กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 284.3 ควันธูปหมุนเป็นเกลียวอ้อยอิ่ง
ภูเขาเจินอู่
ในฐานะหนึ่งในสองปฐมสำนักของสำนักการทหารแจกันสมบัติทวีป เมื่อเทียบกับศาลลมหิมะที่มีจอมยุทธ์พเนจรมากกว่าแล้ว เขาเจินอู่มีผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมกองทัพเยอะอย่างถึงที่สุด
หนึ่งปีที่ผ่านมาผู้ฝึกตนด้านล่างภูเขามีมากขึ้นเรื่อยๆ ครึ่งหนึ่งเดินทางไปยังต้าหลีที่อยู่ทางทิศเหนือ ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งไล่ตามโชควาสนาของตัวเอโดยเลือกที่จะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นต่างๆ ที่อยู่แถบภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป
ช่วงที่ผ่านมาภูเขาเจินอู่ที่ค่อนข้างเงียบสงบจึงเริ่มครึกครื้น
สมาชิกใหม่นิสัยกำเริบเสิบสานที่เพิ่งขึ้นเขามาได้ไม่กี่ปีอย่างหม่าขู่เสวียนได้ก่อเรื่องใหญ่เทียมฟ้าขึ้นอีกครั้ง เขาลงมือสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง รายละเอียดและสาเหตุเป็นอย่างไร ทางภูเขาเจินอู่ไม่ได้ป่าวประกาศแก่ภายนอก รู้แค่ว่าไม่ได้ลงมือเพราะเป็นศัตรูคู่แค้น ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตเจ็ดคนนั้นไม่เคยไปมาหาสู่กับหม่าขู่เสวียน ต่อให้เกิดความขัดแย้งกัน อย่างมากก็แค่ด่ากันเท่านั้น ย่อมต้องเป็นหม่าขู่เสวียนที่จิตใจอำมหิตจงใจสังหารเขาอย่างแน่นอน
ต่อให้บุรพาจารย์สองท่านจะช่วยพูดขอร้อง แต่สุดท้ายหม่าขู่เสวียนก็ยังถูกจับขังในตำหนักเสินอู่ด้านหลังภูเขา ห้ามออกไปไหนเป็นระยะเวลาหนึ่งปี
ในตำหนักเสินอู่บูชาบรรพจารย์หลายรุ่นของภูเขาเจินอู่และองค์เทพไร้นามหลายสิบองค์ ว่ากันว่าในประวัติศาสตร์เคยมีหายนะใหญ่ที่เกี่ยวพันกับทั้งสำนัก ช่วงเวลาที่เผชิญกับวิกฤตคับขัน เจ้าสำนักภูเขาเจินอู่ในยุคสมัยนั้นใช้เวทลับที่ไม่อาจแพร่งพรายอัญเชิญองค์เทพร่างทองที่เสพสุขควันธูปอยู่ในตำหนักใหญ่มานานหลายพันปี ให้มาช่วยกันลงเขาไปสังหารศัตรูด้วยพลังอำนาจอันน่าครั่นคร้าม สุดท้ายกำจัดตระกูลเซียนสิบกว่าแห่งได้ในรวดเดียว
แต่การถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักเสินอู่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่สุขสบายแน่นอน มีเพียงผู้ฝึกตนของภูเขาเจินอู่ที่ทำความผิดมหันต์เท่านั้นถึงจะถูกกักขังอยู่ที่นี่ สุดท้ายไม่มีใครสามารถเดินออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่สักคน ว่ากันว่าองค์เทพทั้งหลายที่ตั้งบูชาไว้ในตำหนักเสินอู่จะ ‘ฟื้นตื่น’ ขึ้นมาในวันถือศีลกินเจของยุคบรรพกาลซึ่งขาดการสืบทอดไปแล้ว เพื่อสอบถาม ฟาดโบย หรือแม้แต่กลืนกินดวงวิญญาณของผู้ฝึกตน
จวนเทพเซียนแห่งหนึ่งบนภูเขาเจินอู่ซึ่งมีปราณแห่งเซียนล้อมวน บุรพาจารย์สำนักการทหารคนหนึ่งที่มีวัยวุฒิสูงมากระเบิดอารมณ์เต็มที่ “ลงโทษหม่าขู่เสวียนเช่นนี้ไม่เข้มงวดไปหน่อยหรือ?!”
คนที่อยู่ตรงข้ามคือคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา นิ้วมือเรียวบางขาวนวลเหมือนมือของสตรี เขากำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเอง เผชิญหน้ากับการซักไซ้ที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าไร้มารยาทของศิษย์น้องคนนี้ บุรุษไม่สะทกสะท้าน ถึงขั้นไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความสักคำ
ผู้เฒ่าฟาดฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ “หม่าขู่เสวียนคนนี้คือผู้มีพรสวรรค์ที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต เป็นคนมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง หากเจ้าทำลายเขา ข้าจะไม่จบเรื่องกับเจ้าง่ายๆ แน่!”
บุรุษเพิ่งจะคีบตัวหมากขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ได้ยินประโยคนี้ก็ปล่อยมันกลับล่องไปในโถเก็บเม็ดหมาก ขมวดคิ้วกล่าวว่า “อันที่จริงโศกนาฎกรรมที่พรรคหรือตระกูลซึ่งในชื่อได้ใช้คำว่าสำนัก (จง) ถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้มีพรสวรรค์ มีไม่มากนัก”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “แต่สำนักที่ลุกผงาดเจริญรุ่งเรือง หมดสิ้นข้อเสียด้วยฝีมือของคนคนเดียวกลับมีมากกว่า!”
บุรุษส่ายหน้ากล่าวว่า “การฝึกตนต้องให้ความสำคัญกับสองคำว่าถูกผิดก่อน หาไม่แล้วหากต้องทำลายกฎที่บรรพบุรุษหลายท่านตั้งเอาไว้เพียงเพื่อคนหนึ่งคนหรือสองคน หวังให้ได้รับความเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่ต่างจากการสร้างหอเรือนกลางอากาศ อีกอย่างตอนนี้โชคชะตาของภูเขาเจินอู่เป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยเหลือ ศิษย์น้องหลิว ข้าขอแนะนำเจ้าสักคำ เจ้าให้ความสำคัญกับหม่าขู่เสวียน ต่อให้จะยินดีมอบสมบัติอาคมทุกชิ้นให้แก่เขา หรือถึงขั้นแอบช่วยอย่างลับๆ ให้เขาได้รับโชควาสนาครั้งนั้น แต่ถึงอย่างไรแล้วนี่ก็เป็นเรื่องของเจ้าคนเดียว ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก เพราะนี่ไม่ได้ผิดต่อกฎของภูเขาเจินอู่เรา”
ผู้เฒ่ามอง ‘คนหนุ่ม’ ที่สีหน้าเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ บุรพาจารย์สำนักการทหารที่เดิมทีใส่อารมณ์หัวฟัดหัวเหวี่ยงก็เริ่มร้อนตัว แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “หม่าขู่เสวียนมีค่ามากพอให้ภูเขาเจินอู่ละเมิดกฎเกณฑ์บางอย่างเพื่อเขา ศาลลมหิมะมีเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียน พวกเรามีใคร?”
บุรุษยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีข้าไงล่ะ”
ประโยคนี้ทำเอาผู้เฒ่าสะอึกอึ้ง นานพักใหญ่ก็ยังพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ดูเหมือนบุรุษจะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศแข็งทื่อเกินไป ในที่สุดก็เค้นรอยยิ้มออกมา “เอาละ ลูกหลานย่อมต้องมีวาสนาของลูกหลาน แล้วนับประสาอะไรกับที่หม่าขู่เสวียนไม่ใช่ลูกหลานของเจ้า จะร้อนใจไปทำไม เพื่อกิจการใหญ่ของสำนัก? พอเถอะน่า เจ้านิสัยเป็นอย่างไรข้ายังไม่รู้อีกหรือ? พูดไปพูดมาก็ไม่ใช่เพื่อให้หม่าขู่เสวียนไปช่วยแก้แค้นศาลลมหิมะแทนเจ้าในวันหน้าหรือไง?”
บุรพาจารย์สำนักการทหารที่ชื่อเสียงด้านความฉุนเฉียวอารมณ์ร้ายเป็นที่เลื่องลือกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ความตั้งใจเดิมเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ยิ่งนานข้าก็ยิ่งถูกชะตากับหม่าขู่เสวียน ลูกหลานที่ไม่เอาถ่านของบ้านข้า จะคนเดียวหรือหมื่นคนก็สู้หม่าขู่เสวียนไม่ได้เลยสักคน”
บุรุษพยักหน้ารับคล้อยตามผู้เฒ่าอย่างที่หาได้ยาก “อืม ลูกกระต่ายลูกตะพาบกลุ่มนั้นของบ้านเจ้า ปีนั้นเจ้าไม่ควรให้กำเนิดพวกเขามาเลยจริงๆ แต่จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษตัวเจ้าเองที่ควบคุมนกเขาในกางเกงตัวเองไม่อยู่”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักภูเขาเจินอู่ พูดจาแบบนี้ไม่อายปากตัวเองบ้างหรือไง?!”
บุรุษคลี่ยิ้ม เอ่ยสัพยอกว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้สายรัดกางเกงของเจ้าผูกไม่แน่นอีกแล้วรึ? ถึงได้หาอนุภรรยาที่เป็นคนธรรมดาหน้าตางดงามมาอีกคนหนึ่ง?”
ไฟโทสะของผู้เฒ่าลดฮวบลงทันที พูดเสียงเบาว่า “ข้าชอบผู้หญิงคนนั้นจริงๆ น่ารักไร้เดียงสา เทพธิดาเย่อหยิ่งทั้งหลายบนภูเขาเห็นแล้วเอียน”
บุรุษกล่าวอย่างอ่อนใจว่า “แค่เจ้าชอบก็พอ”
ผู้เฒ่าพลันเกิดความขุ่นเคืองขึ้นมาในใจ “ภูเขาเจินอู่ต้องเปลี่ยนขนบธรรมเนียมแล้วจริงๆ โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์ที่รับมาในช่วงร้อยปีล่าสุดที่สภาพจิตใจย่ำแย่สุดขีด แค่หม่าขู่เสวียนคนเดียวก็ทำให้จิตแห่งมหามรรคาของพวกเขาปั่นป่วนวุ่นวายเหมือนไก่บินหมาวิ่งเตลิด แต่ละคนพูดเสียดสีเย้ยหยันลับหลังหนักยิ่งกว่าพวกผู้หญิงปากตลาดเสียอีก!”
บุรุษโบกมือ “ไม่ใช่ว่าจิตแห่งมหามรรคาปั่นป่วน เดิมทีจิตแห่งมรรคาของคนพวกนี้ก็แย่แบบนั้นอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าถามอย่างสงสัย “แล้วเจ้าไม่คิดจะสนใจสักหน่อยรึ?”
บุรุษถามกลับ “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องสนเรื่องกินดื่มขี้เยี่ยวของพวกเขา สนเรื่องสายรัดกางเกงของเจ้าด้วยหรือเปล่า?”
ผู้เฒ่ามองค้อน
“วางใจเถอะ หม่าขู่เสวียนไม่ตายหรอก”
บุรุษโบกมือแล้วเริ่มเล่นหมากล้อมอีกครั้ง
บุรพาจารย์สำนักการทหารหัวเราะฮ่าๆ พลันลุกขึ้นยืน “ศิษย์พี่ท่านนี่ก็จริงๆ เลยนะ ถ้าพูดประโยคนี้ตั้งแต่แรก ข้าจะต้องมาบ่นให้ท่านฟังเป็นครึ่งๆ วันทำไมกัน!”
บุรุษกล่าวโดยไม่เงยหน้า “สายรัดกางเกงของเจ้าหลวมแล้ว”
ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ศิษย์พี่ชอบล้อเล่นแบบนี้เสมอ…”
ร้องโอ๊ะหนึ่งครั้ง แล้วผู้เฒ่าก็รีบร่ายเวทอย่างลนลาน ก่อนจะหายตัววับไป
ที่แท้ระหว่างที่บุรุษโบกมือก็ทำให้สายรัดกางเกงของเซียนพสุธาก่อกำเนิดคนหนึ่งแตกสลายโดยที่ฝ่ายหลังไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
หากเขามีใจคิดสังหารคนเล่า?
ในสายตาของคนแจกันสมบัติทวีป ภูเขาเจินอู่แข็งแกร่งในเรื่องของอิทธิพลที่มีต่อราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หากพูดถึงตบะและพลังการต่อสู้ส่วนบุคคล เทพเซียนผู้เฒ่าสำนักการทหารหลายคนของศาลลมหิมะถือว่าแข็งแกร่งกว่าภูเขาห้อยหัวมากนัก
เคยมีคนกล่าวหยอกเย้าไว้ว่า ปฐมสำนักของสำนักการทหารทั้งสองแห่ง หากต่างฝ่ายต่างส่งคนสิบคนมาเข่นฆ่ากันเอง ศาลลมหิมะที่มีผู้แข็งแกร่งมากมายเหมือนต้นไม้ในป่าคงอัดให้ภูเขาเจินอู่ที่มีประสบการณ์ทางโลกอย่างลึกซึ้งร้องเรียกหาบรรพบุรุษอย่างแน่นอน
บุรุษวางตำราหมากล้อมเล่มเก่าที่ท่องขึ้นใจมานานแล้วเล่มนั้นลง ชื่อตำราคือ ‘รวมกวานจื่อ’ ในตำราบันทึกช่วงเล่นกวานจื่อ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม ระหว่างที่แข่งขันกันบนกระดาน ต่างฝ่ายต่างยึดฐานที่มั่นของตัวเองได้แล้ว ยังไม่มีการวางเม็ดหมากลงไปบนที่ว่างรอยต่อของกันและกัน หากวางเม็ดหมากลงไปในเวลานี้จะเรียกว่ากวานจื่อ) ที่มีชื่อเสียงมากมายในประวัติศาสตร์ กระดานที่บุรุษกำลังเล่นอยู่ตอนนี้มีชื่อเรียกว่ากระดานเมฆหลากสี สองฝ่ายที่ประชันฝีมือกัน คนหนึ่งคือเจ้านครจักรพรรดิขาว อีกคนหนึ่งคืออดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง
บุรุษถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
ในตำหนักเสินอู่ด้านหลังภูเขา
หม่าขู่เสวียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนศีรษะของเทวรูปขนาดสูงองค์หนึ่ง และแมวดำตัวหนึ่งก็นั่งอยู่บนหัวของเขาอีกที
หนึ่งคน หนึ่งแมว หนึ่งเทวรูป
แมวดำยื่นกรงเล็บข้างหนึ่งออกมาเกาหัวของหม่าขู่เสวียนเบาๆ
หม่าขู่เสวียนไม่ถือสา เขากับแมวดำตัวนี้มีชีวิตพึ่งพากันและกันมาตั้งแต่เขายังเด็ก หลังจากที่ท่านย่าจากไปก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ในดวงตาเทวรูปไม้สลักร่างทองทางฝั่งซ้ายมือพลันมีประกายแสงสีทองเปล่งวาบขึ้นมา ก่อนจะขยับเสียงดังครืนครั่น เทวรูปขนาดใหญ่ยักษ์เดินลงจากแท่นบูชาช้าๆ กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายมองเห็นหม่าขู่เสวียนที่นั่งอยู่บนศีรษะของเทวรูปหนึ่งในนั้น เทวรูปเดินไปหยุดอยู่ใจกลางห้องโถง หันหน้าไปทางเด็กหนุ่มและแมว ก่อนที่เทวรูปร่างสูงสามจั้งจะคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
หม่าขู่เสวียนเหมือนเห็นเป็นเรื่องปกติ แค่เอ่ยเสียงเตือนอย่างที่เคยทำในอดีต “กลับไปแล้วจงจำไว้ว่าต้องปิดปากให้สนิท”
เทวรูปไม้สลักองค์นี้พยักหน้ารับเบาๆ พอลุกขึ้นก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เหยียบขึ้นไปบนแท่นบูชา ยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิม เพียงไม่นานดวงตาประกายสีทองก็หายไป ร่างแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิกอีกครั้ง
ประตูของตำหนักสูงและใหญ่มาก เส้นแสงลอดทะลุช่องว่างของหน้าต่างเข้ามาสาดส่องอยู่ในตำหนักใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงมองเห็นได้แม้กระทั่งฝุ่นผง
หม่าขู่เสวียนพลันเอ่ยเย้ยตัวเอง “สมบัติอาคมมีมากเกินไป โชควาสนาหนาหนักเกินไปก็เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจเหมือนกันนะ”
แมวดำยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาเลียฝ่าเท้าเบาๆ อย่างอ่อนโยน
หม่าขู่เสวียนเอนตัวนอนหงายไปด้านหลัง แมวดำกระโดดผลุงขึ้น พอหม่าขู่เสวียนนอนลงแล้ว มันก็พลิ้วกายลงบนหน้าอกของเขาพอดี แล้วขดตัวนอนหลับฝันหวานอย่างสบายใจ
แมวดำคอยเปลี่ยนท่านอนที่สบายตัวอยู่เป็นระยะ
หม่าขู่เสวียนยกขาไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งลูบขนที่อ่อนนุ่มของแมวดำ นึกถึงถ้อยคำระคายหูและพวกคนที่ชอบประจบแอบอิงผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย หม่าขู่เสวียนก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย “พวกเจ้าไม่ชอบข้า แล้วเกี่ยวอะไรกันด้วย? ข้าเองก็ไม่ชอบพวกเจ้าเหมือนกันนี่นา”
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ตกอยู่ในสภาวะล่องลอยลี้ลับ
มีเพียงเสียงกรนเบาๆ ของหนึ่งคนหนึ่งแมว
เทวรูปร่างทองเหล่านั้นยังคงยืนเรียงราย คล้ายกำลังปกป้องจักรพรรดิที่อยู่สูงส่งเหนือหัวอย่างจงรักภักดี เป็นอย่างนี้มาปีแล้วปีเล่า นานนับพันปีหมื่นปี
……
โจวจวี่นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษากวานหูไม่ได้ติดตามอริยะผู้เป็นอาจารย์ของตนไปพบเทียนจวินลัทธิเต๋าจากกุรุทวีปท่านนั้นด้วย
เขากลัวว่าตัวเองจะอดใจไม่ไหวพูดจาไม่ยำเกรงเจ้าคนที่ชื่อเซี่ยสือผู้นั้น แบบนั้นมีแต่จะทำให้อาจารย์ของตนลำบากใจ
อาจารย์ออกไปจากสำนักศึกษาต้องเอาชนะเทียนจวินเซี่ยสือไม่ได้อย่างแน่นอน แล้วก็ไม่สามารถมองเห็นตนถูกเซี่ยสือตบตายด้วยฝ่ามือเดียว จะให้เขาเอ่ยขอโทษคนนอกแทนลูกศิษย์ตัวเองน่ะหรือ?
ดังนั้นโจวจวี่จึงมายังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากตำแหน่งที่เรือคุนภูเขาต่าเจี้ยวร่วงลงมา
จากที่ระบุไว้ในบันทึก ปราณกระบี่ที่ทะยานขึ้นฟ้าพุ่งมาจากตำแหน่งนี้ พวกมันโจมตีเรือคุนที่เดินทางลงใต้ไปยังนครมังกรเฒ่าลำนั้น คนบาดเจ็บและล้มตายกันไปมาก ผู้โดยสารที่ขอบเขตต่ำกว่าห้าขอบเขตกลางแทบจะไม่มีใครที่โชคดีรอดชีวิต
โจวจวี่ตามหาอยู่บนภูเขาก็ไม่พบเบาะแส ไม่มีร่องรอยใดเหลืออยู่แม้แต่น้อย และนี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
เพราะหายนะครั้งนี้ ขนาดคนตาบอดยังมองออกว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังวางแผนมาเป็นอย่างดี เพื่อยัดเยียดความผิดให้กับราชวงศ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งซึ่งมีศักยภาพมากที่สุดของแจกันสมบัติทวีป
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่โจวจวี่ไม่เข้าใจ ผู้นำลัทธิเต๋าของกุรุทวีปที่ยิ่งใหญ่ เหตุใดถึงเต็มใจลดตัวเข้ามาเหยียบในน้ำขุ่นบ่อนี้? ถึงขั้นยอม ‘ประจัญหน้า’ กับสำนักกวานหูโดยไม่เสียดาย? หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไป มีความเป็นไปได้มากว่าเทียนจวินเซี่ยสือจะกลายเป็นศัตรูที่มีร่วมกันของผู้ฝึกลมปราณทั้งหมดในแจกันสมบัติทวีป
หรือเซี่ยสือคิดว่าตัวเองคือลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าจริงๆ?
โจวจวี่ไม่คิดว่าสกุลซ่งต้าหลีจะเชื้อเชิญเทียนจวินจากทวีปอื่นมาได้
โจวจวี่ที่หลายวันมานี้นอนกลางดินกินกลางทรายตัดสินใจลงจากภูเขาแล้ว
อาจารย์เคยพูดให้ฟังว่าช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ สถานที่สามแห่งอย่างนาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปมีสมบัติอาคมไร้เจ้าของที่หายสาบสูบไปนานปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมาก ถึงขั้นมีอาวุธกึ่งเซียนหลายชิ้นปะปนอยู่ด้วย ก่อให้เกิดความครึกโครมครั้งใหญ่ ผู้ฝึกตนอิสระจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันไปเยือน ตระกูลเซียนและตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่มีรากฐานลึกล้ำก็ยิ่งไม่พลาดโอกาสยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ชั่วพริบตาปลาและมังกรก็ปะปนกัน หมาป่าและหมาในจับคู่เป็นสหาย (เปรียบเปรยถึงคนดีและคนเลวปะปนกัน และคนชั่วที่สมคบคิดกันทำชั่ว)
โจวจวี่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้
และเขาก็ยิ่งไม่สนใจวิถีทางโลกในอนาคต
เพราะโชคชะตาถูกกำหนดมาแล้วว่า บัณฑิตที่คิดจะเล่าเรียนหนังสืออย่างสงบสุขจะยิ่งเป็นเรื่องยาก
แบบนี้ไม่ดีเลย
โจวจวี่เงยหน้าขึ้นมองทิศไกลบนท้องฟ้าสูง
ข้าโจวจวี่ โจวจวี่หรันนักปราชญ์ตัวเล็กๆ ของสำนักศึกษากวานหูยังพบเบาะแส แล้วพวกเจ้าที่มีตำแหน่งสูงส่งยิ่งกว่าอาจารย์ของข้าเล่า?
โจวจวี่ลงจากภูเขาอย่างเซื่องซึม เดี๋ยวก็ทะยานลม เดี๋ยวก็เดินเท้าไปอย่างเกียจคร้าน สุดท้ายไปถึงตลาดที่ครึกครื้นแห่งหนึ่ง ดื่มน้ำแกงต้มยำร้อนกรุ่นหนึ่งชาม
โจวจวี่พลันคลี่ยิ้ม เรื่องหงุดหงิดใจใดๆ ล้วนหายไปสิ้น
แม่ค้าสาวแผงลอยที่อยู่ในวัยกำลังเจริญพันธ์ แม้ว่าผิวจะคล้ำเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับเปล่งปลั่งแข็งแรง นางแอบชำเลืองตามองโจวจวี่อยู่หลายครั้ง
ที่บ้านเกิดนางมีบัณฑิตไม่มาก บัณฑิตที่หน้าตาดีแบบนี้ก็ยิ่งมีน้อย
นางรู้สึกว่ามองได้นานหน่อยก็ถือเป็นเรื่องดี
ดังนั้นโจวจวี่จึงดื่มน้ำแกงเพิ่มอีกชาม
—–