กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 287.2 นั่งตรงข้ามมองกัน ตนรู้ตนเอง
ตอนนั้นเฉินผิงอันพูดถึงหลักการของปลายไม้บรรทัดสองข้าง
เขาคิดว่าหลักการของคนพายเรือสุดโต่งเกินไป มองดูเหมือนมีเหตุผล แต่อันที่จริงกลับไร้เหตุผล
เพราะมันไม่สมบูรณ์แบบมากพอ ไม่ใช่ ‘การยึดทางสายกลาง’ อย่างที่กล่าวไว้ในหนังสือ
และรากฐานของลัทธิเต๋าก็คือสี่คำว่าวิถีเต๋าคือวิถีธรรมชาติ
ดังนั้นการอ่านหนังสือในค่ำคืนนั้น เฉินผิงอันยังพอจะจำได้อย่างเลือนรางว่ามีคนกล่าวว่า หลักการของลัทธิพุทธ ไม่ได้อยู่ที่จุดสูง ไม่ได้อยู่ที่ว่ามันสูงมากแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเหตุผลนั้นมีความเป็นจริงหรือไม่
คนผู้นั้นถึงขั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า ปรมาจารย์มหาปราชญ์ของลัทธิพุทธเรามีความรู้ลึกล้ำกว้างไกลถึงเพียงนั้น ทว่าหลังจากการถามตอบในครั้งหนึ่งกลับมาพูดทอดถอนใจซึ่งแฝงไว้ด้วยความละอายที่ตัวเองสู้ไม่ได้กับลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นการส่วนตัวว่า มรรคาของคนบางคนสูงจริงๆ แต่ว่า…
น่าเสียดายก็แต่เนื้อหาหลังจากคำว่า ‘แต่ว่า’ เฉินผิงอันกลับจำไม่ได้แล้ว จำไม่ได้แม้แต่คำเดียว อาจเป็นเพราะคนผู้นั้น หรือไม่ก็ในหนังสือเล่มนั้นไม่ได้กล่าวไว้
วันนี้ที่เฉินผิงอันเอ่ยถาม แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการถามลู่ไถ เฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมากมายถึงเพียงนั้น
นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันฝึกหมัดและเริ่มเรียนหนังสือเป็นต้นมา
เขาจะไม่เคยคิดถึงอนาคตของตัวเองมาก่อนเลยจริงๆ หรือ?
แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาเคยมีสัญญาหกสิบปีกับพี่สาวเทพเซียนวิญญาณกระบี่ และตอนนี้ก็มีสัญญาสิบปีกับหนิงเหยา
‘การท่องไปบนภูเขาเที่ยวไปตามลำน้ำ’ ทั้งสองครั้งของเฉินผิงอัน จากแรกเริ่มสุดที่บอกว่า ‘หมัดนี้ของข้าต้องเร็วที่สุด’ ก็กลายมาเป็นว่า ‘หมัดนี้ของข้าต้องเร็วมากกว่าเดิม แต่ก็ต้องมีเหตุผลที่สุดด้วย’
หนึ่งในประโยคที่มีน้ำหนักที่สุดของเฉินผิงอัน ตอนนั้นคนที่ฟังประโยคนี้อาจจะไม่ได้ใส่ใจ นั่นคือตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด เขาพูดกับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูว่า “หากข้าทำผิดตรงไหน เจ้าต้องบอกข้าด้วยนะ”
เส้นทางหัวใจของเฉินผิงอัน ไม่ว่าตอนหลังผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วจะปล่อยหมัดต่อยลงมาบนร่างและจิตวิญญาณของเขามากน้อยเท่าไหร่ แต่เฉินผิงอันก็ยังคงสงสัยตัวเองอยู่ตลอดเวลา
แต่นี่คือก้าวที่เขาจำเป็นต้องก้าวออกไป
และก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็ได้เปิดเผยสภาพจิตใจ หรือควรจะเรียกว่าความรู้สึกแท้จริงซึ่งเป็นดั่งภาพมายาจับต้องไม่ได้ออกมาด้วยประโยคที่ไม่ตั้งใจเพียงประโยคเดียว นั่นคือตอนที่พูดกับพ่อแม่ของหนิงเหยาบนภูเขาห้อยหัว
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเฉินผิงอันปฏิเสธตัวเองมาโดยตลอด
“เป็นเพราะข้าทำได้ไม่ดีพอ”
ทำได้ไม่ดีพอก็คือทำผิด
บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่เข้มงวดกับตัวเองเช่นนี้?
แต่สภาพจิตใจเช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ เป็นเพราะเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตถูกทุบแตก รวมไปถึงความลำบากยากเข็ญมากมายที่ต้องเผชิญหลังจากนั้น โอกาสและความบังเอิญทั้งหลายแหล่ล้วนบีบบังคับให้เฉินผิงอันต้องสร้างสภาพจิตใจที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจและหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากทำสำเร็จจะรวบรวมขึ้นเป็นภาพมหัศจรรย์ที่ตะวันจันทราลอยเด่นบนนภาจนกลุ่มดวงดาวหม่นแสง
หากทำไม่สำเร็จก็คงต้องผิดคำสัญญา ผิดหวังในหลายๆ เรื่อง
คนคนหนึ่งหากไม่มีอะไรให้กินย่อมหิวตาย แต่หากพื้นที่ในหัวใจแห้งขอดก็ต้องตายอีกเหมือนกัน แค่ไม่รู้ตัวก็เท่านั้น วันนี้ไม่ตาย วันหน้าก็ต้องตายอยู่ดี
ดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ เผชิญกับความทุกข์ยากและสิ้นหวัง ลุกผงาดขึ้นอย่างเคียดแค้น มุมานะในการพัฒนาตน
แต่กลับดิ้นรนสู่ความตายอย่างเงียบเชียบ กินดื่มสำเริงสำราญ ไม่รู้จักควบคุมตน เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาดุจม้าพยศแล่นเตลิด ข้อเสียต่างๆ นานาก็คือความประหลาดของหัวใจคน
ใจคนซับซ้อน จนแม้แต่อริยะและเซียนก็ยังไม่กล้าบอกว่าตัวเองมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
เหตุใดตอนอยู่เมืองเล็กชุยฉานถึงพ่ายแพ้ นี่ก็คือตัวอย่าง
เมื่อไล่ตามเส้นทางแห่งใจเส้นนี้ไป สภาพจิตใจของเฉินผิงอันจึงชัดเจนอย่างยิ่ง เกือบจะทำให้หลิวเสี้ยนหยางต้องตาย คือความผิดของข้าเฉินผิงอัน ดังนั้นหากข้าตายก็ตายไปเถอะ ได้พูดเหตุผลหลักการของตัวเองที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจฟังจนจบก็ถือว่าปัญหาทุกอย่างจบสิ้นกันแล้ว
ก่อนที่กะเทยในเตาเผามังกรคนนั้นจะตาย เฉินผิงอันไม่ได้รับปากชายคนนั้นว่าจะช่วยเก็บตลับชาดให้
เฉินผิงอันก็ยังคงรู้สึกอยู่ดีว่าเป็น ‘ความผิด’ ของตัวเอง
และคำสรุปแบบตอกปิดฝาโลงที่ผู้คนพากันพูดก่อนกะเทยคนนั้นจะตาย บอกว่าเฉินผิงอันเจ้าคือคนดี เฉินผิงอันก็ยังคงมองข้ามมันไปโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว
ฉีจิ้งชุนเต็มใจคารวะเฉินผิงอันในตรอกเล็ก แต่เฉินผิงอันก็ยังจำได้แค่สิ่งที่วิญญาณกระบี่กล่าวไว้ว่า ‘อาจารย์ฉีกำลังเดิมพัน เดิมพันจากส่วนหนึ่งในหมื่นนั้น’ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดอาจารย์ฉีถึงเชื่อว่าเขาจะไม่ผิดหวังต่อโลกใบนี้ เฉินผิงอันกลับไม่เคยคิดถึงมาก่อน
เมื่อคนคนหนึ่งรู้จักโลกใบนี้อย่างแท้จริง เคยเห็นภูเขาใหญ่ที่สูงเสียดแทงชั้นเมฆ เคยเห็นสายน้ำไหลคดเคี้ยวหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เห็นภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทัดเทียม หรือถึงขั้นเคยเห็นท่วงทำนองของเหล่าบัณฑิต เห็นชุดขุนนาง ที่ว่าการซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความน่าเกรงขามของหนึ่งแคว้น เห็นการเกิดแก่เจ็บตายอันเป็นความไม่เที่ยงของคนธรรมดา เคยเห็นกองทัพม้าเหล็กที่มองดูเหมือนจะห้าวหาญกร้าวแกร่ง แต่แท้จริงแล้วกลับเลือดเย็นอำมหิต เห็นอดีตสหายที่กลายไปเป็นคนแปลกหน้า ยิ่งเดินยิ่งห่างไกลโดยที่ทำอะไรไม่ได้ เห็นบิดามารดาค่อยๆ แก่ชราแล้วจากไป โดยที่เจ้าไม่อาจเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้เลย…
ดังนั้นในบางเวลาคนคนหนึ่งก็อาจจะรู้สึกขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า ตัวเองช่างเล็กจ้อยเหลือเกิน
ความรู้สึกเช่นนี้น่าจะเรียกว่าความโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ความเศร้าโศกเสียใจ ยากที่ใครจะรู้สึกเห็นใจเหมือนได้เผชิญด้วยตัวเอง การแบ่งปันความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ชีวิตคนมีแต่การจากลาครั้งแล้วครั้งเล่า…
อันที่จริงสำหรับโลกใบนี้ เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หลิวเสี้ยนหยาง หลี่เป่าผิง กู้ช่านล้วนไม่มีทางเป็นเหมือนเฉินผิงอัน
กู้ช่านคิดแต่จะแก้แค้น
หลี่เป่าผิงรู้สึกว่าฟ้าดินมีแต่เรื่องน่าสนใจ จมจ่อมอยู่ในโลกของใจตนที่เต็มไปด้วยสีสัน แทบไม่เคยสงสัยตัวเอง และยิ่งไม่เคยปฏิเสธตัวเองง่ายๆ
ดังนั้นนางถึงได้เอ่ยประโยคที่ว่า ‘จะมีอาจารย์อาน้อยที่ไม่ชอบหลี่เป่าผิงได้อย่างไร?’
ส่วนหลิวเสี้ยนหยางก็พูดตามความต้องการของหัวใจว่า ข้าจะต้องได้เห็นภูเขาที่สูงกว่านี้และได้เห็นแม่น้ำที่ใหญ่กว่านี้ ข้าจะไม่มีทางแก่ตายอยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้แน่นอน!
แต่เฉินผิงอันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาอาจจะทำเรื่องอะไรมากมาย ยกตัวอย่างเช่นพาพวกหลี่เป่าผิงไปที่ต้าสุย แต่สภาพจิตใจและอารมณ์ของเฉินผิงอันจะถูกซ่อนเอาไว้
ความคิดและอารมณ์ส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันจะอยู่ในลักษณะที่ ‘ไม่เคลื่อนไหว’
เผาเครื่องปั้นอยู่ในเตาเผามังกรมานานหลายปี เด็กหนุ่มปรารถนาให้มือของตัวเองมั่นคงอยู่ตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นการแสวงหาจิตใจที่มั่นคงอย่างดึงดัน
ใจไม่มั่นคง เขาก็จะอิจฉาที่ซ่งจี๋ซินมีเงิน อิจฉาที่เขามีคนให้ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกัน อิจฉาที่เขาอ่านออกเขียนได้
อิจฉาหลิวเสี้ยนหยางที่เรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็ว ไม่ว่าเรื่องใดแค่ลงมือก็ทำได้อย่างคล่องแคล่ว ยังจะต้องรังเกียจและดูแคลนกะเทยคนนั้น และตอนที่ตามหาตัวเขาพบบนภูเขาครั้งแรกก็จะไม่มีทางชี้บอกเส้นทางให้กะเทยคนนั้นหนีไป กลับกันคือจะเอาความลับนี้ไปบอกผู้เฒ่าเหยาโดยตรง
แต่เรื่องราวมีดีมีร้าย เมื่อใจมั่นคงแล้ว เลือกเส้นทางสุดโต่ง ก็จะ ‘ตาย’ ง่ายเหมือนอย่างที่ลู่ไถพูด ซึ่งอันที่จริงนี่ก็คือการ ‘แกล้งตาย’ ของลัทธิเต๋า
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมหร่วนฉงที่แม้จะไม่มีอคติต่อเฉินผิงอัน แต่ก็ยังไม่เคยเห็นเฉินผิงอันเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน และไม่ยินดีรับเขาเป็นลูกศิษย์
และนี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมลู่ไถถึงคิดว่าเฉินผิงอันไม่มีไหวพริบมากพอ
ดังนั้นสภาพจิตใจของเฉินผิงอันที่วิญญาณกระบี่เห็นในตอนนั้นจึงเป็นภาพของเด็กน้อยสวมรองเท้าสานที่นั่งเฝ้าสุสานและภูเขา
‘ความเคลื่อนไหว’ เพียงหนึ่งเดียวก็คือตอนที่ไล่ตามเงาร่างของใครบางคนไปทางทิศใต้
เงาร่างนั้น แท้จริงแล้วก็คือหนิงเหยาที่ขี่กระบี่จากไป
ดังนั้นเมื่อเทียบกับความหวาดกลัวเหมือนเดินอยู่บนพื้นน้ำแข็งบางๆ ตอนที่เดินทางไปต้าสุยแล้ว ภายหลังที่เฉินผิงอันเลือกนำกระบี่ไปส่งให้แม่นางที่ตัวเองรักจึงมีความสมัครใจเพิ่มขึ้นมา
‘เพราะข้าอยากจะท่องไปในยุทธภพ’
ข้าเฉินผิงอันอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อตัวเอง
ดังนั้นต่อให้จะอิจฉาฟ่านเอ้อร์แห่งนครมังกรเฒ่า ต่อให้ไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว บนบ่าของเฉินผิงอันจะมีภาระเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง แต่สภาพจิตใจของเฉินผิงอันกลับผ่อนคลายยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนรองเท้าที่สวมใส่ เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมตัวยาว เพราะคิดอยากเป็นเซียนกระบี่ อีกทั้งยังต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ที่สามารถสลักตัวอักษรไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ด้วย
จากคนที่กล้าซื้อภูเขาห้าลูกก็รีบปล่อยให้คนอื่นเช่าสามลูก หวังจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองยกให้หลิวเสี้ยนหยางที่ต้องไปจากบ้านเกิด ตั้งแต่เข้าฤดูใบไม้ผลิไปถึงช่วงท้ายฤดูใบไม้ผลิก็มอบหินดีงูชั้นเยี่ยมเกือบครึ่งให้กับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู…จาก ‘คนคนหนึ่งที่ในเมื่อข้ารั้งไว้ไม่อยู่ ก็ควรรีบมอบให้กับคนที่ตัวเองห่วงใย’ คนที่ก่อนจะเดินไปทางต้าสุยก็รีบฝากฝังธุระหลังตายกับหร่วนฉง หวังว่าหลังจากตนตายไปแล้วจะมอบภูเขาให้กับใครๆๆ บ้าง เรียกว่ามีชีวิตแต่คิดตาย มีชีวิตอยู่ด้วยความเศร้ารันทดอย่างถึงขีดสุด จนมาถึงวันนี้ เฉินผิงอันได้เปลี่ยนไปราวพลิกฟ้าพลิกดินแล้ว
ทั้งหมดนี้ ได้มาไม่ง่ายเลย
ทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งเมาเหล้าถึงได้ตบศีรษะเฉินผิงอันแล้วบอกว่าเด็กหนุ่มต้องดื่มเหล้า อย่าคิดเรื่องที่หนักหนาให้มากเกินไปนัก
นั่นเป็นเพราะผู้เฒ่ามองปราดเดียวก็เห็นถึงปัญหาในใจเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มไม่ควรเป็นเช่นนี้ เมื่อสงบนิ่งถึงขีดสุดแล้วควรมีการเปลี่ยนแปลง ได้เวลาปลดภาระบนบ่าลง ทำเรื่องงดงามที่เด็กหนุ่มผู้ผ่อนคลายควรทำ
เพียงแต่ว่าหลักการบนโลกใบนี้ เคยได้ยินหรือไม่ รู้หรือไม่ เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนจะทำหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลักการในหนังสือและนอกหนังสือ จะนำมาปฏิบัติจริงได้อย่างไร ยากแสนยาก
เฉินผิงอันดื่มชาอึกแล้วอึกเล่า ก่อนหน้าที่ลู่ไถจะบอกคำตอบของตน เฉินผิงอันพลันกล่าวขึ้นว่า “ต่อให้ข้าจะไม่สนิทกับเจ้า แม้ว่าจะให้เจ้ายืมเงินครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่เต็มใจจะคบค้าสมาคมกับเจ้า ยิ่งไม่เต็มใจไปที่ดินแดนสู่เซียนกับเจ้า อันที่จริงเหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะข้ากลัวตาย”
เผชิญหน้ากับไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัวและวานรย้ายภูเขาที่บ้านเกิด เฉินผิงอันคิดว่านั่นเท่ากับตัวเองตายไปแล้วครั้งหนึ่ง
ตอนอยู่ร่องน้ำเจียวหลงคือครั้งที่สอง
เรื่องเดียวไม่ทำซ้ำเกินสามครั้ง
เฉินผิงอันค่อยๆ วางถ้วยชาที่ดื่มหมดแล้วลง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ของดีที่อาศัยโชคช่วยนั้น ข้าไม่เคยคว้าไว้ได้อยู่มือ”
เฉินผิงอันพูดเหมือนคุยกับตัวเอง “เมื่อครู่ข้าคิดดูแล้ว รู้สึกว่าเมื่อก่อนข้าอาจจะทำถูก แต่หากตอนนี้ยังทำตัวแบบเดิมก็อาจจะผิดแล้วล่ะ หากอยากให้ในการฝึกตนในอนาคต ตัวเองเดินไปได้ไกลกว่าเดิม ก็ต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลง”
ลู่ไถมีสีหน้าประหลาด แต่ก็ยังมีความเคร่งเครียดอยู่หลายส่วน
อันที่จริงเมื่อครู่นี้เขาแอบใช้วิชาลับพิศจิตใจของสกุลลู่ที่สืบทอดมาอย่างลับๆ ลอบดูสภาพจิตใจของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยกถ้วยชาขึ้น “ขออีกถ้วยได้ไหม?”
ลู่ไถพูดเสียงขุ่น “เจ้าคิดว่านี่คือการดื่มเหล้าหรือไง?”
แต่ก็ยังเติมน้ำชาให้เฉินผิงอันอีกถ้วย
เฉินผิงอันกล่าวต่อว่า “แต่การที่ข้าไม่ได้ติดตามเจ้าไปยังดินแดนสู่เซียน ข้าคิดว่าตัดสินใจถูกแล้ว เพราะหากข้าเข้าไปพร้อมกับเจ้า ไม่แน่ว่าอาจทำให้เจ้าไม่ได้เงินสักแดงเดียว ตอนนี้เจ้าได้เงินก้อนใหญ่ ข้าได้เงินฝนธัญพืชสามเหรียญ ดีมากแล้ว”
ตัวลู่ไถเองไม่ดื่มชามาพักใหญ่แล้ว เขาเอาสองมือวางบนเข่า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “สองเหรียญเจ้าให้ข้ายืม อันที่จริงเจ้าได้เพิ่มมาแค่เหรียญเดียว”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้ารู้สึกว่าสามเหรียญ”
ลู่ไถไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
แสดงว่าไอ้หมอนี่คิดว่าตนจะไม่มีทางคืนเงินที่ยืมไปใช่ไหม?
เฉินผิงอันดื่มชาที่เขาดื่มไม่รู้รสชาติแท้จริงแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ต้องเหลือไว้สักหน่อย พลาดแล้วก็คือพลาด จะหวังให้ตัวเองได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยในทุกเรื่องไม่ได้ ลู่ไถ เจ้าคิดว่าไง?”
ลู่ไถอึ้งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะร่าเสียงดัง “เฉินผิงอัน ไม่นึกว่าเจ้าก็คือคนคนนั้นที่หลบซ่อนตัวอยู่!”
เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งถ้วยพร้อมความรู้สึกมึนงง
แล้วใบหน้าของลู่ไถก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาโน้มตัวไปด้านหน้า แย่งถ้วยชามาจากมือเฉินผิงอัน โบกชายแขนเสื้อเก็บอุปกรณ์ชงชาทั้งหมดไป ลุกขึ้นยืนแล้วถลึงตาใส่เฉินผิงอันอย่างโมโหไม่หาย “ขึ้นดาดฟ้าพิศมรรคา ใครกันแน่ที่พิศมรรคา ใครกันแน่ที่เป็นใบถงแต่งตั้งโหว เจ้ารู้หมดแล้ว ข้าก็แค่โหวตัวเล็กๆ ที่ได้รับแต่งตั้งจากใบถง จะนับเป็นอะไรได้! ขาดทุนข้าจริงๆ!”
ลู่ไถเดินขึ้นเรือนไปด้วยความโมโห กระแทกเท้าที่เหยียบขั้นบันไดจนเกิดเสียงดังตึงตัง
เฉินผิงอันเกาหัวอย่างมึนงง รู้สึกเหมือนพระสูงสองจั้งมิอาจคลำศีรษะท่าน (เปรียบเปรยว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น)
ช่วงเวลาที่ยาวนานมากหลังจากนั้น เฉินผิงอันค่อนข้างอนาถ เพราะลู่ไถกลับไปสวมชุดผู้หญิงอีกครั้ง ไม่เพียงแต่แต่งองค์ทรงเครื่องฉูดฉาดหรูหรา ยังทำตัวสะดีดสะดิ้งกรีดกราย ทุกวันจะต้องลงมาที่ชั้นหนึ่งแกล้งให้เฉินผิงอันขนลุกขนพองเล่น
ต่อให้เฉินผิงอันจะนิสัยดีแค่ไหนก็ทนรับกลิ่นเครื่องประทินโฉมที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโบกลงไปกี่ชั้น ทนรับท่าจีบนิ้ว รวมไปถึงท่ายักคิ้วชม้อยชม้ายชายตาและน้ำเสียงอ่อนหวานออดอ้อนแบบนั้นไม่ไหว ดังนั้นตอนเช้าของวันหนึ่งที่ลู่ไถนั่งฮัมเพลงอยู่บนรั้วระเบียง เฉินผิงอันจึงปล่อยหมัดต่อยให้ลู่ไถร่วงตกลงไปในทะเลสาบน้ำมรกต
ลู่ไถพุ่งออกมาจากน้ำด้วยความเกรี้ยวกราด เขาที่มีสภาพเหมือนไก่ตกน้ำต้องข่มกลั้นอารมณ์สุดความสามารถที่จะไม่เอาเจินเจียนและม่ายกวางกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มออกมาทิ่มแทงเฉินผิงอันให้ตาย สุดท้ายไม่ได้ลงมือ แค่แผดเสียงด่าทอเฉินผิงอัน บอกว่าเจ้าปฏิบัติต่อผู้ถ่ายทอดมรรคาครึ่งหนึ่งของตัวเองแบบนี้น่ะหรือ?! เจ้าเฉินผิงอันยังมีมโนธรรมเหลืออยู่บ้างหรือไม่?
แต่ว่าตอนที่พูดถึงผู้ถ่ายทอดมรรคา เห็นได้ชัดว่าลู่ไถพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก แต่ตอนด่าเฉินผิงอันว่าไม่มีมโนธรรมกลับมั่นใจยิ่ง
หลังจากนั้นมาลู่ไถก็ไม่สนใจเฉินผิงอันอีก
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ตอนที่ปลาวาฬกลืนสมบัติลำนี้ไปถึงท่าเรือสำนักฝูจีของใบถงทวีปเป็นช่วงฟ้าสางพอดี เฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนชั้นสามเพื่อเตือนลู่ไถว่าสามารถลงจากเรือได้แล้ว
แต่บนชั้นสามกลับว่างเปล่า
เฉินผิงอันไม่ได้คิดมาก แค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนประหลาดจริงๆ
เขาออกจากปลาวาฬกลืนสมบัติที่อยู่ใต้ทะเลขึ้นไปบนแผ่นดินของใบถงทวีปเพียงลำพัง
เฉินผิงอันที่เดินอยู่บนท่าเรือกระทืบเท้าเบาๆ
ก็เหมือนปีนั้นที่เดินจากตรอกหนีผิงเข้าไปยังถนนฝูลวี่ครั้งแรก จากถนนดินเหนียวเดินไปบนถนนที่ปูกระเบื้องหิน เต็มไปด้วยความรู้สึกที่สดใหม่
ไม่มีลู่ไถอยู่ข้างกาย เฉินผิงอันรู้สึกว่าดีมาก แม้ว่าจะคิดอย่างนี้ แต่ก็อดรู้สึกผิดต่อเจ้าหมอนั่นไม่ได้
และในขณะที่เฉินผิงอันก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่เบาสบายและผ่อนคลายนั้นเอง เขาก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยนั่งอยู่ข้างร้านแห่งหนึ่งตรงท่าเรือที่รุ่งเรือง เฉินผิงอันพลันแยกเขี้ยวทันที
ลู่ไถที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวสีเขียว คาดเข็มขัดหยกปักปิ่นกำลังนั่งยองกินซาลาเปาเนื้ออยู่ข้างถนน พอเห็นเฉินผิงอันก็หันไปมองสุนัขตัวหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายซึ่งมันกำลังมองลู่ไถตาปริบๆ
ลู่ไถจึงโยนซาลาเปาเนื้ออีกลูกหนึ่งในมือให้แก่สุนัขข้างทางตัวนั้น
เสร็จแล้วก็หันมายักคิ้วใส่เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเดินไปหา ลู่ไถยังแทะซาลาเปาเนื้อแป้งบางไส้เต็มแน่นพลางโคลงศีรษะ ท่าทางกวนโอ๊ยอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันก้มตัวลงลูบศีรษะสุนัขตัวนั้นก่อน จากนั้นก็ถีบลู่ไถหนึ่งที
—–