กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 280.2 ยกมือสังหารเซียนกระบี่
หนิงเหยาลุกขึ้นขี่กระบี่จากไป ยังไม่ลืมหันกลับมาถลึงตาดุดันใส่เขาอีกที
เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ทำหน้าไร้เดียงสา
เกาหัวแกรกๆ แล้วก็ดื่มเหล้าต่อ เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีอย่างไร
แต่เฉินผิงอันกลับคิดว่าอันที่จริงหนิงเหยาไม่ได้โกรธ
ก็แค่…เขินอาย
เฉินผิงอันรู้สึกว่ารสชาติที่ล้อมวนอยู่ในหัวใจตอนนี้ไม่ได้แย่เลย และคล้ายว่าจะรสชาติดียิ่งกว่าสุราเลิศรสเสียอีก
มีบุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ขี่กระบี่ผ่านมาเห็นภาพนี้โดยบังเอิญ ซึ่งก็คือบุรุษคนที่ตอนนั้นเดินอยู่ข้างกายผู้เฒ่าแซ่ฉี เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นคนดื้อดึงที่ไม่มีไหวพริบนี่เอง”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าเสร็จแล้วก็รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย ลุกขึ้นฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
แสงจันทร์สาดส่องอยู่ในอ้อมอก รัศมีอ่อนโยนอาบทออยู่บนบ่า ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างเงียบสงบ
เมื่อฟ้าเริ่มสาง เฉินผิงอันพลันลืมตาขึ้น เขาค้นพบว่าตัวเองยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิกมาเป็นครึ่งๆ คืน
เฉินผิงอันรู้สึกหวาดกลัว นี่หากไม่ทันระวังตกลงไปจากกำแพงเมือง คนอื่นอย่างใต้เท้าอิ่นกวานไร้ร่องรอยขีดข่วน แต่เขาต้องกลายเป็นกองเนื้อเละๆ อยู่ใต้ฐานกำแพงเบื้องล่างอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันทำท่ายืดเส้นยืดสายอยู่สองสามท่า กระโดดลงมาจากหัวกำแพง กลับกระท่อมไปกินอาหารเช้าที่เมื่อคืนหนิงเหยาจัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็ฝึกเดินนิ่งที่ไร้รสชาติน่าเบื่อหน่ายเลียบตามหัวกำแพงไปทางขวาอีกครั้ง
ตลอดทางที่เดินไปเฉินผิงอันได้เจอกับเด็กหนุ่มตัวอ้วนที่ใบหน้าอมยิ้ม แต่ปราณสังหารกลับท่วมท้น เขายังใช้กฎเดิมคือกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินอ้อมผ่านไป แล้วค่อยกลับขึ้นหัวกำแพงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ได้เห็นเด็กหนุ่มหล่อเหลา ลักษณะนุ่มนวลคนหนึ่งยืนอยู่บนหัวกำแพง ก่อนจะตามมาด้วยเด็กหนุ่มผิวดำเกรียมที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยบาก สุดท้ายคือเด็กสาวแขนเดียวที่แบกกระบี่เล่มยักษ์ เพียงแต่วันนี้ข้างกายนางมีเด็กสาวเพิ่มมาหลายคน พวกนางปูผ้าแพรต่วนแล้ววางของกินเล่นที่ทำขึ้นอย่างประณีตไว้จนเต็ม ราวกับเห็นหัวกำแพงที่กว้างขวางเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชานเมือง
เมื่อเฉินผิงอันกระโดดลงจากหัวกำแพงไปเดินบนทางเดินม้าอีกครั้ง พวกนางต่างก็พากันหันหน้ามามองเขา
ตอนที่เดินสวนทางกับพวกนางไกลๆ พวกนางยังหันมาชี้ไม้ชี้มือใส่เฉินผิงอันด้วย
เฉินผิงอันรู้สึกชาหนึบไปทั้งหนังศีรษะ
อันที่จริงเขารู้ชัดเจนดีว่า คนเหล่านี้ต้องเป็นสหายที่หนิงเหยาเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน อีกทั้งคนเหล่านี้ต่างก็เป็นสหายที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับนาง
นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินผิงอันตำหนิตัวเองที่สวมรองเท้าสาน
ครั้งแรกคือตอนที่อยู่เมืองหลวงต้าสุย เพราะกลัวว่าจะทำให้พวกหลี่ไหวขายหน้า เขาจึงตั้งใจซื้อร้องเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ แต่เพราะไม่ได้ไปสำนักศึกษาซานหยาที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงซาน กลับกันคือเดินทางออกจากเมืองหลวงพร้อมกับชุยฉาน จึงสวมเพียงครู่เดียวแล้วก็ถอดออก เปลี่ยนมาสวมรองเท้าแตะสานด้วยฟางที่ตัวเองคุ้นเคยที่สุด
เฉินผิงอันจึงหวังให้ตัวเองในเวลานี้แต่งกายดีขึ้นอีกนิด แม้จะไม่ได้สวมเครื่องแต่งกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียนอย่างพวกเฉาสือ ชุยฉาน แต่ก็ต้องสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยคล้ายกับหลินโส่วอี ทางที่ดีที่สุดคือให้มีกลิ่นอายของตำราอยู่นิดๆ ต่อให้จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ยังดี ปักปิ่นหยกไว้บนมวยผมอีกครั้ง ตรงเอวก็ไม่ต้องห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้ว กล่องกระบี่ก็ไม่ต้อง…
เฉินผิงอันเดินหน้าต่ออีกครั้ง ถอนหายใจอยู่ในใจ รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เพียงแต่ว่าเดินไปเดินมา เฉินผิงอันก็หัวเราะ ยกเท้าขึ้น ก้มหน้ามองรองเท้าสานบนเท้าตัวเอง “เจ้าเพื่อนยาก ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้านะ เจ้าทนลำบากทนคำต่อว่า ข้าซาบซึ้งใจมาก เจ้าก็เห็นว่าสหายทั้งหลายที่พังไประหว่างการเดินทาง ข้าล้วนเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไม่เคยทิ้งเลยแม้แต่คู่เดียว พวกมันต่างก็พักรักษาตัวอยู่ในท้องของสืออู่ อืม ในตำราบอกว่านี่เรียกว่าการดูแลสุขภาพในวัยชรา ฮ่าๆ แต่ถ้าคิดจะถือลูกกวาดหยอกล้อหลาน (เปรียบเปรยถึงคนเฒ่าคนแก่ที่ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข) ล่ะก็ แบบนั้นคงสร้างความลำบากใจให้ข้าเกินไปหน่อย…”
เฉินผิงอันที่พึมพำอยู่กับตัวเองไม่ทันสังเกตเห็นว่า พวกคนที่พากันมาแอบดูว่าเขาคือเทพจากฝ่ายไหนพากัน ‘ร่วงกราว’ ลงมาจากหัวกำแพงอย่างลนลาน ที่แท้หนิงเหยาขี่กระบี่ทะยานขึ้นมาบนหัวกำแพง เด็กหนุ่มตัวอ้วน ต่งถ่านดำและเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาต่างก็พากันเผ่นหนีกระเจิดกระเจิง ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นก็พยายามกลั้นยิ้ม รีบร้อนเก็บห่อสัมภาระแล้วขี่กระบี่ไปจากหัวกำแพง
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เห็นว่าหนิงเหยาขี่กระบี่มาแล้วหยุดกึกอยู่กลางอากาศสูงนอกกำแพงเมือง จากนั้นค่อยๆ บินช้าๆ ด้วยความเร็วที่เท่าเทียมกับการเดินนิ่งของเฉินผิงอัน
หนิงเหยากล่าวอย่างระอาใจ “ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
แล้วหนิงเหยาก็ขี่กระบี่แหวกอากาศวาดให้เกิดเส้นโค้งที่งดงามพลางทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “ข้ายังมีธุระ พรุ่งนี้จะมาหาเจ้า”
ไปกลับครั้งนี้ เฉินผิงอันยังคงกลับมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับกระท่อมสองหลังในช่วงกลางดึก คราวนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่ผู้เฒ่าถึงมายืนอยู่บนหัวกำแพงทางทิศเหนือ คล้ายกำลังยืนมองนครใหญ่ที่ไม่มีกำแพงโอบล้อมแห่งนั้น เฉินผิงอันวิ่งเร็วๆ ไปหา ตะโกนเรียกว่าท่านปู่เฉินหนึ่งที ผู้เฒ่าถอนสายตากลับ พยักหน้ารับ จากนั้นชี้นิ้วไปทางทิศเหนือ “คนเพียงเท่านี้ อาจจะยังเทียบเท่าจำนวนคนที่อยู่ในทวีปแห่งหนึ่งของใต้หล้าไพศาลไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับสกัดกั้นเผ่าปีศาจมาได้นานหลายปีขนาดนี้ แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าหันหน้ามามองเฉินผิงอันยิ้มๆ “เฉินผิงอัน พวกเราถือว่าเข้ากันได้ดีพอสมควร ถูกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ผู้เฒ่าถามต่อ “แต่หากข้าบอกว่าข้าเข้ากับเฉาสือได้ดียิ่งกว่า มีความหวังในตัวเขาสูงกว่าเจ้าล่ะ?”
เฉินผิงอันยังคงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
ผู้เฒ่าไม่รีบร้อนอยากฟังคำตอบ แค่มองตาของเฉินผิงอัน และยิ่งมองใจของเฉินผิงอัน
ผู้เฒ่ารู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย
คราวนี้ ‘เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่า’ ที่อาเหลียงเรียกขานถึงกับใช้วิชาอภินิหารเวทกระบี่ชี้ตรงไปที่ใจคน พุ่งสู่จุดลึกของจิตวิญญาณ
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
ที่แท้ตัวอ่อนที่ดีในการฝึกตนคนหนึ่ง หากโชคดีมีชีวิตอย่างราบรื่น เมื่ออยู่ที่ภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาล ฝึกตนถึงขอบเขตเซียนพสุธาก็คงไม่ใช่เรื่องยาก น่าเสียดายที่ถูกคนทำลายชะตาชีวิตเสียจนไม่เหลือชิ้นดี เหมือนเครื่องกระเบื้องที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนหน้าที่สะพานแห่งความเป็นอมตะจะถูกสะบั้นขาดก็ต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ยิ่งกว่ามาแล้ว
สภาพจิตใจ กระจกหัวใจ (ทั้งสองคำอ่านว่าซินจิ้งเหมือนกัน แต่เขียนต่างกัน)
เศษกระจกที่แตกมีเล็กมีใหญ่ ผู้เฒ่ามองเห็นเศษชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดหลายชิ้น ภาพที่บรรจุอยู่ด้านในซึ่งสะท้อนออกมาผ่านกระจกแตกต่างกันออกไป
หากสภาพจิตใจเฉินผิงอันไปปรากฏอยู่ในสายตาอริยะลัทธิขงจื๊อที่มีตบะสูงส่งอาจจะมีภาพค่อนข้างมาก และแน่นอนว่ายังต้องเป็นภาพที่แปลกประหลาดยิ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน
นี่ทำให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเห็นต้นสายปลายเหตุมากกว่าเดิม
พูดไม่น่าฟังสักหน่อย นี่คือขั้นตอนที่คล้ายคลึงกับการเลี้ยงกู่ (ในสมัยโบราณมีการนำแมลงพิษหลายชนิดมาไว้ในภาชนะเดียวกันให้พวกมันกินกันเอง แมลงพิษตัวสุดท้ายที่รอดชีวิตจะถูกเรียกว่ากู่ และกู่จะถูกนำไปทำคุณไสยทำร้ายคนอื่น) ไม่ใช่แค่ผู้อ่อนแอต้องก้มหัวกราบกรานให้กับผู้แข็งแกร่งเท่านั้น แต่เป็นการพ่ายแพ้ที่ต้องถูกกลืนกินไปอย่างสิ้นเชิง
หลายปีที่ผ่านมานี้เด็กหนุ่มน่าจะพยายามประกอบเศษกระเบื้องเครื่องปั้นเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังไม่เป็นตัวของตัวเองนัก
แต่หากพูดให้น่าฟังสักหน่อย นี่ก็ถือเป็นวิธีที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม สมกับคำว่าวิถีฟ้าดำเนินไปอย่างแข็งขัน คนจึงต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง สุดท้ายเศษกระเบื้องแต่ละแผ่นจึงยิ่งเจิดจ้าสะดุดตา ประหนึ่งดวงอาทิตย์และดวงจันทราที่ลอยอยู่กลางอากาศจนหมู่ดาวหม่นแสง
การแข่งขันทางจิตใจไม่ได้เกี่ยวข้องกับตบะว่าสูงหรือต่ำเท่าใดนัก ดังนั้นจึงอันตรายอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกลมปราณมีคำกล่าวและวิธีลับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำว่าถามใจตัวเอง ด่านเคาะหัวใจ วิญญูชนหมั่นทบทวนตน หรือขจัดมารในใจ
ดังนั้นจึงมีวิชานอกรีตและวิชามารเกิดขึ้น โดยวิชาเหล่านี้จะแบ่งเป็นวิธีนิมิตภาพที่อยู่ในระดับธรรมดา ไม่เข้าเกณฑ์ มีวิธีลัดมากมาย ซึ่งในสายตาของตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักไม่เห็นว่าถูกทำนองคลองธรรม สรุปคือความรู้ที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้มีมากมาย อีกทั้งยังซับซ้อนมาก เหมือนเทือกเขาที่แต่ละยอดเขามีทั้งสูงและต่ำ
ส่วนขงจื๊อ พุทธ เต๋าก็คือเทือกเขาใหญ่สามสายที่ตั้งตนเป็นอิสระ สมกับคำกล่าวที่ว่าตั้งสำนักเรียกตนเป็นบรรพบุรุษ
สำนักการทหารคือเทือกเขาหัวขาดเส้นหนึ่ง ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะทำสำเร็จแล้ว
สำนักโม่ที่เคยเป็นหนึ่งในสี่ผู้มีความรู้ยิ่งใหญ่ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
ก็เหมือนกับลำคลองใหญ่และแม่น้ำใหญ่ที่ไม่ว่าจะกว้างแค่ไหน แต่สุดท้ายไม่สามารถไหลลงสู่มหาสมุทร ขาดอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้นถึงจะกลายเป็นสายน้ำใหญ่สำเร็จได้
สุดท้ายเฉินผิงอันก็ยังไม่ได้ให้คำตอบ
แต่เซียนกระบี่ผู้เฒ่ากลับได้คำตอบแล้ว
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าคุยเรื่องหลักการและเหตุผลกับแม่หนูหนิงเหยา ข้าแอบได้ยินโดยบังเอิญ เจ้าอยากจะฟังความเห็นของคนพูดมากที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างข้าบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับทันที
ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าสามารถบอกเคล็ดลับอย่างหนึ่งแก่เจ้าได้ เป็นเคล็ดลับที่ทั้งมีเหตุผล และช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ไม่เลว ไม่มีทางที่ในอนาคตจะทำให้ตัวเองต้องอัดอั้นจนตายอย่างแน่นอน”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกายจ้า “เชิญท่านผู้อาวุโสบอกมาได้เลย!”
ผู้เฒ่าหัวเราะเบาๆ “ฟังให้ดีล่ะ นั่นก็คือมีชีวิตให้เป็นแบบที่เจ้าควรจะบอกกับตัวเองว่า…”
ผู้เฒ่าหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “ข้าใครๆๆ …อืม ยกตัวอย่างเช่นข้าต้องพูดว่า ‘ข้าเฉินชิงตู’ ส่วนเจ้าก็ต้องพูดว่า ‘ข้าเฉินผิงอัน’”
กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็หัวเราะกับตัวเอง
เฉินผิงอันจึงหัวเราะตามไปด้วย
สุดท้ายผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง หลังค้อมลงเล็กน้อย สายตาที่ราบเรียบมองไปยังเมืองที่เงียบสงบแห่งนั้น “ใช้เหตุผลกับทุกเรื่องมาชั่วชีวิต ถือว่ามีเหตุผลยึดหลักการมามากพอแล้ว ถามใจตัวเองแล้วไม่รู้สึกผิด แต่พวกเจ้ายังทำตัวเฮงซวยแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษที คราวนี้ข้าจะไม่ใช้เหตุผลกับพวกเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันเพียงแค่รับฟังผู้เฒ่าเงียบๆ
ผู้เฒ่าหรี่ตาลง “แน่นอนว่าจำนวนครั้งจะมากเกินไปไม่ได้ หนึ่งร้อยปีจะมีสักครั้งสองครั้งก็ไม่เป็นปัญหา ยกตัวอย่างเช่นแบบนี้”
ผู้เฒ่าค่อยๆ ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปทางทิศเหนือ เป็นแค่การยกมือง่ายๆ เท่านั้น แต่ม่านราตรีผืนมหึมาที่ปกคลุมอยู่เหนือหัวกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับเหมือนผ้าดำที่ถูกฉีกขาด วินาทีนั้นแสงสว่างพลันเจิดจ้า แต่สุดท้ายกลับเหลือเพียงเส้นแสงที่เล็กบางแต่กลับสะดุตาอย่างถึงที่สุดเส้นหนึ่ง มันร่วงหล่นลงมาจากฟ้า กระแทกลงบนตำแหน่งหนึ่งกลางเมือง จากนั้นบนพื้นก็มีแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดพร่าง ราวกับว่านาทีนี้มีร่างทองของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งพังทลายลง
เฉินผิงอันอ้าปากกว้าง
ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ดื่มเหล้าระงับความตกใจสักคำเถอะ”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยื่นส่งไปให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าเฉินชิงตูที่ความตั้งใจเดิมคือหยอกเย้าเด็กหนุ่มข้างกายไม่ได้ยื่นมือมารับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แต่หมุนตัวกลับ เดินโคลงศีรษะจากไปช้าๆ เขากระโดดลงจากหัวกำแพงเบาๆ พลางพึมพำกับตัวเองว่า “นังหนูโง่มาเจอกับเจ้าเด็กโง่ เหมาะสมกันอย่างยิ่ง”
—–