กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 284.2 ควันธูปหมุนเป็นเกลียวอ้อยอิ่ง
ครอบครัวสามคนครอบครัวหนึ่งโดยสารเรือข้ามฟากจากใต้มาเหนือ ในที่สุดก็มาถึงเป้าหมายในอุตรกุรุทวีปอย่างตระกูลเซียนที่มีชื่อว่ายอดเขาราชสีห์เสียที
ในกลุ่มพวกเขามีนายบ่าวอายุน้อยเพิ่มมาคู่หนึ่ง คนหนึ่งคือคุณชายสูงศักดิ์ที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งตำรา เด็กหนุ่มที่เป็นข้ารับใช้ช่วยจูงม้าตัวหนึ่งให้ บนหลังม้าใส่อานสีทองและสีเงินของทางการอันเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์ฮวาหลิง เด็กรับใช้อารมณ์ไม่ใคร่จะดีนักจึงหน้าบูดบึ้งไปตลอดทาง แต่คุณชายของตนดึงดันจะนำทางให้คนอื่น เขาจึงพูดอะไรมากไม่ได้
ครอบครัวสามคนนั้นเหมือนคนบ้านนอกบ้านนา ประเด็นสำคัญคือดวงตาไม่มีแววแม้แต่น้อย แม้ชายฉกรรจ์และสตรีแต่งงานแล้วที่หยาบกระด้างอย่างถึงที่สุดคู่นี้จะให้กำเนิดบุตรสาวที่หน้าตาไม่เลว แต่ต่อให้นางจะสวยงามแค่ไหนก็ยังไม่คู่ควรกับคุณชายของตนอยู่ดี ราชวงศ์ฮวาหลิงคือราชวงศ์ใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของอุตรกุรุทวีป แม้ว่าฮ่องเต้จะแซ่หาน แต่ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคนในราชสำนักที่ได้สวมหมวกขุนนาง หากนับกันขึ้นมาจริงๆ ก็มีคนสกุลเดียวกับคุณชายของตนอยู่ถึงครึ่งหนึ่ง?
อีกอย่างแม้คุณชายของตนจะไม่ใช่บุตรโทน แต่เด็กรุ่นนี้ของตระกูลก็มีแค่คุณชายกับพี่ชายใหญ่ของเขาสองคนเท่านั้น พี่ชายใหญ่คือบุตรอนุภรรยา แต่คุณชายกลับเป็นบุตรภรรยาเอก ดังนั้นต่อให้คุณชายจะแต่งองค์หญิงมาภรรยาก็ยังไม่ถือว่าเป็นธรรม แล้วเหตุใดต้องมาพัวพันอยู่กับเด็กสาวบ้านป่าไร้อารยธรรมคนหนึ่งด้วย?
ครอบครัวหนึ่งที่มาจากสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปไม่คู่ควรกับความกระตือรือร้นถึงขั้นนี้จากคุณชายเลยจริงๆ
ตลอดทางที่เดินมาเด็กรับใช้หนุ่มโมโหจนน้ำตาแทบหยดอยู่หลายครั้ง แต่อย่างมากสุดคุณชายก็แค่ปลอบใจเขาไม่กี่คำ แล้วก็ยังคงติดตามคนทั้งสามไปที่ยอดเขาราชสีห์อยู่ดี
แม้ว่าเจ้าของยอดเขาราชสีห์จะเป็นคนตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงมาก แต่จะอย่างไรเล่า?
เมื่อพบท่านปู่ของคุณชายก็ยังต้องทำตัวสงบเสงี่ยมสำรวมอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ขนาดเขาเป็นแค่เด็กรับใช้เป็นสหายร่วมเรียนคนหนึ่ง ตลอดหลายปีมานี้อาศัยบารมีของคุณชายก็ยังเคยได้เห็นพวกเซียนกระบี่พสุธาที่ทะยานลมขี่เมฆตัวเป็นๆ มากถึงหนึ่งมือนับ
เพียงแต่ว่าถึงแม้เด็กรับใช้หนุ่มที่หัวสูงมากเป็นพิเศษผู้นี้จะเห็นเซียนกระบี่ตัวจริงมาไม่น้อยก็จริง แต่เขากลับยังรู้สึกดูแคลนเจ้าของยอดเขาราชสีห์ผู้นั้นอยู่ดี แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเซียนดินก่อกำเนิดขอบเขตสิบ แต่เดิมทีเซียนดินของอุตรกุรุทวีปก็มีแต่มูลค่า ไม่มีความสามารถที่แท้จริง เว้นเสียจากว่าไปเป็นเซียนอิสระใช้ชีวิตอย่างเสรีตามป่าเขา หาไม่แล้วก็ยากที่จะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง
โดยเฉพาะท่านผู้นี้ของยอดเขาราชสีห์ที่เป็นคนต่างถิ่น ทว่าในเวลาสั้นๆ เพียงสองร้อยปีก็อาศัยพละกำลังของตัวเองคนเดียวเล่นงานให้ตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของราชสำนักฮวาหลิงที่ในชื่อมีคำว่าสำนัก (จง) ถึงกับจนปัญญา มากพอจะพิสูจน์ได้ว่าพลังการต่อสู้ของคนผู้นี้เลิศล้ำ
นอกจากนี้ก็เป็นคนประเภทที่เป็นยอดฝีมือซึ่งถือกำเนิดในกุรุทวีป คนประหลาด คนไร้เหตุผล รวมไปถึงคนที่มีครบทั้งสามที่กล่าวมาข้างต้น
ดังนั้นการที่ได้นั่งบัญชาการณ์อยู่บนภูเขาของกุรุทวีปจึงง่ายที่จะเรียกหายนะให้มาหามากที่สุด
เพราะมักจะมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่แค่ไม่ชอบขี้หน้าสำนักของเจ้าก็วิ่งโร่มาหาเรื่องสร้างความวุ่นวาย หากสู้ไม่ได้ก็หนี แต่ถ้าฝีมือเก่งกาจกว่าก็ถึงขั้นทำให้เจ้าต้องรื้อกรอบป้ายชื่อสำนักทิ้ง
นี่ก็คือกุรุทวีปที่แย่งคำว่า ‘อุตร’ มาจากธวัลทวีปซึ่งๆ หน้า ขนบธรรมเนียมแกร่งกร้าว ผู้คนเหี้ยมหาญ คนทั้งราชสำนักต่างก็เลื่อมใสในฝ่ายบู๊ ผู้ฝึกตนเชี่ยวชาญการทำสงคราม อีกทั้งยังชอบทำสงคราม มีลูกหลานตระกูลเซียนที่สูงศักดิ์หลายคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง หลังลงจากภูเขาแล้วก็แสร้งทำตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระ นั่นก็เพื่อให้ตัวเองลงมือได้อย่างสาแก่ใจมากขึ้น
ที่นี่ ผู้ฝึกกระบี่มีมากดุจก้อนเมฆ
สุดยอดมือกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพเหล่านี้มีวิชากระบี่สูงส่ง ถึงขั้นสามารถงัดข้อกับเซียนดินบนภูเขาได้
ดังนั้นเมื่อเทียบกับสถานที่แห่งอื่นแล้ว ภูมิหลังของอริยะสำนักศึกษาสามแห่งของลัทธิขงจื๊อในกุรุทวีปจะเป็นบัณฑิตที่มีพลังการต่อสู้สูงมาก ส่วนความรู้จะสูงหรือไม่นั้น สามารถยอมกันได้ เพราะถ้าไม่มีฝีมือก็จะไม่สามารถสยบผู้คนได้
เดิมทีชื่อเสียงของอริยะรุ่นนี้ของสำนักศึกษาอวี๋ฝู (ชื่อฮ่องเต้ในสมัยโบราณ) ไม่ได้โด่งดัง มักจะเก็บตัวอยู่ในสำนักศึกษาอย่างสันโดษ ในสายตาของผู้ฝึกตน กษัตริย์หรืออัครเสนาบดีที่เกิดและโตขึ้นมาในกุรุทวีปมักมองว่าคนผู้นี้ชอบโอ้อวดความรู้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนเท่าใดนัก ทว่ากระต่ายถูกบีบให้ร้อนใจก็ยังกัดคนได้ แล้วนับประสาอะไรกับอริยะคนหนึ่งที่ก่อนจะออกเดินทางจากสถานศึกษาในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อาจารย์ผู้มีพระคุณได้มอบสองคำว่า ‘ระงับโทสะ’ ไว้ให้เขา ผลคือมีครั้งหนึ่งที่ไฟโทสะของเขาพุ่งสูงมาก เพราะมีคนกล่าวโทษอย่างกำเริบเสิบสานว่าความรู้และคุณธรรมที่อริยะผู้นี้สั่งสอนตรรกะพังพินาศเหมือนตูดหมาไม่ทะลุ (เป็นคำด่าว่าคำพูดหรือบทประพันธ์ติดขัด ไม่ได้เรื่อง) ตอนนั้นอริยะท่านนี้อยู่ห่างจากสำนักศึกษาอวี๋ฝูไม่มาก พอได้ยินก็แค่ก้าวอาดๆ จากไป คนในตระกูลเซียนของกุรุทวีปที่คล้อยตามกับเรื่องนี้ก็มีค่อนข้างมาก
สำนักศึกษาเงียบเหงาอยู่นาน ในที่สุดก็มีวันหนึ่งที่อริยะออกไปจากสำนักศึกษา เวลาเพียงหนึ่งเดือนเขาซ้อมก่อกำเนิดสองคน หยกดิบหนึ่งคนให้หน้าเขียวจมูกบวมติดๆ กัน ได้ยินว่าทุกครั้งที่ถึงช่วงท้าย อริยะจากลัทธิขงจื๊อท่านนี้จะต้องเขกมะเหงกลงบนศีรษะคนอื่นพลางตะโกนถามเสียงดังด้วยว่า “ตอนนี้ทะลุปรุโปร่งแล้วหรือยัง?” แน่นอนว่าคนทั้งสามได้แต่พูดว่าทะลุปรุโปร่งแล้ว ผลคืออริยะท่านนี้ตอบกลับซ้ำไปซ้ำมาว่า “ทะลุกะผีเจ้าน่ะสิ!”
กลายเป็นเรื่องตลกขบขันที่ผู้คนเอามาพูดถึง
และเจ้าขุนเขาของยอดเขาราชสีห์ก็คือหนึ่งในเซียนดินที่อริยะแห่งสำนักศึกษาอวี๋ฝูถูกชะตาด้วยอย่างที่หาได้ยาก
เพียงแต่ว่าเรื่องวงในพวกนี้ เด็กรับใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่มีทางสัมผัสได้ถึง
พอไปถึงประตูตรงตีนยอดเขาราชสีห์ เด็กรับใช้ก็คิดว่าในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว จะดีจะชั่วก็ควรไปขอผู้อื่นดื่มชาสักถ้วย แต่คุณชายกลับดื้อดึงขึ้นมาอีกครั้ง พูดกับคู่สามีภรรยาและเด็กสาวคนนั้นว่าส่งท่านพันลี้ย่อมต้องถึงเวลาแยกจาก แล้วก็พาเขาเดินหันกลับ เด็กรับใช้น้อยใจจนเกือบจะร้องไห้อีกครั้ง
พเนจรอยู่ข้างนอกมาเกือบครึ่งปี ได้กลับจวนคือเรื่องดี แต่พวกเขากลับไม่มีมาดอันสง่างามเลยแม้แต่น้อย
หลังจากขึ้นเขามาแล้ว สตรีแต่งงานแล้วก็พูดคุยซุบซิบอยู่กับลูกสาวเป็นนาน ซึ่งไม่พ้นพูดว่าลูกหลานคนรวยผู้นี้ดูแล้วไม่เลวเลยทีเดียว มีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น หน้าตาก็ไม่ธรรมดา อีกอย่างแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิตมีความรู้ เมื่อเทียบกับน้ำครึ่งถัง (เปรียบเปรยถึงคนที่รู้งูๆ ปลาๆ รู้ไม่จริง) อย่างหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิงแล้ว ดูมีความรู้กว่ามาก น่าเสียดายที่บุตรสาวของนางทั้งไม่พยักหน้ารับและไม่ส่ายหน้าปฏิเสธ ทำเอาสตรีแต่งงานแล้วโมโหจนใช้นิ้วจิ้มบุตรสาว ด่าด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กโง่ไร้ไหวพริบ” นางที่ไม่ถือว่าเป็นเด็กสาวแล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต
ไม่เคยโกรธ ไม่เคยหัวเราะเสียงดัง เว้นจากน้องชายที่ชื่อว่าหลี่ไหวแล้วก็ไม่เคยใส่ใจผู้ใดอีก
สตรีแต่งงานแล้วมักจะพูดว่านางคือก้อนแป้งนุ่มนิ่ม ไม่ว่าใครก็หยิบขึ้นมาปั้นได้ตามใจชอบ วันหน้าถ้าแต่งงานออกเรือนไปต้องลำบากแน่
แน่นอนว่าความหมายที่สำคัญที่สุดของสตรีแต่งงานแล้วก็คือ นางยังรู้สึกว่านิสัยอ่อนโยนนิ่มนุ่มเช่นนี้ของลูกสาว วันหน้าหากแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นต้องไม่สามารถปกครองบ้านเรือน ไม่อาจสยบบ้านฝั่งสามีได้แน่นอน ถ้าอย่างนั้นจะช่วยเหลือน้องชายอย่างไร?
สตรีแต่งงานแล้วไม่เคยปกปิดความลำเอียงของตัวเอง
ยังดีที่สามีของนาง ชายฉกรรจ์หยาบกระด้างที่ชื่อว่าหลี่เอ้อร์ไม่ได้รักลูกชายชังลูกสาว เพราะไม่ว่าจะลูกชายหรือลูกสาว เขาก็ล้วนรักทั้งหมด
น่าเสียดายก็แต่ฐานะของเขาในบ้านต่ำต้อยที่สุด คำพูดของเขาไม่มีน้ำหนักมากที่สุด
ส่วนหลี่หลิ่วก็คงเพราะมีนิสัยยอมรับความยากลำบากโดยไม่ขัดขืนมาตั้งแต่เกิด จึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง
คราวนี้สตรีแต่งงานแล้วได้ยินมาว่าประมุขยอดเขาราชสีห์อะไรนี่มีความสัมพันธ์กับอาจารย์ไม่เอาไหนของผู้ชายของตน บุรุษรับรองว่าเมื่อมาถึงที่นี่ คนทั้งสามจะไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องการกินอยู่ สตรีแต่งงานแล้วที่ระเหเร่ร่อนข้ามน้ำข้ามทะเลมาตลอดทางจึงด่าหยางเหล่าโถวน้อยลงสองสามคำ รู้สึกว่าหลายปีที่หลี่เอ้อร์เป็นลูกศิษย์ของเขา ในที่สุดก็พอมีประโยชน์บ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นหากครั้งหน้านางกลับบ้านเกิดแล้วหยางเหล่าโถวยังไม่ตาย นางจะต้องไปดักรอที่ประตูเรือนหลังร้านยาทุกวัน จะด่าให้ตาแก่นั่นไม่ต้องล้างหน้าเลยทีเดียว
สตรีแต่งงานแล้วเดินไปเดินมาก็นึกถึงลูกชายสุดที่รักซึ่งเวลานี้ไร้คนดูแล และคงต้องได้รับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส นางที่โมโหจึงบิดแขนลูกสาวที่เดินอยู่ข้างๆ อย่างอดไม่ได้ “คุณชายแซ่ประหลาดคนนั้นไม่ดีตรงไหน เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าหากแต่งงานกับเขา พวกเราที่อยู่ยอดเขาราชสีห์อะไรนี่ก็ไม่ต้องคอยดูสีหน้าคนอื่นแล้ว ให้คนแซ่ซือถูนั่นหามแปดเกี้ยวแต่งเจ้าเข้าบ้านก่อน จากนั้นพวกเราก็จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของเขาอย่างเปิดเผย แล้วค่อยรีบรับตัวหลี่ไหวมาอยู่ด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูก จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที”
หลี่หลิ่วหัวเราะจนดวงตาโค้งลง คล้ายกำลังยอมรับผิด แล้วก็คล้ายกำลังออดอ้อน
สตรีแต่งงานแล้วทนเห็นท่าทางแบบนี้ของลูกสาวไม่ได้มากที่สุด อารมณ์โกรธพลันหายวับไป นางบิดแขนหลี่หลิ่วอีกที เพียงแต่ว่าคราวนี้แรงบิดเบามาก “เจ้ามันคนใจดำ ไม่รู้จักสงสารน้องชายตัวเองเสียบ้าง ข้าเลี้ยงเจ้ามานานหลายปีขนาดนี้นับว่าเสียเปล่าจริงๆ …”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วที่เปลี่ยนมาเป็นใจดีก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ยื่นมือมาบีบแก้มบุตรสาวเบาๆ “หน้าตาของนังหนูดื้อคนนี้เหมือนข้าจริงๆ ดูดวงหน้าเล็กๆ นี่สิว่าน่ารักงดงามเพียงใด อวบอิ่มจนเค้นน้ำออกมาได้แล้ว”
หลี่เอ้อร์ที่สะพายสัมภาระห่อใหญ่ยิ้มกว้าง
แต่แล้วสตรีแต่งงานแล้วก็กล่าวอย่างกลัดกลุ้มอีกครั้ง “กว่าจะทนอยู่มาจนยายเฒ่าตรอกซิ่งฮวาผู้นั้นตายได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นังจิ้งจอกตรอกหนีผิงก็ย้ายบ้านไปแล้ว หากไม่ได้ออกจากเมืองเล็กก็คงดี เพราะไม่มีใครเถียงชนะข้าได้อีกแล้ว”
ตลอดทางที่ขึ้นเหนือมานี้ นางเดินทางอย่างหวาดหวั่น สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าตนมีความสามารถเต็มตัว แต่กลับไม่มีที่ให้แสดงฝีมือ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
หน้าตางดงามของหลี่หลิ่ว ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมือนมารดาของนาง
แต่นิสัยเก่งแต่ในผ้าห่มของหลี่ไหวนั้นเหมือนมารดาของเขาอย่างแน่นอน
บนยอดเขาราชสีห์ เจ้าขุนเขายืนอยู่เคียงข้างชายชราลักษณะเหมือนเศรษฐีคนหนึ่ง ฝ่ายหลังมีใบหน้ากลมเกลี้ยงอิ่มเอิบ หากไม่ได้ปรากฏตัวที่นี่ ไม่ได้มีผู้ฝึกตนเซียนดินท่านหนึ่งยืนอยู่เคียงข้างอย่างนอบน้อม คงถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือเถ้าแก่ร้านเล็กๆ ในตลาดล่างภูเขา หรือไม่ก็พวกคนมีอำนาจในสถานที่ที่ชาวบ้านยากแค้นถูกรังแก
ตรงข้อมือของผู้เฒ่าร่างอ้วนฉุผูกเชือกสีเขียวมรกตไว้เส้นหนึ่ง เขาจุ๊ปากพูดว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าหยางช่างใจกว้างจริงๆ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า สตรีปากคอเราะร้ายแบบนี้ได้กลับไปเกิดใหม่พันแปดร้อยรอบนานแล้ว”
ผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ข้างเศรษฐีมีกลิ่นอายและมาดที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเทพเซียนในใจชาวบ้านอย่างยิ่ง ได้ยินคำสัพยอกจากแขกท่านนี้ก็ไม่ได้รับคำ เพียงแค่ยิ้มบางๆ ตามมารยาท
ผู้เฒ่าร่างอ้วนยิ้มตาหยีถามว่า “ไม่พูดถึงโอสถทองไร้ค่า เอาแค่เซียนดินเหมือนเจ้า พันปีที่ผ่านมานี้มีคนเดินออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูสักกี่คน? ตอนนี้เจ้ากับข้าเป็นพันธมิตรกัน เรื่องเล็กแค่นี้ คงไม่ต้องทำหลบๆ ซ่อนๆ หรอกกระมัง?”
เซียนซือเฒ่าค้อมตัวลงเล็กน้อย กล่าวขออภัยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่เฉา โปรดอภัยที่ผู้น้อยไม่อาจพูดได้มากนัก”
ที่แท้เศรษฐีท่านนี้ก็คือเฉาซีเซียนกระบี่จากนาตยทวีปที่เดินทางมาเป็นผู้พิทักษ์มรรคาหลี่หลิ่วตามข้อตกลง
เฉาซีถามอีกว่า “แล้วเหตุใดหลี่หลิ่วถึงถ่วงเวลามาเนิ่นนานไม่ยอมฝึกตนเสียที? นี่เป็นเพราะสาเหตุใด?”
เซียนซือเฒ่าที่เป็นเจ้าขุนเขายอดเขาราชสีห์กล่าวอย่างจนใจว่า “ท่านเซียนกระบี่สามารถถามจากบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลของข้าได้”
เฉาซีอึ้งตะลึง “นี่นางเป็นถึงบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสายของเจ้าที่กลับชาติมาเกิดใหม่อย่างนั้นหรือ? ยอดเขาราชสีห์เพิ่งสืบทอดกันมาได้กี่ปีเอง พวกเจ้าตามหานางพบได้อย่างไร?”
เซียนซือเฒ่าลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะเคยได้รับคำสั่งมาก่อน หลังจากใคร่ครวญดูเล็กน้อยก็กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ย่อมต้องมีวิชาลับ อีกอย่างก็ไม่ใช่แค่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของเราเท่านั้น”
เฉาซีถามคำถามที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุด “ตัวหลี่หลิ่วเองรู้หรือไม่?”
เซียนซือเฒ่าเพียงยิ้มตอบรับ
นี่ก็คือคำตอบแล้ว
เฉาซีจุ๊ปากพูด “เก็บได้สมบัติซะแล้ว”
หลังจากนั้นหลี่เอ้อร์สามคนครอบครัวก็มาพักอยู่ที่ยอดเขาราชสีห์ พ่อบ้านวัยชราคนหนึ่งของยอดเขาราชสีห์เป็นผู้มาต้อนรับ เขาถือเป็นญาติห่างๆ ของร้านยาตระกูลหยางในนาม รับผิดชอบดูแลงานจิปาถะบางส่วนในยอดเขาราชสีห์ เขาจัดหาที่พักธรรมดาให้คนทั้งสาม ยังไม่มอบหมายงานอะไรให้สตรีแต่งงานแล้วทำชั่วคราว บอกแค่ว่าต้องรออีกสักพักถึงจะได้คำตอบ กฎระเบียบของยอดเขาราชสีห์เข้มงวดมาก ห้ามรบกวนการฝึกตนของเซียนซือ ห้ามเดินเตร่ส่งเดช หากก่อเรื่องขึ้น เขาก็ไม่สามารถช่วยได้
สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าคำพูดพวกนี้อีกฝ่ายพูดให้นางฟังคนเดียว จึงรู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก
แน่นอนว่านางไม่รู้ว่า หลังจากผู้คุมกฎอาวุโสแห่งยอดเขาราชสีห์ท่านนี้เดินออกจากห้องแล้วก็ต้องรีบปาดเหงื่อทิ้ง งานนี้ที่เจ้าขุนเขามอบให้เขาช่างน่าอกสั่นขวัญแขวนเสียจริง ผู้เฒ่าถึงขั้นไม่กล้ามองสตรีที่ชื่อว่าหลี่หลิ่วสักครั้ง
ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน สตรีแต่งงานแล้วก็ทนอยู่นิ่งเฉยไม่ไหว บอกว่าจะไปหางานทำที่เมืองเล็กข้างยอดเขาราชสีห์ หลี่เอ้อร์จึงไปขอยืมเงินจากคนอื่น คิดจะลงทุนเปิดร้านสักร้าน หลังจากนั้นยอดฝีมือยอดเขาราชสีห์บางคนก็ ‘บังเอิญ’ ค้นพบว่าหลี่หลิ่วมีพรสวรรค์ในการฝึกตน หลี่หลิ่วจึงต้องฝึกตนอยู่เพียงลำพังบนภูเขา
สตรีแต่งงานแล้วเป็นพวกสายตาตื้นเขิน นางรู้สึกว่าหลี่หลิ่วควรแต่งงานให้กับคนมีเงินถึงจะเรียกว่ามีวาสนา นางจึงไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก หากเป็นเซียนซือที่ฝึกตนขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้พบหน้ากันหลายปีหรืออาจหลายสิบปี แล้วจะยังช่วยหลี่ไหวได้อย่างไร?
แต่สุดท้ายสตรีแต่งงานแล้วก็ยังไปเมืองเล็กกับหลี่เอ้อร์ เช่าบ้านหลังหนึ่ง เดินหาร้านที่เหมาะสมไปทั่ว ในที่สุดก็ถือว่าได้ลงหลักปักฐานแล้ว
ตอนนั้นหลี่หลิ่วมาส่งพ่อแม่ที่ตีนเขา รอจนเงาร่างของคนทั้งสองหายไปจากเส้นทางเบื้องหน้าแล้ว ด้านหลังหญิงสาวก็มีก่อกำเนิดและโอสถทองทั้งหมดของยอดเขาราชสีห์รวมถึงเจ้าขุนเขามาปรากฎตัว แต่ละคนมีท่าทางนอบน้อมยำเกรง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ภายใต้การนำพาของเจ้าขุนเขา ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ขอต้อนรับท่านบรรพบุรุษกลับภูเขา”
หลี่หลิ่วไม่สนใจแม้แต่น้อย นางเดินอยู่บนภูเขาเพียงลำพัง ไม่อนุญาตให้ใครติดตามมา จนกระทั่งไปถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่งที่ถูกปิดตายมานาน จึงก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน
ตราผนึกหนาชั้นที่แม้แต่เซียนดินก็ยากจะทำลายไม่อยู่ในสายตาของหลี่หลิ่ว หรือควรจะพูดว่ามันไม่เป็นอุปสรรคต่อหลี่หลิ่วแม้แต่นิดเดียว
รอจนนางเดินออกมาจากถ้ำ ตรงเอวก็ห้อยตราประทับราชสีห์สีทองอร่ามไว้ชิ้นหนึ่ง
เฉาซีมายืนรออยู่ตรงหน้าปากถ้ำนานแล้ว ในมือถือกระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่มีขนาดเหมือนกริช ยกมือข้างที่รัดเชือกมรกตเส้นเล็กขึ้นมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนหน้าที่จะชุบหลอมแม่น้ำสายหนึ่งเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต กระบี่สั้นเล่มนี้เคยติดตามข้าออกรบถึงสามร้อยปี ภายหลังปราณกระบี่ได้รับบำรุงด้วยความอบอุ่นและเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง รอจนเจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางเมื่อไหร่ก็จะสามารถใช้มันได้ตามใจปรารถนา สามารถปล่อยกระบี่ได้สิบครั้ง อานุภาพของมันมากพอจะทัดเทียมกับการโจมตีอย่างเต็มกำลังครั้งหนึ่งของเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ หากรอจนเจ้าได้เป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิด ปล่อยปราณกระบี่ครั้งเดียวก็เท่ากับการปล่อยกระบี่ของเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว”
หลี่หลิ่วยิ้มอ่อนหวาน ยกมือข้างหนึ่งขึ้น กระบี่สั้นก็บินเข้ามาในมือของนาง นางชักมันออกจากฝักแล้วฟันออกไปนอกภูเขาเบาๆ หนึ่งครั้ง
รุ้งยาวปราณกระบี่ผ่าออกไปดังครืนครั่น พลานุภาพนั้นราวกับจะแหวกฟ้าผ่าดิน ทำเอาผู้ฝึกตนทุกคนบนยอดเขาราชสีห์ตกใจ บรรยากาศตกสู่ความเงียบ
หลี่หลิ่วที่อยู่ดีๆ ก็เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางในก้าวเดียวพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริงด้วย”
เฉาซีทอดถอนใจ “ผีหลอกซะแล้ว”
เฉาซีนึกถึงเฉาจวิ้นหลานชายไม่เอาไหนของตนซึ่งตอนนี้อยู่ในกองทัพต้าหลีอย่างหาที่ได้ยาก
เฮ้อ มองลูกหลานบ้านคนอื่น แล้วพอหันมามองลูกหลานบ้านตัวเอง น่าโมโหจริงๆ
—–