
บุรุษถอนหายใจก่อนหนึ่งครั้ง แต่แล้วก็ตระหนักขึ้นมาได้จึงตีอกชกตัวพูดว่า “ราชครู เจ้าบอกข้ามาตามตรง คำพูดพวกนี้พูดกันก่อนที่จะต่อสู้ใช่ไหม?”
หญิงสาวรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ตบไหล่บุรุษพร้อมยิ้ม “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
ภายหลังมารตนนั้นคุกเข่าขอร้องโขกหัวยอมรับผิดอยู่แทบเท้านาง นางไม่ได้ตอบรับ หลังออกมาจากลัทธิมารที่กลาดเกลื่อนไปด้วยซากศพแห่งนั้น นางควบม้าอยู่บนทางเล็กท่ามกลางภูเขา ปลายทวนยาวที่ถืออยู่ในมือยังปักตรึงศีรษะนั้นเอาไว้ เดิมทีคิดจะถือไปให้ฝ่าบาทที่อยู่ในวังหลวงได้ทอดพระเนตร ให้เขาได้เห็นว่าศีรษะของพญามารที่เขาเอาแต่ติดใจคิดถึงนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ แต่พอนึกถึงว่าฮ่องเต้ต้องบ่นที่ตนไม่คิดถึงส่วนรวม เลยสะบัดข้อมือสลัดศีรษะนั้นให้หลุดจากปลายทวน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน
ดังนั้นนางจึงรู้สึกผิดต่อฮ่องเต้ที่อยู่ข้างกายเล็กน้อย
ฮ่องเต้คนหนึ่งที่แม้แต่เรื่องแต่งตั้งหรือปลดฮองเฮา คัดเลือกรัชทายาท เลือกสถานที่สร้างสุสานเชื้อพระวงศ์ก็ยังต้องสอบถามตน ถือว่าหาได้ยากมากในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้
นางต้องรู้จักทะนุถนอมเอาไว้ให้ดี
บุรุษเสียดายจนหัวใจเริ่มด้านชาแล้ว พูดแบบเนือยๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรีบให้คนส่งข่าวไปที่เมืองหลวง บอกให้พวกเขาเอาเสื้อเกราะตัวนั้นมาให้ราชครู เจ้านครจักรพรรดิขาวฝีมือไร้เทียมทานเกินไป ราชครูจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
จู่ๆ นางก็ส่ายหน้า ดวงตาฉายประกายเร่าร้อน “หากเปิดศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายกับเจ้านครจักรพรรดิขาว จะสวมเสื้อเกราะแท่นเงินทองตัวนั้นหรือไม่ก็ไม่ได้ต่างกัน ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่เกินความจำเป็น”
น้ำเสียงของบุรุษหนักอึ้ง “ขอร้องเจ้ามาหลายครั้งแล้ว ข้าจะขอร้องเจ้าอีกครั้ง อย่าให้ถึงขั้นตัดสินเป็นตายกันเลย เอาแค่รู้แพ้รู้ชนะก็พอแล้ว จากนั้นก็ชมเมฆหลากสี เล่นหมากล้อม เดินเล่นริมแม่น้ำสายใหญ่ร่วมกับเจ้านครจักรพรรดิขาวก็พอ…”
หญิงสาวร่างสูงใหญ่ชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่งแล้วคลี่ยิ้ม “ฝ่าบาทอยากจะให้มีวันหนึ่งที่เจ้านครจักรพรรดิขาวแต่งเข้าเป็นเขยของราชวงศ์เราอย่างนั้นหรือ?”
บุรุษชูนิ้วโป้ง กล่าวอย่างคนหน้าหนาไร้ความละอาย “ราชครูวางแผนได้รัดกุมแม่นยำยิ่งนัก!”
หญิงสาวตอบอย่างเฉยเมย “ชั่วชีวิตนี้ข้าจะแต่งงานให้กับวิถีวรยุทธ์อย่างเดียวเท่านั้น”
บุรุษถอนหายใจ ไม่พูดอะไรให้มากความอีก
เมื่อหญิงสาวร่างสูงใหญ่ฉีกใบประกาศนี้ลงมา ไม่มีคนใดของเรือนซือเตาออกมาต้อนรับ ผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่มาชมความคึกคักใกล้บริเวณกำแพงก็พากันแยกย้ายแตกฮือ
ในบรรดายอดฝีมือสิบคนล่าสุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แน่นอนว่าต้องเป็นคนบนยอดเขาที่เคยเผยโฉมต่อชาวโลกมาก่อนในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา หาไม่แล้วจะถูกคัดออก
สุดท้ายผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนที่เดิมทีมีด้วยกันสิบท่าน อย่างเช่นพวกเทียนซือใหญ่จากภูเขามังกรพยัคฆ์ ผลกลับกลายเป็นว่าตอนนี้เหลือแค่เก้าคนเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวได้เลื่อนสู่ลำดับขั้นนี้
อีกทั้งสตรีที่เป็นเทพแห่งการต่อสู้ผู้นั้นยังกระโจนสู่ห้าอันดับแรกในรวดเดียว
อันดับที่สี่ก็คือเจ้านครจักรพรรดิขาว
หญิงสาวร่างสูงใหญ่หันไปพูดกับข้ารับใช้ที่อยู่ข้างหลังว่า “เจ้าเดินทางไปที่แจกันสมบัติทวีปแทนข้า หากคนเขาไม่เต็มใจมอบฝักกระบี่มาให้ก็ช่างเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำให้เขาลำบากใจ”
ชายฉกรรจ์ผู้เป็นข้ารับใช้พยักหน้ารับ
—–