กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 282 ไร้เดียงสา
นักพรตน้อยลุกขึ้นเดินออกจากเบาะนั่ง ม้วนตำราของลัทธิเต๋าเล่มนั้นแล้วเอามาเคาะกับกลางฝ่ามือเบาๆ เห็นเด็กหนุ่มมีท่าทางเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เทียนจวินที่เชี่ยวชาญการสู้รบ แต่กลับมีชื่อเสียงไม่โด่งดังในใต้หล้าไพศาลผู้นี้ก็พลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
นี่คงจะเลิกรากับนังหนูที่น่าโมโหคนนั้นแล้วกระมัง?
นักพรตน้อยคิดอยากปลอบใจคนอย่างที่หาได้ยาก เขาพยายามทำสีหน้าที่ตัวเองคิดว่ามีเมตตาปราณีและจริงใจมากที่สุดด้วยการยิ้มตาหยีกล่าวว่า “นังหนูน่าโมโหผู้นั้นนิสัยแย่เกินไป เย็นชาแล้งน้ำใจ ก็แค่หน้าตาดีหน่อย ชาติตระกูลดีหน่อย พรสวรรค์ดีหน่อย อนาคตดีหน่อยเท่านั้น…เจ้าจะไปชอบนางทำไม? เพราะฉะนั้นเลิกกันแล้วก็เลิกไปเถอะ เจ้าลองดูที่ภูเขาห้อยหัวนี่สิ แค่เดินเล่นอยู่บนถนน เอื้อมมือไปก็ควานเจอผู้หญิงที่อ่อนหวานมากมาย ดูเอวของพวกนางนั่นสิ คอดบางราวผักกาดขาวดอง ไม่เห็นจะน่าเสียดายตรงไหน เจ้าชอบคนไหนล่ะ? ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างอ่อนใจ ไม่ได้พูดเออออตามอีกฝ่าย บุคคลที่มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ ทางที่ดีอย่าไปมีเรื่องด้วยดีกว่า
เผชิญหน้ากับนักพรตน้อยที่มีใบหน้าแต้มยิ้ม เฉินผิงอันทำเพียงแค่บอกลาจากไปอย่างมีมารยาท ส่วนชายฉกรรจ์กอดดาบคนนั้น ขอแค่เป็นเวลากลางวัน เขาจะต้องนอนหลับอย่างที่เวลาผ่านไปหมื่นปีก็ไม่เปลี่ยนแปลง เฉินผิงอันจึงไม่รบกวนการนอนหลับฝันหวานตอนกลางวันของเขา
ก่อนหน้านี้หนิงเหยาเคยเล่าให้ฟังว่าท่านผู้นี้คือคนที่ออกรบในลำดับที่เก้าของศึกสิบสาม และเขาก็แพ้ อีกทั้งยังแพ้ให้กับปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองที่อายุแค่ร้อยปีเท่านั้น แพ้ได้อย่างน่าเสียดายมาก ส่วนปีศาจใหญ่อายุน้อยที่ในมือครอบครองอาวุธเซียนตนนั้นก็ลุกผงาด สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองด้วยศึกเดียว โด่งดังไปทั่วใต้หล้าที่อยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนชายฉกรรจ์กอดดาบก็มารับโทษอยู่ที่นี่ ภูเขาห้อยหัวจึงเป็นดั่งคุกคุมขังเขา
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ถือเป็นผู้ฝึกกระบี่อิสระ อายุสูงถึงห้าร้อยปี แต่กลับไม่ได้แตกกิ่งก้านสาขาอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เล่าลือกันว่าตอนที่เขาได้เป็นห้าขอบเขตกลางใหม่ๆ เคยมีคู่บำเพ็ญตนที่ตบะธรรมดามากคนหนึ่ง หลังจากที่นางตายอยู่ในสนามรบ ในชีวิตอันยาวนานหลังจากนั้น เซียนกระบี่ท่านนี้ก็ไม่เคยแต่งงานกับสตรีคนใดอีกเลย ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว แต่ก็ไม่เคยสนิทสนมกับใครที่สุด
ผู้ที่ฝึกตน โดยเฉพาะผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน เรื่องลูกหลานเป็นเรื่องใหญ่และพิถีพิถันอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหญิงสาวที่คิดจะเลื่อนขั้นเป็นเซียนพิสูจน์มรรคาที่จำเป็นต้องหยุดเลือดประจำเดือนตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นการให้กำเนิดบุตรจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก อีกอย่างผู้ฝึกลมปราณที่นอกเหนือจากสำนักการทหารแล้วก็ไม่ค่อยมีใครเต็มใจจะสัมผัสกับผลกรรมในโลกมนุษย์สักเท่าไหร่นัก เว้นเสียจากมั่นใจมากว่าจะสามารถให้กำเนิดตัวอ่อนในการฝึกตนที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมได้ หาไม่แล้วเรื่องการให้กำเนิดบุตรและอบรมเลี้ยงดูก็จะถูกรั้งเอาไว้ รอให้ถึงโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น
แล้วตระกูลเซียนบนภูเขาจะจัดกับการลูกหลานเด็กรุ่นหลังที่มีพรสวรรค์เรียบง่ายไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาอย่างไร?
เลี้ยงเหมือนหมาเหมือนไก่อย่างนั้นหรือ?
หากคนน่าสงสารที่พรสวรรค์ย่ำแย่ แต่กลับโอหังอวดดีพวกนี้ยินดีจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยม รอแค่ความตายอย่างเดียวก็ยังพอทำเนา แต่ในความเป็นจริงแล้ว หายนะในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเพราะคนเหล่านี้กลับมีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว
อีกอย่างต่อให้ผู้ฝึกตนจะยินดีมอบความอดทนและความรักให้กับลูกหลานประเภทนี้ แต่ถึงอย่างไรการจากลาที่คนผมขาวต้องส่งคนผมดำก็ยังเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอยู่ดี
ควรต้องรู้ว่าการสืบทอดเกียรติยศความร่ำรวยและควันธูปคือเรื่องของตระกูล แต่การพิสูจน์มหามรรคา การฝึกตนจนเป็นอมตะคือเรื่องส่วนบุคคล
แม้ว่าถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่เหนือราชวงศ์ต้าหลีแจกันสมบัติทวีปจะเป็นหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่มีพื้นที่เล็กที่สุด อาณาบริเวณมีแค่พันลี้เท่านั้น แต่การที่มันดึงดูดสายตาผู้คนได้เป็นอย่างดีก็เพราะบุคคลที่อยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างน่าเหลือเชื่อ การแต่งงานและมีลูกของชายหญิงที่เป็นชาวบ้านธรรมดาจึงมีโอกาสที่จะให้กำเนิดผลผลิตที่คู่รักเซียนพสุธานอกถ้ำสวรรค์ตั้งใจอบรมสั่งสอน
ยกตัวเช่นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างเซี่ยสือแห่งกุรุทวีป เฉาซีแห่งนาตยทวีป รวมไปถึงหยกคู่แห่งต้าหลีที่ช่วยสกุลซ่งสืบทอดโชคชะตาแห่งแคว้น เป็นต้น
เฉินผิงอันกลับมาโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยก็ได้รู้ว่าเกาะกุ้ยฮวาเดินทางกลับไปที่นครมังกรเฒ่าแล้ว เฉินผิงอันถามเถ้าแก่หนุ่มว่าเรือข้ามฟากที่เดินทางไปยังภาคกลางของใบถงทวีปคือลำไหน ควรจะไปขึ้นเรือที่ท่าเรือไหนของภูเขาห้อยหัว
ครอบครัวของเถ้าแก่หนุ่มตั้งรกรากอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวมาหลายยุคสมัย สำหรับเรื่องนี้เขาจึงรู้ดีราวกับสมบัติในบ้านตัวเอง น่านน้ำทะเลของใบถงทวีปมีคลื่นลมแรง สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติไม่เหมาะให้เดินทางโดยเรือ โดยเฉพาะทางแถบทิศใต้ของใบถงทวีปที่สภาพพื้นที่ติดขัดแน่นหนามาก ท่าเรือของเรือข้ามฟากจึงอยู่ทางทิศเหนือแทบทั้งหมด การที่สำนักใบถงทางทิศเหนือสามารถข่มสำนักกุยหยกได้หนึ่งระดับก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
สุดท้ายเถ้าแก่หนุ่มช่วยแนะนำเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติที่ดำลงไปในทะเลลึกลำหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน ขึ้นเรือที่ท่าเรือซ่างเซียงภูเขาห้อยหัว เดินทางตรงไปยังสำนักฝูจี (การเข้าทรงประคองไม้เขียนคำทำนายทายทัก) ที่อยู่ภาคกลางของใบถงทวีป
อีกสิบวันให้หลังปลาวาฬกลืนสมบัติจะออกเดินทาง เฉินผิงอันจึงจองห้องห้องหนึ่งกับโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย
เถ้าแก่หนุ่มดีดลูกคิดอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินพลางชำเลืองตามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มด้วยความสงสัยเล็กน้อย เด็กหนุ่มยังคงสะพายกระบี่ แต่กล่องกระบี่หายไปไหนเสียล่ะ แถมยังเปลี่ยนมาเป็นกระบี่เล่มยาวที่แปลกตาไปจากเดิมอีกด้วย?
เขาส่ายหน้าแล้วก็ไม่คิดอะไรให้มากความอีก ถึงอย่างไรอยู่ในภูเขาห้อยหัว เรื่องแปลกนั่นแหละที่เรียกว่าไม่แปลก
ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ได้โอกาสฝ่าทะลุขอบเขตวิถีวรยุทธ์ ซึ่งถึงกับข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่เข้ามายังภูเขาห้อยหัวได้ในก้าวเดียวด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที ก่อให้เกิดภาพปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นเหตุให้ประตูกระจกขนาดใหญ่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนกระทั่งเทียนจวินใหญ่ที่นั่งบัญชาการณ์อยู่บนภูเขาเดียวดายจำต้องออกหน้า ได้ยินว่ายังต้องลงมือด้วยตัวเองถึงจะสยบความเคลื่อนไหวอันน่าครั่นคร้ามของประตูใหญ่ไว้ได้
และยังมีเซียนซือหญิงจากสำนักกานหลิน (น้ำค้างหวาน/ฝนที่ตกหลังจากแห้งแล้งมานาน/น้ำอมฤตจากสวรรค์) ซึ่งตั้งอยู่เหนือมหาสมุทรกลุ่มหนึ่งที่นำศพของเผ่าพันธ์เจียวหลงจำนวนนับไม่ถ้วนมาขายจนได้กำไรก้อนใหญ่ไปจากภูเขาห้อยหัว
เจียวหลงเจินจวินคือคนที่ออกเงินมากที่สุดคนหนึ่ง เขาซื้อหนวดสีเงินและสีทองจากเจียวหลงไปเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้ติดค้างเงินกับคนนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่มีใครรู้สึกว่าเจินจวินจากภูเขาห้อยหัวท่านนี้โง่เง่า เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ แส้ปัดฝุ่นของเขาที่เดิมทีก็ถือว่าเป็นสุดยอดอาวุธในบรรดาอาวุธกึ่งเซียนอยู่แล้วยิ่งมีโอกาสจะกลายเป็นอาวุธเซียนมากขึ้น
และคนหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผู้ฝึกลมปราณหญิงจากสำนักกานหลินก็พลันถูกมองเป็นบุคคลผู้มีอำนาจในทันที ที่แท้เขาก็คือชายผู้โชคดีที่เพิ่งเป็นลูกเขยแต่งเขาสำนักกานหลิน ไม่เพียงแต่ถูกเทพธิดาพางถัวของสำนักกานหลินผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเลือกเป็นคู่บำเพ็ญตน ยังถูกบรรพบุรุษของสำนักกานหลินตรวจสอบจนรู้ว่ามีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ยอดเยี่ยม ภายหลังก็ได้รับความโปรดปรานจากเทพธิดาอวี่หลินที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทะเลทักษิณ ผูกสมัครเป็นสามีภรรยากัน เทพธิดาทั้งสองต่างก็มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทอง ใช้สามีร่วมกัน โชควาสนาที่ดีเยี่ยมเช่นนี้สร้างความอิจฉาให้กับผู้อื่นยิ่งนัก
บนเส้นทางการฝึกตน โชคดีหรือไม่ดีสร้างความแตกต่างได้ราวฟ้ากับเหว
การเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ในครั้งนี้ พอไปถึงหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันก็ไม่เคยย้ายที่พัก เพราะตอนที่อยู่ที่นั่นเขามักจะรู้สึกว่าต่อให้มีเรื่องมากมายแค่ไหนก็สามารถค่อยๆ ใช้เวลาคุยกันได้
รอจนถูกโยนกลับมาที่ภูเขาห้อยหัวถึงได้ค้นพบว่าไม่ทันแล้ว
แม้เขาจะเป็นทุกข์ แต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไรมากมายนัก เพราะความเป็นห่วงมีมากกว่า
เฉินผิงอันถือกุญแจเดินมายังที่พัก อันที่จริงไม่มีสัมภาระอะไรให้เอามาเก็บวาง กระบี่หนึ่งเล่ม สะพายไว้บนหลัง น้ำเต้าหนึ่งลูก ห้อยไว้ตรงเอว แล้วก็ไม่มีของนอกกายอะไรอีก ด้วยคำแนะนำของเถ้าแก่หนุ่มก่อนหน้านี้ เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ออกจากห้องไปหาซื้อของที่จำเป็นจากร้านค้าใกล้โรงเตี๊ยม
‘จารึกภูเขาและทะเล’ ที่อธิบายขนบธรรมเนียมประเพณีของใต้หล้าไพศาลคร่าวๆ แน่นอนว่าต้องเป็นตำราของตระกูลเซียน ไม่อย่างนั้นซื้อไปแล้วก็เหมือนเสียเงินเปล่า หนึ่งหน้าของหนังสือเล่มนี้สามารถบันทึกภาพวาดหลายภาพและตัวอักษรสามสี่พันคำ ภาพและตัวอักษรเหมือนน้ำเหมือนก้อนเมฆที่ไหลรินเชื่องช้า
ตำราเล่มหนึ่งที่อธิบายวิธีการออกเสียงภาษาทางการของใบถงทวีป และตำราอีกหนึ่งเล่มที่อธิบายการใช้ภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เฉินผิงอันไม่อยากให้ตัวเองพูดคุยกับใครไม่ได้ตลอดเวลาที่อยู่ใบถงทวีป แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมของใบถงทวีปน่าจะคล้ายคลึงกับแจกันสมบัติทวีป นั่นคือระหว่างราชวงศ์ของแต่ละแคว้นมีภาษากลางและภาษาท้องถิ่นอยู่มากมาย แต่การเรียนภาษาทางการที่ใช้ร่วมกันในสำนักเซียนบนภูเขากับในราชสำนักของราชวงศ์ย่อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด
สิ่งของในภูเขาห้อยหัว โดยเฉพาะอาวุธวิเศษและสมบัติอาคมแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่ใครบังเอิญโชคดีเก็บได้ ผู้ฝึกลมปราณของที่นี่มีตบะสูง สายตาก็เฉียบคม อีกทั้งราคาของยังสูงลิบลิ่ว แพงกว่าทวีปใหญ่แห่งอื่นไม่น้อย แต่ก็มีข้อหนึ่งที่ดีมาก นั่นคือไม่มีของปลอม พ่อค้าที่มีความสามารถมาเปิดร้านอยู่ที่นี่ล้วนเป็นร้านเก่าแก่ดั้งเดิมที่อยู่มานานเป็นร้อยเป็นพันปีแทบทั้งสิ้น ไม่มีใครที่คิดจะทำการค้าแค่ครั้งเดียว ดังนั้นจึงทะนุถนอมชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือมากเป็นพิเศษ
เงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ ขอแค่ไม่เอาไปเปรียบเทียบกับเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ใช้เฉพาะในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ถือว่ามีมูลค่าอย่างถึงที่สุดแล้ว
ต่อให้เป็นภูเขาห้อยหัวที่มีเทพเซียนให้เห็นดารดาษก็ยังเป็นเช่นนี้
ในเมื่อในกระเป๋ามีเงิน อีกทั้งยังไม่มีวิธีใช้เงินต่อเงิน จะปล่อยให้มันขึ้นราเปล่าๆ ก็คงเข้าท่า เฉินผิงอันจึงอยากจะซื้ออาวุธวิเศษที่ใช้งานได้จริงให้กับหลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ยคนละชิ้น แม้จะแพงสักหน่อยก็ไม่กลัว เป่าผิงน้อย หลี่ไหวและอวี๋ลู่ต่างก็ไม่จำเป็นต้องใช้ สองคนแรกไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนด้วยอายุยังน้อย ส่วนอวี๋ลู่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเหมือนกับตน
ส่วนเรื่องเอาของที่มีไปขายนั้น คงไม่ทำ
เพราะตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง
หลังจากซื้อหนังสือมาจากโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เฉินผิงอันก็ไปที่เรือนหลิงจือ ครั้งแรกที่มาที่นี่กับจินซู่ เขาแค่เดินดูผ่านๆ ไม่ได้ตั้งใจดูอย่างละเอียดนัก ซึ่งส่วนใหญ่จะเดินดูสมบัติของเทพเซียน คราวนี้เฉินผิงอันมาพร้อมเป้าหมาย จึงพุ่งเข้าหาสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยเฉพาะ เขาจึงไม่แม้แต่จะชายตามองสมบัติอาคมที่มีมูลค่าควรเมืองและมีประโยชน์ต่อการเลื่อนขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณ เฉินผิงอันต้องการหาตำราของลัทธิเต๋าหรือไม่ก็อาวุธวิเศษที่เหมาะสำหรับการฝึกวิชาห้าอสนี หรืออาจจะเป็นอย่างถ้วยกานลู่ที่จางซานเฟิงเคยได้รับซึ่งสามารถเก็บรวบรวมและสั่งสมปราณวิญญาณในฟ้าดินที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกตน
แต่แม้ว่าจะลดขอบเขตลงมาแล้ว เฉินผิงอันก็ยังต้องเลือกจนตาลาย
เดินวนไปวนมาอยู่ในเรือนหลิงจืออย่างละเอียดถึงครึ่งวัน ในใจพอจะมีความคิดคร่าวๆ แล้วจึงเลือกของไว้สิบกว่าชิ้น จากนั้นก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ตอนกลางคืนใช้เวลาขบคิดชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียอีกเล็กน้อย พรุ่งนี้ก็น่าจะสามารถตัดสินใจได้แล้ว
มีตำราลัทธิเต๋าวิชาอสนีเล่มหนึ่งที่เขียนหมายเหตุไว้ด้านข้างว่ามีเล่มเดียว มียาชั้นเยี่ยมสองชนิดที่สามารถชะล้างไขกระดูกและเปลี่ยนถ่ายกระดูกได้ ชนิดหนึ่งมาจากสำนักเสวียนซู่ (ขาวและดำ เปรียบเปรยถึงของสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือกล่าวถึงเสวียนหนวี่กับซู่หนวี่ที่ในตำนานเล่าลือกันว่าพวกนางเป็นผู้ถ่ายทอดศิลปะการประกอบกิจกามให้กับหวงตี้) ของทวีปฝูเหยา อีกชนิดหนึ่งมาจากภูเขากระถางธูปของนาตยทวีป ซึ่งทั้งสองฝ่ายนี้ล้วนถือเป็นสำนักใหญ่สายการหลอมยาของลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียง ส่วนอาวุธวิเศษนั้นมีอยู่เจ็ดแปดชิ้น
ระหว่างนี้เฉินผิงอันเหลือบไปเห็นเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารโดยบังเอิญสามเม็ด พวกมันถูกวางเรียงกันไว้ในกล่องไม้ใบหนึ่ง อ่านจากตัวอักษรที่เขียนอธิบายอยู่ด้านข้าง นี่คือเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างแบบที่ราชครูแคว้นกู่อวี๋เคยสวมใส่ แต่ระดับขั้นกลับสูงกว่ามาก อีกอย่างเม็ดเสื้อเกราะทั้งสามชิ้นยังสามารถสวมใส่ไว้ในร่างเดียวกันเวลาเดียวกัน โดยที่คนห่มเสื้อเกราะจะไม่รู้สึกเป็นภาระเลยแม้แต่น้อย ระดับความป้องกันจะสูงแค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู้ได้
เพียงแต่ว่าราคาสูงจนน่าตกใจ
สามหมื่นเหรียญเงินเกล็ดหิมะ!
หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่ากับเงินขาวหนึ่งพันตำลึง
หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเท่ากับหนึ่งร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชก็เท่ากับหนึ่งสิบเหรียญเงินร้อนน้อย
นี่ก็คือกฎ ‘พันร้อยสิบ’ ในการแลกเปลี่ยนเงินของเทพเซียนบนภูเขา
เฉินผิงอันจำได้ว่าตอนนั้นสมบัติพิทักษ์เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวก็ยังไม่ราคาสูงเท่านี้
อีกทั้งนี่ยังเป็นเพราะเม็ดเสื้อเกราะสองเม็ดในนั้นเกิดความเสียหายเล็กน้อย ซ่อมแซมแล้วก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ ไม่สามารถใช้คำว่า ‘ไร้ตำหนิ’ ได้ด้วย
แต่นี่ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับสมบัติอาคมชิ้นที่แพงที่สุดของเรือนหลิงจือได้ สมบัติของตระกูลเซียนมากมายถึงขั้นไม่ได้ใช้ราคาของเงินเกล็ดหิมะและเงินร้อนน้อยเป็นเกณฑ์ แต่ใช้เงินฝนธัญพืชเท่านั้น
มีขนนกสีทองที่ติดเปลวไฟชิ้นหนึ่งลอยอยู่ในตู้กระจก ไม่มีคำอธิบายใดๆ มีแต่ราคาที่สูงถึงหนึ่งร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช
ส่วนของบางชิ้นที่มีประกายแสงอัญมณีพร่างพราว หรือไม่ก็มองดูแล้วไม่สะดุดตาเลยสักนิด กลับไม่มีป้ายราคาติดไว้ เขียนแค่ว่า ‘ตามแต่จะตกลงกัน’ เท่านั้น
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่ปวดฟันแปล๊บขึ้นมาทันที
คืนนี้เฉินผิงอันตัดสินใจว่าสุดท้ายจะซื้อของสองชิ้น ตำราวิชาสายฟ้าลัทธิเต๋าที่เรือนหลิงจือกล้าเขียนระบุไว้ว่า ‘มีเล่มเดียวบนโลก น่าเสียดายที่ขาดไปหลายสิบหน้า หาไม่แล้วมีเงินมากเท่าใดก็ไม่อาจซื้อได้’ ซึ่งจะมอบให้หลินโส่วอี และยังมีเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างตัวหนึ่งที่ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพของเม็ดเสื้อเกราะได้ อันที่จริงราคาของของสองชิ้นนี้ต่างก็อยู่เหนือการคาดการณ์ของเฉินผิงอันไปมาก เพราะราคาของพวกมันแทบจะเท่าเทียมกับราคาของสมบัติวิเศษเลย
เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ไม่ลังเลอีก
เฉินผิงอันที่หน้าซีดขาวเล็กน้อยเริ่มฝึกท่าหมัดเดินนิ่ง
ไม่ใช่ว่าเสียดายเงินถึงได้สีหน้าย่ำแย่แบบนี้ แต่เป็นเพราะต้องแบก ‘ปราณยาว’ ที่ยืมมาใช้สิบปีเล่มนั้น เฉินผิงอันถูกปราณกระบี่เป็นเส้นๆ แทรกซอนเข้ามาในจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง หากแค่ชั่วครู่ชั่วยาม การหายใจก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก แต่เมื่อแบกกระบี่เล่มนี้นานๆ เข้าก็เท่ากับแบกความลำบากไว้ชัดๆ ซึ่งนี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการเหนื่อยทับซ้อนของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของผู้เฒ่าแซ่ชุย
แต่เฉินผิงอันค้นพบว่าวิธีโคจรลมปราณสิบแปดหยุดช่วยให้เขาต้านทานปราณกระบี่ที่ ‘ผนึกหัวใจ ชะล้างจิตวิญญาณ’ ได้มากกว่าวิธีหายใจที่หยางเหล่าโถวสอนให้ แต่ว่าก็ยังยากลำบากมากอยู่ดี
ทว่าความเจ็บปวดที่คุ้นเคยนี้กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกสบายใจอย่างมาก
วันที่สองเฉินผิงอันก็ไปซื้อของสองชิ้นนี้ที่เรือนหลิงจือ มือหนึ่งยื่นเงิน มือหนึ่งรับของ ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใดๆ เกิดขึ้น
เรื่องที่คิดไม่ถึงเรื่องเดียวก็คือ หลังจากชำระเงินและรับของทั้งสองชิ้นมาเรียบร้อยแล้ว เรือนหลิงจือยังแถมหยกสลักชิ้นเล็กซึ่งทำจากหยกมันแพะเนื้อดีมาให้ชิ้นหนึ่ง บนตัวหยกสลักคำว่าวัวขาวคาบหลิงจือ
ทางเรือนหลิงจือบอกว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของบรรพบุรุษเจ้าลัทธิท่านหนึ่ง ทุกครั้งที่มีงานมงคล เรือนหลิงจือจะต้องมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ชิ้นหนึ่งให้กับลูกค้าที่จ่ายเงินมากพอ เป็นเพียงแค่ของราคาถูกที่สุดในบรรดาอาวุธวิเศษหลังกำเนิด ถือเป็นเครื่องประดับที่วางไว้เพื่อความสวยงาม เอาไว้หยิบมาเล่นของตระกูลร่ำรวยเท่านั้น
เฉินผิงอันเองก็สังเกตเห็นว่าลูกค้าที่มาเยือนวันนี้มากกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด เด็กบางคนที่มีผู้ปกครองพาเดินออกจากเรือนหลิงจือ ในมือจะต้องมีของลักษณะคล้ายหลิงจือสมปรารถนาอยู่ด้วย เขาจึงสบายใจขึ้นมาก
เฉินผิงอันกลับมาถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยฟ้าก็มืดแล้ว ระหว่างที่เขากำลังหยุดพักจากการฝึกเดินนิ่งก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น จึงหันหน้าไปมอง ถามว่า “ใคร?”
ด้านนอกมีเสียงของบุรุษที่พูดด้วยภาษาถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ “ข้าคือคนเฝ้าประตูที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้า แม่หนูหนิงวานให้ข้านำความมาบอกเจ้า แล้วก็ถือโอกาสเอาของชิ้นหนึ่งมามอบให้เจ้าด้วย”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะเดินไปเปิดประตู จากนั้นก็ถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างเงียบเชียบ
ยังดีที่แม้ชายฉกรรจ์ผู้นี้จะสามารถอำพรางรูปลักษณ์ภายนอกได้ แต่ปราณกระบี่อันเป็นเอกลักษณ์ที่อยู่บนตัวกลับไม่มีใครลอกเลียนแบบได้
บุรุษมาครั้งนี้ไม่ได้อุ้มกระบี่มาด้วย เห็นสายตาสงสัยของเฉินผิงอันจึงพูดยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อหน้าที่คือเฝ้าประตูก็ควรจะทิ้งอะไรสักอย่างไว้ที่นั่น ตัวมาแล้วก็เลยทิ้งกระบี่ไว้บนเสาผูกม้า”
บุรุษมีนิสัยตรงไปตรงมา เขาโยนห่อของขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเล็กน้อยห่อหนึ่งให้เฉินผิงอัน “แม่หนูหนิงมอบให้เจ้า นอกจากนี้ยังบอกให้เจ้าอยู่รอที่ภูเขาห้อยหัวอีกสักระยะหนึ่ง เจ้ามีหนวดเจียวสีทองอยู่สองเส้นไม่ใช่หรือ? ข้าสามารถหาคนมาช่วยสร้างเชือกพันธนาการปีศาจที่ไม่เลวให้เจ้าเส้นหนึ่งได้ หากเจ้าไม่เต็มใจจะรอ ข้าก็จะได้ลดเรื่องติดค้างน้ำใจคนอื่นไปครั้งหนึ่ง”
บุรุษนั่งลงข้างโต๊ะแล้วรินน้ำชาให้ตัวเอง “อีกอย่างแม่หนูหนิงยังไปถามคนอื่นมาให้ เสื้อคลุมอาภรณ์สีทองชิ้นนั้นเป็นของที่มีมูลค่ามากชิ้นหนึ่ง เป็นเสื้อคลุมอาคมที่มีระดับสูงมาก ต่อให้เป็นเทพเซียนพสุธาทั่วไปก็ยังยากจะหามาได้ มันมีชื่อว่า ‘จินหลี่’ (สุรารสเลิศหรือของเหลวที่อยู่ในปาก) คือของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ผู้สูงศักดิ์ของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ทิ้งไว้ หลังจากแตกหักกับคนในตระกูลก็ตัดขาดกับโลกภายนอก สุดท้ายไปเสียชีวิตอย่างเดียวดายอยู่บนเกาะทางทิศใต้กลางทะเล ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งโชคดีได้รับของชิ้นนี้มา สุดท้ายถูกเจียวเฒ่าของร่องน้ำเจียวหลงตนนั้นแย่งชิงไป เมื่อเจ้าสวมใส่ลงบนร่างก็จะพอดีตัวเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นชุดคลุมอาคมของแท้ ขนาดเล็กใหญ่แคบกว้างจะเปลี่ยนแปลงไปตามคนที่สวมใส่ เอาออกมาเถอะ ข้าจะช่วยร่ายเวทเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าเอง ปล่อยให้ส่องสีทองอร่ามอยู่อย่างนี้มันสะดุดตาเกินไป”
คราวนี้เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ รีบหยิบชุดคลุมยาวสีทองออกมาจากในวัตถุฟางชุ่นโดยตรง
เซียนกระบี่ที่เข้าร่วมสงครามของกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้ดีดนิ้วหนึ่งที จากนั้นก็อธิบายให้เฉินผิงอันฟังคร่าวๆ
บุรุษร่ายเวทพรางตาซึ่งระดับพอๆ กับที่เว่ยป้อเคยร่ายไว้ให้บนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเฉินผิงอัน นั่นก็คือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตต่ำกว่าเซียนพสุธาลงไปไม่สามารถมองต้นสายปลายเหตุออก แน่นอนว่าหากเป็นการต่อสู้ที่ตัดสินเป็นตาย เสื้อคลุมอาคมย่อมต้องปกป้องเฉินผิงอัน ถึงเวลานั้นใครก็ไม่ใช่คนโง่ ต้องมองเบาะแสออกอยู่แล้ว
ตอนที่บุรุษจากไป ได้เอาหนวดยาวของเจียวหลงสีทองสองเส้นนั้นไปด้วย
หลังจากปิดประตูแล้ว เฉินผิงอันก็เปิดห่อผ้าฝ้ายใบเล็กนั่นออกเบาๆ
ด้านในคือแท่นสังหารมังกรลักษณะเป็นแถบยาวขนาดเท่าฝ่ามือ
ที่สำคัญคือทั้งด้านหน้าและด้านหลังของแท่นสังหารมังกรชิ้นนี้ต่างก็สลักคำว่า หนิงเหยา ไร้เดียงสา
แน่นอนว่าต้องมีแค่เซียนกระบี่ใหญ่เท่านั้นถึงจะสลักตัวอักษรลงไปได้ น่าจะเป็นฝีมือของพ่อแม่หนิงเหยาที่ตั้งใจทำให้เป็นของขวัญของลูกสาวตอนนางยังเด็ก
และเมื่อหนิงเหยาเติบใหญ่ วันหนึ่งเมื่อนางได้พบเจอกับเด็กหนุ่มที่ตัวเองชื่นชอบ นางจึงมอบมันให้กับบุรุษที่ตัวเองรัก
—–