กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 283.2 จิตบริสุทธิ์
เฉินผิงอันเดินวนรอบโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกจากเอวโดยไม่ทันรู้ตัว เกือบจะดื่มเหล้า ยังดีที่กลิ่นหอมของสุรามอมเมาใจคนซึ่งโชยมาแตะจมูกได้เตือนเฉินผิงอันทางอ้อม เขาจึงรีบรัดมันไว้ที่เอวทันที
หลังจากไปถึงใบถงทวีป ‘ปราณยาว’ ของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าจะบอกทิศทางให้แก่เขาคร่าวๆ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเลือกขึ้นแผ่นดินของใบถงทวีปจากภาคกลาง ให้แน่ใจก่อนว่าจะไปเหนือหรือใต้ จากนั้นค่อยเสาะหาเป้าหมายที่ต้องการ
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังคิดถึงรายละเอียดการเดินทางไปยังใบถงทวีปก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย บอกว่าต้องการพบเฉินผิงอัน บอกว่าเป็นคนรู้จักของเด็กหนุ่ม
อยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ทำร้ายคนอื่นมีโทษถึงตาย กฎข้อนี้ใช้ได้ผลอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีวิชาลับสูงส่งลึกล้ำอยู่มากมายที่สามารถปกปิดอำพรางตาผู้อื่นได้ แต่หากมีการตรวจสอบแล้วถูกจับได้ขึ้นมา ต่อให้เป็นคดีเก่าที่ผ่านมาแล้วหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี นักพรตซือเตาแห่งภูเขาห้อยหัว หรือแม้แต่เจียวหลงเจินจวินก็ยังต้องออกหน้าด้วยตัวเอง ดังนั้นภูเขาห้อยหัวจึงถือเป็นสถานที่ที่สะอาดบริสุทธิ์และสันติสุขอย่างหาได้ยากยิ่ง
เถ้าแก่หนุ่มพาสองสามีภรรยามาหยุดตรงระเบียงใกล้กับห้องพักของเฉินผิงอัน จากนั้นก็แค่บอกทาง ไม่ได้ติดตามไปด้วย
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยขอบคุณเขา เถ้าแก่หนุ่มยิ้มพลางตอบว่าเป็นเรื่องที่เขาสมควรทำอยู่แล้ว แล้วจึงจากไปอย่างวางใจ เพียงแต่ว่าตอนที่เดินผ่านหัวเลี้ยว เถ้าแก่หนุ่มอดหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจไม่ได้ สองสามีภรรยามีหน้าตาธรรมดา ลักษณะท่าทางสุภาพอ่อนโยน แต่เถ้าแก่หนุ่มกลับรู้สึกว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ ทว่าเขาก็ส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก หากโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยคิดจะกลับมาเจริญรุ่งเรือง กลับมามีอนาคตยาวไกลอีกครั้ง ทุกวันก็มีเรื่องจุกจิกกองเป็นพะเนินรอให้เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปทำ
บุรุษยืนบ่นอยู่นอกประตูห้องพักของเฉินผิงอัน “โผล่เข้าไปอยู่ในห้องเจ้าเด็กนี่ตรงๆ ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วย”
สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่ “จะทำตัวไม่มีมารยาทแบบนั้นได้อย่างไร ลูกสาวเรามีนิสัยเป็นแบบนั้นไปคนหนึ่งแล้ว แล้วยังมามีเจ้าอีกคน หากข้าก็ยังเป็นไปด้วย เจ้าคิดว่าเฉินผิงอันคือพระโพธิสัตว์ที่ใครก็รังแกได้ง่ายจริงๆ หรือไง? ทำไม แค่เพราะว่าลูกสาวโชคดีได้พบเจอเด็กดีคนนี้ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้วอย่างนั้นรึ?”
บุรุษพูดอย่างขุ่นเคือง “ก็มีแต่เจ้านั่นแหละที่ถูกชะตากับเขาที่สุด! เขาได้มาพบลูกสาวที่รักของพวกเราก็ไม่ยิ่งโชคดีกว่าหรอกหรือ? หากเขามีศาลบรรพชน รีบจุดธูปใหญ่ร้อยดอกกราบไหว้ก็ยังไม่มากเกินไปเลย”
สตรีแต่งงานแล้วก็เป็นคนดื้อรั้นเช่นกัน พอได้ยินบุรุษเอ่ยประโยคนี้ นางจึงหยุดมือที่ทำท่าจะเคาะประตู ตัดสินใจแล้วว่าจะงัดข้อกับบุรุษของตัวเองให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย ตอนที่เข้าไปข้างในอีกฝ่ายจะได้ไม่พูดจาส่งเดชจนนางแก้สถานการณ์ไม่ทัน
ถึงอย่างไรคนของใต้หล้าไพศาลที่นอกเหนือจากภูเขาห้อยหัวก็ไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เคยชินกับความเป็นความตาย คำพูดสามารถทำร้ายจิตใจคน โดยเฉพาะคำพูดที่เอ่ยโดยไม่มีเจตนาที่ยิ่งทำร้ายคนอย่างแสนสาหัส
บุรุษของตนหยาบกระด้าง ไม่พิถีพิถันเรื่องพวกนี้ แต่นางเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว จะไม่ใส่ใจเลยได้อย่างไร
บุรุษรีบยอมรับผิด “ได้ๆๆ ทุกอย่างล้วนฟังเจ้า”
สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่บุรุษของตัวเองอย่างดุดันหนึ่งที ฝ่ายหลังจึงกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
สตรีแต่งงานแล้วถึงได้เคาะประตูเบาๆ เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉินผิงอัน?”
เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องรีบหยุดเดิน ตื่นเต้นสุดขีดจนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา รีบตะโกนกลับไปว่า “รอสักครู่ ข้าจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้”
ครู่หนึ่งต่อมาเด็กหนุ่มก็เปิดประตู
เขาเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เป็นชุดคลุมอาคมสีทองตัวนั้น หากขอบเขตต่ำกว่าเซียนพสุธาจะมองเห็นเป็นเสื้อคลุมยาวสีขาวหิมะ
ในที่สุดก็สลัดรองเท้าแตะที่สวมมาชั่วนาตาปีทิ้งไปได้ เปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ซึ่งเป็นสีขาวเหมือนกัน
‘ปราณยาว’ ที่สะพายหลังไว้ก่อนหน้านี้ถูกวางไว้บนโต๊ะ ตรงเอวไม่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หรือ ‘เจียงหู’ ที่ใช้บรรจุเหล้า บนโต๊ะก็ไม่มีเพราะถูกเด็กหนุ่มเอาไปซ่อนไว้แล้ว
สตรีแต่งงานแล้วหันหน้ามามองกันเองแล้วคลี่ยิ้ม
ดูท่าคงจะเดาตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาออกแล้ว
สองสามีภรรยาเดินข้ามธรณีประตู เฉินผิงอันปิดประตูห้องเบาๆ แล้วถามว่า “จะดื่มชาหรือไม่?”
สตรีแต่งงานแล้วนั่งลงเรียบร้อย ได้ยินคำถามก็ยิ้มส่ายหน้า จากนั้นจึงชี้ไปยังม้านั่งตัวหนึ่ง “เฉินผิงอัน เจ้าก็นั่งด้วยเถอะ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หอจิ้งเจี้ยน พวกเราสองสามีภรรยาอำพรางรูปโฉมเพราะมีความจำเป็น ถึงอย่างไรภูเขาห้อยหัวก็ไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่นี่มีกฎระเบียบเป็นของตัวเอง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
เฉินผิงอันนั่งอย่างสำรวมอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ หมัดสองข้างที่กำแน่นวางไว้บนหัวเข่า พยักหน้ารับอย่างแรง
บุรุษชำเลืองตามองเด็กหนุ่มที่มีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห เหตุใดถึงไม่ใจกว้างผ่าเผย ไม่สง่างามถึงขนาดนี้นะ มองอย่างไรก็ไม่คู่ควรกับบุตรสาวของตน
ผลคือบุรุษถูกสตรีแต่งงานแล้วกระทืบหลังเท้าแรงๆ หนึ่งที เขาจึงได้แต่หลุบตาลงมองปลายจมูก ปล่อยให้สตรีแต่งงานแล้วเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง
หลังจากที่สตรีแต่งงานแล้วถอดเวทอำพรางตาออก บุรุษก็ทำตามด้วย คนทั้งสองจึงเผยโฉมหน้าที่แท้จริง
หญิงสาวงดงามเพริศพริ้ง บุรุษหล่อเหลาคมคาย
นี่กระมังถึงจะเรียกว่าคู่รักเทพเซียนที่แท้จริง
ถึงได้มีบุตรสาวที่งดงามน่าประทับใจอย่างหนิงเหยา
สตรีแต่งงานแล้วแนะนำตัวเองซึ่งดูเหมือนจะเกินความจำเป็นไปสักนิด “เจ้าน่าจะรู้แล้ว ข้าคือแม่ของหนิงเหยา ส่วนเขาก็คือพ่อของหนิงเหยา อันที่จริงพวกเราสองคนรบตายอยู่ทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าได้เก็บดวงวิญญาณที่เหลืออยู่เอาไว้ แม้ว่าจะขัดต่อขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่คนก็ตายไปแล้ว จะยังสนใจเรื่องพวกนี้ไปอีกทำไม เข่นฆ่าสังหารมาชั่วชีวิต ตายไปแล้วก็ลอง ‘มีชีวิต’ เพื่อตัวเองดูสักครั้ง น่าจะไม่ถือว่ามากเกินไป ถึงอย่างไรตอนนั้นหนิงเหยาก็ยังเล็ก…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็ไม่พูดต่ออีก
บุรุษจึงได้แต่รับคำต่อประโยคจากนาง “ครั้งแรกที่หนิงเหยาออกจากบ้าน พอกลับมา พวกเราก็รู้เลยว่ามีปัญหา…”
สตรีแต่งงานแล้วกระแอมเบาๆ หนึ่งที
บุรุษจึงได้แต่เปลี่ยนคำพูดใหม่ “ก็เลยรู้จักเจ้า อันที่จริงตอนนั้นลูกสาวของพวกเรายังไม่เข้าใจตัวเอง ภายหลังพอรู้ว่าเจ้าจะเอากระบี่มาส่งที่ภูเขาห้อยหัว ไม่ว่านางจะทำอะไรก็มักจะรอคอยเจ้าเสมอ”
หนิงเหยาชอบไปนั่งอยู่บนแท่นสังหารมังกรเพียงลำพัง
ทำเอาบุรุษที่เห็นอยู่ในสายตาปวดใจยิ่งนัก
บุรุษลังเลอยู่ชั่วขณะ สีหน้าเรียกว่าอ่อนโยนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย “เจ้าจะไม่ทำผิดต่อหนิงเหยาได้จริงๆ หรือ? เจ้าน่าจะรู้ดีว่าหนิงเหยาไม่เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป แล้วก็ไม่เหมือนในทุกๆ ด้านด้วย”
แม้ว่าเฉินผิงอันจะตื่นเต้นจนเหงื่อหลั่งลงมาตามสันหลัง แต่ก็ยังพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าเคยคิดมาก่อน ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดคือหนิงเหยาจะเสียใจภายหลัง จะหันไปชอบคนอื่น หากคนผู้นั้นดีต่อนางมากกว่าข้า ข้าก็จะไม่มาพบหนิงเหยาอีก หากหนิงเหยาชอบข้าตลอดไป ข้าจะพยายามให้มากขึ้น ครั้งหน้าที่พบเจอกัน จะไม่เหมือนครั้งนี้ที่ได้แต่เป็นภาระให้นาง ไม่ว่านางจะอยู่ในเมืองทางทิศเหนือ อยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรืออยู่ในสนามรบทางทิศใต้ ข้าก็จะอยู่ข้างกายนาง จะพยายามสุดความสามารถเพื่อปกป้องนาง”
เหงื่อที่หลั่งลงมาทำให้การมองเห็นของเฉินผิงอันพร่าเลือน เขารีบเช็ดมันทิ้งแล้วพูดต่อว่า “หากเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำสงคราม แต่อยู่ด้วยกันแค่สองคน การชอบคนคนหนึ่ง อาจจะรู้สึกว่าไม่ว่าอะไรนางก็ดีไปหมด แต่วันหน้าเมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะชอบความไม่ดีของนาง หลักการข้อนี้ ข้ารู้ดี ตอนที่ข้ายังเด็กมาก พ่อแม่ของข้าก็เคยทะเลาะกัน แต่ไม่เคยมาทะเลาะกันต่อหน้าข้า พอทะเลาะกันเสร็จแล้ว พ่อข้าจะไปนั่งเงียบๆ อยู่ในลานบ้าน วันต่อมาคนทั้งสองก็ดีกันแล้ว แม้ข้าจะรู้สึกว่าพ่อแม่ของข้าคือคนที่ดีที่สุดในโลก แต่ใต้หล้านี้จะมีคนที่ดีไปหมดทุกอย่างจริงๆ ได้อย่างไร ต้องไม่ใช่อย่างนั้นแน่ แต่ข้าก็จะพยายามแยกแยะให้รู้ว่าอะไรคือผิดถูก อะไรคือดีหรือไม่ดี จากนั้นก็มอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับหนิงเหยา”
บุรุษมีสีหน้าอึ้งงัน
ไอ้หนูเจ้าพูดทุกอย่างหมดแล้ว แล้วข้าจะยังมีอะไรให้พูดอีก?
อีกอย่างเจ้าเฉินผิงอันเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ทำไมถึงได้เข้าใจหลักการพวกนี้ด้วย?
สตรีแต่งงานแล้วยกมือขึ้น ใช้หลังมือเช็ดน้ำตา จากนั้นก็ยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉินผิงอัน ตอนเด็กลำบากมากใช่ไหม?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
แต่อดกลั้นอยู่พักใหญ่ เฉินผิงอันก็ทำหน้ายับยุ่ง มุมปากสองข้างเบะลงด้านล่าง พูดเสียงสั่นว่า “ตอนที่ท่านแม่จากไป ข้าลำบากแทบตาย ตอนนั้นข้าอายุยังน้อยเกินไป เรื่องที่ข้าทำได้มีน้อยเกินไป แต่ท่านแม่ก็ยังจากไปอยู่ดี”
ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เอาของในบ้านไปขายแลกเงิน ทำกับข้าว หาบน้ำ ต้มยา แอบไปขอพรที่สุสานเทพเซียน เก็บผลไม้ป่าหอบใหญ่ใส่ในตะกร้าไม้ไผ่สะพายขึ้นหลัง ตอนกลางคืนคอยเหน็บชายผ้าห่มให้ท่านแม่ ถามนางว่าวันนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง…
ไม่มีประโยชน์ ล้วนไม่มีประโยชน์
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันแค่พูดประโยคนี้แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
นั่นคือประโยคที่เป็นดั่งการสรุปตอกปิดฝาโลงของเขา
อายุน้อยเกินไป ทำได้น้อยเกินไป
สตรีแต่งงานแล้วก้มหน้าลงพลางยกชายแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาอีกครั้ง
บุรุษถอนหายใจ
ความยากลำบากมีมากมายบนโลกใบนี้ จะแปลกประหลาดตรงไหน?
เด็กคนใดก็ตามที่มีชาติกำเนิดยากจน ใครบ้างที่ไม่เคยพบเจอความยากลำบาก?
แต่ที่น่าแปลกก็คือ คำว่าลำบากนี้ เป็นความลำบากแบบไหน
ความทุกข์ยากลำบากในโลกมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย แต่ก็ควรเอื้อนเอ่ย
สตรีแต่งงานแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง เงยหน้าขึ้น เค้นรอยยิ้มส่งให้ “เฉินผิงอัน วันหน้าคงต้องฝากหนิงเหยาให้เจ้าช่วยดูแลแล้ว หากมีเรื่องใดที่นางทำไม่ถูก เจ้าเป็นบุรุษต้องใจกว้างให้มาก”
เฉินผิงอันพูดเสียงสั่น “พวกท่านจะจากไปแล้วหรือ? พวกท่านจากไปแล้ว หนิงเหยาอยู่ตัวคนเดียวจะทำเช่นไร?”
สตรีแต่งงานแล้วลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หนิงเหยารู้ดี รู้หมดทุกอย่าง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าข้าคือแม่ของหนิงเหยาจึงพูดว่านางดี แต่เป็นเพราะแม่นางที่เจ้าเฉินผิงอันชอบนั้นดีมากจริงๆ”
เฉินผิงอันได้แต่พยักหน้ารับ
สตรีแต่งงานแล้วหันไปมองบุรุษที่ลุกขึ้นยืนพร้อมตน “เจ้ามีเรื่องจะพูดไหม?”
บุรุษพยักหน้ารับ
สตรีแต่งงานแล้วจึงกล่าวอย่างคนที่เข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “ถ้าอย่างนั้นข้าไปรอเจ้าข้างนอก?”
บุรุษอืมรับหนึ่งที สตรีแต่งงานแล้วเดินออกจากห้องแล้วไปยืนรออยู่ตรงมุมเลี้ยวของระเบียง
บุรุษมองเด็กหนุ่ม พูดเสียงหนัก “เฉินผิงอัน!”
บุรุษที่ปฏิบัติต่อเฉินผิงอันอย่างไม่ร้อนไม่หนาวมาโดยตลอดพลันคลี่ยิ้ม เดินอ้อมโต๊ะ ยื่นฝ่ามือที่หนาใหญ่มาตบลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มหนักๆ จากนั้นก็เก็บมือ เดินไปด้านหลังหนึ่งก้าว แต่ยังตั้งฝ่ามือหันเข้าหาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันตะลึง ก่อนจะรีบยื่นมือออกไป ใช้ฝ่ามือตีกับมือของอีกฝ่าย
บุรุษกำฝ่ามือของเด็กหนุ่มไว้หนักๆ “เฉินผิงอัน วันหน้าบุตรสาวของข้าหนิงเหยา! ต้องมอบให้เจ้าดูแลแล้ว! เจ้าจะดูแลนางให้ดีได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพูดสะอื้นเสียงดัง “ต่อให้ตายก็ทำได้!”
บุรุษคลายมือ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตายไม่ตายอะไรกัน ต้องมีชีวิตอยู่ให้ดี”
บุรุษมองประเมินเฉินผิงอันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหนึ่งรอบ แล้วกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “อืม คู่ควรกับลูกสาวของข้า”
บุรุษหมุนตัวกลับ ก้าวยาวๆ จากไป เฉินผิงอันคิดจะเดินไปส่ง แต่บุรุษกลับยกมือขึ้นบอกเป็นนัยกับเฉินผิงอันว่าไม่ต้องตามมา
บุรุษยังคงเดินช้าๆ ไปที่ประตูโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คราวหน้าที่ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้หนิงเหยาพาเจ้าไปดื่มสุราคารวะที่หน้าหลุมศพของพวกเรา เพื่อบอกกล่าวให้รู้ว่าพวกเจ้าสบายดี”
หลังจากเดินข้ามธรณีประตูไป บุรุษพลันหันหน้ากลับมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ดื่มเหล้าแล้วจะเป็นอะไรไป ไม่เห็นต้องซ่อนกาเหล้า เซียนกระบี่ที่สง่างามที่สุดในโลกล้วนชอบดื่มเหล้าด้วยกันทั้งนั้น”
บุรุษยื่นหมัดออกมา ชูนิ้วโป้งตั้งขึ้นแล้วชี้ไปที่ตัวเอง “ยกตัวอย่างเช่นพ่อตาของเจ้าอย่างข้า”
เฉินผิงอันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา
……
วันนี้ท่าเรือที่หอซ่างเซียงจะมีเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติลำหนึ่งออกเดินทางไปยังใบถงทวีป
ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปยังท่าเรือ เฉินผิงอันไปที่ตีนภูเขาเดียวดายก่อน เพราะไม่มีแผ่นหยกข้ามด่านของภูเขาห้อยหัว จึงได้แต่มองประตูใหญ่บานนั้นอยู่นอกรั้วไกลๆ ริมฝีปากของเขาสั่นระริกคล้ายกำลังพึมพำอะไรกับตัวเอง
เวลากลางวันชายฉกรรจ์กอดดาบที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้ายังคงนอนหลับอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เขากลับพึมพำออกมาสามคำ แค่เปลี่ยนจากอักษรคำว่า ‘ใกล้’ ในครั้งแรกเป็นคำว่า ‘ไกล’ เท่านั้น
เด็กหนุ่มอยู่ใกล้กับประตูบานนี้ ปราณกระบี่ก็ใกล้
เด็กหนุ่มอยู่ไกลจากภูเขาห้อยหัว ปราณกระบี่ก็ไกล
วันนี้เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวหิมะ แบกกระบี่ยาวไว้ข้างหลัง ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ท่วงท่าสง่างาม
เด็กหนุ่มมีจิตใจบริสุทธ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ประทับใจคนมากที่สุด
—–