กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 277.2 ในบรรดาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
สุดท้ายเด็กหนุ่มชุดขาวเดินออกจากร้านเหล้า เขาไม่ได้ไปหาอาจารย์ที่เข้าพำนักในจวนส่วนตัวของตระกูลใหญ่บางแห่ง แต่ตรงดิ่งไปที่ตีนเขาเดียวดาย พอขยับเข้าใกล้บริเวณประตูใหญ่ของลานกว้าง นักพรตน้อยและชายฉกรรจ์อุ้มดาบต่างก็พากันเอ่ยทักทายเด็กหนุ่ม เฉาสือจึงหยุดเดิน พูดคุยกับพวกเขาอยู่พักใหญ่ถึงเดินเข้าไปในหน้ากระจก ผลกลับกลายเป็นว่าพอไปถึงทางฝั่งนั้น ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่ก้มหน้าก้มตาหล่อหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตและนักพรตหญิงที่ตรงเอวพกดาบอาคมก็ทักทายกับเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน เฉาสือจึงหยุดเดินอีกครั้งเพื่อพูดคุยกับพวกเขา
คุยกันเรื่องกถามรรค คุยเรื่องเวทกระบี่ คุยเรื่องใต้หล้า
ไม่ว่ากับใคร เฉาสือก็พูดคุยด้วยได้หมด
หลายปีมานี้ล้วนเป็นเช่นนี้
แม้แต่พวกเทพเซียนอาวุโสที่มีชื่อเสียงประสบความสำเร็จมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือที่หลบเร้นไม่เผยตัวต่อโลก หรือเซียนกระบี่ที่มีศักยภาพน่ากริ่งเกรง บางคนที่ได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มถึงกับได้รับผลประโยชน์มหาศาล บางคนถึงกับรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้เด็กหนุ่มซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่คนหนึ่งไม่ได้
เฉาสือ
เฉาสือจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ชาติกำเนิดธรรมดา บรรพบุรุษทำไร่ทำนามาหลายรุ่นหลายสมัย ครอบครัวของเขายังเรียกว่าพอมีพอกินไม่ได้ด้วยซ้ำ เพลิงสงครามครั้งหนึ่งถล่มให้เมืองในอุดมคติที่สงบสุขพังราบเป็นหน้ากลอง ผู้ลี้ภัยพลัดถิ่นฐานระหกระเหเร่ร่อน ทุกวันต้องมีคนที่ทั้งจากเป็นและจากตาย
จากนั้นหญิงสาวร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่ควบม้าท่องยุทธภพเพียงลำพังก็มองเห็นเขา รับเขาเป็นลูกศิษย์
ตอนนั้นหญิงสาวกอดเขาไว้ในอ้อมอก ท่ามกลางค่ำคืนที่สายลมหิมะพัดหวีดหวิว พวกเขาอยู่บนม้าตัวเดียวกัน นางพูดกับเด็กชายที่อายุแค่เจ็ดแปดขวบด้วยรอยยิ้มว่า “เฉาสือ นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือลูกศิษย์เพียงคนเดียวของข้าเผยเปย”
เฉาสือเดินผ่านเมืองที่อยู่ทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปอย่างเชื่องช้า ตลอดทางถ้ามีคนที่รู้จักมักคุ้นกันเอ่ยทักทาย เขาก็จะหยุดพูดคุยกับพวกเขา หากไม่มีใครทัก บางครั้งเขาก็จะหยุดเดิน ก้มหน้าลงมองว่าวกระดาษที่ปลิวละล่อง มองชายคาที่ตวัดงอนสูง บ้างก็มองไปยังภาพเทพทวารบาลมืดมนไร้สีสันที่แปะอยู่บนประตู
สุดท้ายเขาเดินขึ้นไปบนหัวกำแพงช้าๆ กลับไปยังกระท่อมหลังเล็กที่อยู่ด้านหลังกระท่อมเก่า ด้วยเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำจึงหยิบหนังสือสองสามเล่มมาเปิดอ่าน อ่านไปเล่มละไม่กี่หน้าก็วางลง เดินออกจากกระท่อมไปไกลถึงเจ็ดแปดลี้ ถึงได้หาท่านปู่เฉินที่กำลังยืนอยู่บนกำแพงมองไปทางทิศใต้เจอ
เด็กหนุ่มชุดขาวกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงเบาๆ
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มต่างก็เงียบงัน ไม่พูดจา
……
ออกจากร้าน หนิงเหยาที่ถามหาตำแหน่งที่ตั้งของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยแล้วก็พาเฉินผิงอันเดินไปทางท่าเรือจัวฟ่าง
ผลคือเฉินผิงอันเจอกับกุ้ยฮูหยินที่มีสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายใจ กับจินซู่ที่ท่าทางหงุดหงิดไม่พอใจตรงปากตรอกเล็กอันเป็นที่ตั้งโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย
เห็นว่าเฉินผิงอันสบายดี กุ้ยฮูหยินเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำรุนแรงอะไร ถึงขั้นไม่ได้ถามด้วยว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงเพิ่งกลับมา แค่ทักทายกับ ‘แม่นางหนิง’ ที่เฉินผิงอันแนะนำแล้วก็กลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือจัวฟ่างอีกครั้ง การค้ากองใหญ่รอนางอยู่ นางยุ่งจนหัวหมุน บวกกับเรื่องของคุณชายสกุลเจียงสำนักกุยหยกผู้นั้นทำให้อารมณ์ของนางไม่ใคร่จะดีสักเท่าไหร่
เดิมทีจินซู่อยากจะบ่นสักสองสามคำ ไอ้หมอนี่ทำให้ตนถูกอาจารย์ด่าซะจนไม่เหลือชิ้นดี เพียงแต่ว่าครั้งแรกที่นางได้เห็นเด็กสาวพกกระบี่สวมชุดยาวสีเขียวเข้มคนนั้น เห็นเด็กสาวแซ่หนิงที่สีหน้าท่าทางเป็นธรรมชาติ แต่กลับฉายประกายคมกริบ จินซู่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
คนทั้งสามไม่ได้ไปโรงเตี๊ยมที่อยู่ในตรอกเล็ก หนิงเหยาได้ยินว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวในเมืองภูเขาห้อยหัวซึ่งจะไปหน้าผาหมีลู่ด้วย จึงบอกว่านางเองก็ยังไม่เคยไป ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันเลย
แม้ว่าในใจจะค่อนข้างกระสับกระส่าย แต่จินซู่ก็ไม่ต้องการให้ตัวเองแสดงความขลาดกลัวออกมา จึงเป็นฝ่ายเปิดปากชวน ‘แม่นางหนิง’ ที่มองดูแล้วน่าจะเข้ากับคนได้ยากคุยเล่น
อันที่จริงหนิงเหยาไม่ได้เย่อหยิ่งอะไร นางแค่ขี้เกียจเท่านั้น แต่หากคนที่ไม่สนิทสนมอย่างจินซู่ถามนาง นางก็เอ่ยตอบ เพียงแต่ว่าคำตอบสั้นและกระชับอย่างยิ่ง
ถึงท้ายที่สุด จินซู่ก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะหาเรื่องอะไรมาคุยกับนาง จึงเริ่มเงียบลง บรรยากาศกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ทว่าส่วนลึกในใจของจินซู่กลับมีคลื่นซัดโถมกระหน่ำ
แม่นางหนิงที่อายุไม่มากคนนี้บอกว่าตัวเองมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
คนนอกที่หากจะเดินทางจากภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอแค่มีเงินก็พอ แต่หากผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่คิดจะเข้ามาในภูเขาห้อยหัว ได้ยินมาว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีผลงานการต่อสู้เหี้ยมหาญก็ยังทำได้ยาก
ก็ไม่แปลกที่จินซู่จะคิดจินตนาการไปไกล เพราะในความเป็นจริงแล้วนางเองก็คิดไม่ผิด แซ่สกุลของแม่นางหนิงเป็นสิ่งที่ช่วยได้มาก
แต่จินซู่เดาถูกแค่ครึ่งเดียว
เรื่องวงในมากมายที่เกิดขึ้นในกำแพงเมืองปราณกระบี่ กุ้ยฮูหยินไม่อยากจะเอามาพูดให้ลูกศิษย์ฟังมากนัก ดังนั้นจินซู่จึงรู้เรื่องของศึกสิบสามคู่ที่สะท้านสะเทือนจิตใจผู้คนครั้งนั้นแค่คร่าวๆ ต่อให้เด็กสาวข้างกายจะแซ่หนิง นางก็ได้แต่กล้าคิดว่าอีกฝ่ายคือหนึ่งในลูกหลานสายตรงตระกูลหนิงของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น และเดินทางมาครั้งนี้ก็อาจจะเพราะมีภารกิจของตระกูลให้รับผิดชอบ
สาเหตุที่จินซู่ไม่กล้านึกไปถึง ‘ความจริง’ ที่ดูเกินจริงมากที่สุดนั้นง่ายมาก เป็นเพราะข้างกายพวกนางยังมีเฉินผิงอันอยู่อีกคน
เนื่องจากหนิงเหยามาด้วย จินซู่จึงเที่ยวสถานที่ที่มีชื่อเสียงสามแห่งอย่างหน้าผาหมีลู่ หอซ่างเซียง หอเหลยเจ๋ออย่างอึดอัด ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง พูดน้อยและเบื่อหน่าย
ถึงอย่างไรจินซู่ก็มีชาติกำเนิดเป็นแม่นางกุ้ยฮวา ไม่เพียงแต่พรสวรรค์ในการฝึกตนดีเยี่ยม นางยังมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้นหลายครั้งนางจะจงใจทิ้งระยะห่าง ให้เฉินผิงอันอยู่กับแม่นางหนิงที่ไม่ชอบพูดคนนั้นตามลำพัง เวลาหนิงเหยาอยู่กับเฉินผิงอัน นางคิดอะไรก็มักจะพูดออกมา
เฉินผิงอันไม่ค่อยสนใจเรื่องการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์หลังเกิดมรสุมลูกใหญ่ ไม่สนใจแนวโน้มของสถานการณ์ในใต้หล้า ความรุ่งโรจน์และตกต่ำของเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่าใดนัก
อันที่จริงเพราะเขาไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจ
แต่ในเมื่อหนิงเหยาเล่าเรื่องพวกนี้ เขาก็ยินดีจดจำไว้ในหัวใจ
จินซู่ค่อนข้างจะแปลกใจ เหตุใดแม่นางหนิงที่นิสัยเย็นชาถึงได้เต็มใจพูดคุยอะไรมากมายกับเฉินผิงอันที่มีนิสัยเหมือนน้ำเต้าตัน
ระหว่างที่คนทั้งสามเดินขึ้นหอเหลยเจ๋อพร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ นักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่นสีเงินทองก็ปรากฏตัว เขายืนอยู่บนบันได พูดกับหนิงเหยาด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์กำชับมาว่า หากแม่นางหนิงต้องการอะไรที่ภูเขาห้อยหัวก็บอกมาได้เลย ต่อให้จะอยากไปดูกระดิ่งตรีวิสุทธิ์บนภูเขาเดียวดายก็ยังได้”
หนิงเหยามองไปทางเฉินผิงอันอย่างเป็นธรรมชาติ เฉินผิงอันส่ายหน้าน้อยๆ นางจึงส่ายหน้าพูดว่า “พวกเราคงไม่ขึ้นไปบนภูเขาเดียวดายแล้ว”
นักพรตเฒ่าคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่รบกวนแล้ว หากต้องการสิ่งใด แม่นางหนิงก็สามารถให้นักพรตคนหนึ่งไปแจ้งที่ภูเขาห้อยหัวได้”
เดิมทีหนิงเหยาไม่ได้อยากพูดคุยกับอีกฝ่าย เพียงแต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณผู้เฒ่า นางจึงผงกศีรษะรับ เอ่ยสองคำว่า “ตกลง”
จินซู่พึมพำเบาๆ “เจียวหลงเจินจวิน?”
เดิมทีผู้เฒ่าจะไปจากหอเหลยเจ๋อแล้ว ในฐานะบุคคลอันดับสามของภูเขาห้อยหัว กถามรรคของเขาสูงส่งลึกล้ำ แม้แต่ผู้ฝึกตนทั่วทั้งทักษินาตยทวีปก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ต่อให้จินซู่จะพูดในใจ เขาก็ยัง ‘ได้ยิน’ อย่างชัดเจน ดังนั้นพอได้ยินเสียงนี้จึงถามยิ้มๆ ว่า “แม่นางท่านนี้ มีธุระอะไรหรือ?”
จินซู่ตกใจหน้าซีดเผือด รีบส่ายหน้าทันที “ไม่มีธุระ แค่ผู้น้อยเคารพเลื่อมใสท่านเจินจวินผู้เฒ่ายิ่งนัก จึงอดส่งเสียงเรียกท่านไม่ได้ หวังว่าเจินจวินผู้เฒ่าจะให้อภัย”
นักพรตเฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน “ข้าไม่ได้เผด็จการขนาดนั้น อีกอย่างกฎของภูเขาห้อยหัวก็ไม่มีข้อไหนที่บอกว่าผู้ที่เรียกฉายาของข้าจะต้องถูกลงโทษ”
แล้วผู้เฒ่าก็หายวับไป
จินซู่กลืนน้ำลายลงคอ
เทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนของภูเขาห้อยหัวท่านนี้คือเจินจวินแห่งลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นมาเพราะสังหารเจียวหลงแห่งทะเลใต้ แล้วนี่เขามายืนอยู่ตรงหน้าตน แถมยังพูดคุยกับตนด้วย?
ตบะขอบเขตสิบเอ็ดของเจียวหลงเจินจวินมากพอจะบดขยี้ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบส่วนใหญ่บนโลก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำแหน่งเทียนจวินต้องกลายมาเป็นของในกระเป๋าของนักพรตเฒ่าแน่นอน
สุดท้ายตอนที่คนทั้งสามเดินทางกลับโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย หนิงเหยากลับเป็นฝ่ายชวนคุยซะเอง ถามตอบอยู่กับจินซู่ คราวนี้กลายเป็นว่าฝ่ายหลังพูดน้อยมาก
หนิงเหยาอารมณ์ดีไม่น้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หน้าร้านแผงลอยตีนภูเขาหน้าผาหมีลู่ นางซื้ออาวุธวิเศษขนาดเล็กคู่หนึ่งที่มีลักษณะเหมือนปลาหยินหยางมา
พอไปถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เถ้าแก่หนุ่มที่ไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้มคนนั้นบอกว่าห้องเต็มแล้ว หนิงเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ควักเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะคิดเงิน ถามว่าพอหรือไม่
เถ้าแก่หนุ่มหนังตากระตุก กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เฉินผิงอันกลับแย่งเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นกลับมา พูดกับเถ้าแก่หนุ่มยิ้มๆ ว่า “แม่นางหนิงคือเพื่อนของพวกเรา เถ้าแก่ ท่านช่วยยืดหยุ่นให้หน่อยได้หรือไม่?”
เถ้าแก่หนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็อยากจะยืดหยุ่นให้อยู่หรอก แต่จะให้ข้าไล่แขกคนอื่นออกไปก็คงไม่ได้กระมัง? โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยจะยังรักษาชื่อเสียงไว้ได้อีกไหม วันหน้าจะยังทำการค้าได้อย่างไร?”
หนิงเหยาพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าเปลี่ยนไปพักโรงเตี๊ยมอื่นก็ได้”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ควักเงินฝนธัญพืชอีกเหรียญหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะคิดเงินเบาๆ “รบกวนเถ้าแก่ช่วยปรึกษากับลูกค้าสักหน่อยได้ไหม?”
เถ้าแก่หนุ่มยิ้มบางๆ เก็บเงินฝนธัญพืชมา “ตกลง ลูกค้ารอสักครู่”
เฉินผิงอันคืนเงินฝนธัญพืชเหรียญก่อนหน้านั้นให้หนิงเหยา นางถามว่า “นี่เจ้าทำอะไร?”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ข้าเลี้ยงค่าโรงเตี๊ยมเจ้าไงล่ะ”
หนิงเหยาเขย่าฝ่ามือชั่งน้ำหนักเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นพลางกล่าวอย่างระอาใจว่า “เจ้าต้องลำบากลำบนกว่าจะได้เงินฝนธัญพืชมาเหรียญหนึ่ง แต่ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา เจ้าของเล่นนี่ไม่ได้มีค่าสักเท่าไหร่ เจ้าทำแบบนี้เรียกว่าตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วน (เปรียบเปรยถึงคนที่ทำอะไรเกินความสามารถเพื่อรักษาหน้าตาตัวเอง/คนที่แกล้งทำเป็นหน้าใหญ่ใจโต) น่าเบื่อมาก ไปพักโรงเตี๊ยมอื่นก็ไม่เห็นจะเป็นไร อยู่ที่ไหนก็นอนได้เหมือนกัน ข้าไม่ได้บอบบางขนาดนั้นสักหน่อย”
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาพูดยิ้มๆ “งั้นเจ้าก็คืนเงินฝนธัญพืชให้ข้าสิ?”
หนิงเหยากลอกตาใส่เขา เก็บเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นมาอย่างเฉียบขาดแล้วกล่าวอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “งั้นเจ้าก็รอเสียดายเงินได้เลย”
สุดท้ายโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยหาห้องที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่นอกประตูข้างของห้องหนังสือ เป็นเรือนส่วนตัวหลังหนึ่ง เฉินผิงอันรู้สึกว่าดีมาก
หนิงเหยากลับไม่ได้รู้สึกอะไร
สุดท้ายก่อนที่เถ้าแก่หนุ่มจะจากไปได้วางเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นไว้บนโต๊ะต่อหน้าคนทั้งสาม เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มาลองใคร่ครวญดูแล้ว รู้สึกว่าเงินนี่อาจจะร้อนลวกมือ ข้าไม่กล้ารับเอาไว้ แม่นางพักที่นี่มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ข้าจะจดไว้ในบัญชีแล้วไปขอเงินจากเกาะกุ้ยฮวาเหมือนที่ทำกับคุณชายเฉิน”
เฉินผิงอันสับสนไม่เข้าใจ
จินซู่มองตอบกลับด้วยสายตาซาบซึ้ง
เฉินผิงอันนั่งลงข้างโต๊ะ เตรียมจะยื่นมือไปเก็บเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นมา แต่หนิงเหยากลับตบมือเขา แล้วเก็บเงินไปเอง
เห็นสีหน้ามึนงงของเฉินผิงอัน หนิงเหยาก็เลิกคิ้วเบาๆ คล้ายกำลังท้าทาย เฉินผิงอันจึงยิ้มแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จินซู่บอกลาจากไปอย่างรู้มารยาท
พอประตูห้องปิดลง เฉินผิงอันก็เอาทรัพย์สินและสมบัติทั้งหมดที่มีติดตัวออกมาวางเรียงกันไว้บนโต๊ะ
ต่อให้เป็นหนิงเหยาก็ยังรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย นางทอดถอนใจกล่าวว่า “เฉินผิงอัน เจ้าใช้ได้เลยนี่นา มีความสามารถในการหาเงินมากขนาดนี้ ทำไมถึงเปลี่ยนจากกุมารแจกทรัพย์มาเป็นกุมารเรียกทรัพย์แล้วล่ะ? เจ้าต่างหากล่ะมั้งที่เป็นเฉินผิงอันตัวปลอม?”
เฉินผิงอันเลียนแบบหนิงเหยา เขาเอนตัวไปข้างหลัง ยกสองมือกอดอก
สีหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความลำพองใจ
วันนี้ที่ภูเขาห้อยหัว
มีหนิงเหยาที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แล้วก็มีเฉินผิงอันที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
จนกระทั่งคนทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งอย่างงดงาม
—–