กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 288.2 เดินทางขึ้นเหนือ
บทที่ 288.2 เดินทางขึ้นเหนือ
โดย
ProjectZyphon
ลู่ไถเดินเข้าไปในร้านแรกก็ซื้อภูติน้อยสองตนที่เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อมาก่อน ตนหนึ่งมีชื่อว่าถงจื่อ (ลูกตาดำ) ตามการแนะนำที่แทบจะเรียกได้ว่าประจบสอพลอของเจ้าของร้าน เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าวัตถุชิ้นนี้สามารถนำมาเลี้ยงในลูกตาดำของเจ้าของได้ มันไม่เพียงแต่สามารถดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินจำนวนหนึ่งมาในทุกๆ วัน ที่สำคัญที่สุดคือทุกครั้งที่ถงจื่อมองเห็นโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมืองก็จะสามารถช่วยดวงตาของเจ้านายเห็น ‘แจ่มชัด’ มากขึ้น วัตถุชิ้นนี้จึงเป็นที่รักที่สุดของผู้ฝึกลมปราณหลายคนที่ฝึกวิชาประเภทดวงตาทิพย์
หลังจากลู่ไถจ่ายแปดร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะซื้อวัตถุชิ้นนี้ ก็บอกว่าจะมอบให้กับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันย่อมไม่มีทางรับไว้อยู่แล้ว ลู่ไถจึงส่ายหน้าด้วยความเสียดาย กล่าวว่าเจ้าไม่อยากให้สายตามีการพัฒนาในทุกๆ วันหรอกหรือ?
ความหมายในคำพูดก็คือ มีข้าลู่ไถอยู่ตรงหน้าเจ้า อีกทั้งในดวงตาเจ้ายังมีถงจื่อ นั่นก็ไม่เท่ากับว่ามองข้ายามใดก็ได้ฝึกตนยามนั้นหรอกหรือ
เถ้าแก่เฒ่ามองลู่ไถที่รูปโฉมหล่อเหลาไม่ธรรมดา แล้วค่อยหันมาชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ก่อนจะยิ้มมีเลศนัย
เฉินผิงอันขนลุกไปทั้งตัว แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เมื่อเทียบกับถงจื่อที่ลู่ไถซื้อมา อันที่จริงเจ้าตัวจิ๋วร่าเริงอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างถงจื่อในตอนนั้นกลับทำให้เฉินผิงอันหวั่นไหวได้มากกว่า พวกมันตัวเล็กเท่าเมล็ดข้าวสาร ถูกขนานนามว่า ‘เอ่อร์จื่อ’ (หู) เสียงใกล้เคียงกับคำว่า ‘เอ๋อร์จื่อ’ ที่แปลว่าลูกชาย คือภูติชนิดหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในหู ใช้แก้วหูคนเป็นดั่งหนังกลอง เวลาที่คนนอนหลับพวกมันจะตีกลองอย่างเงียบเชียบ แต่เจ้านายและคนที่อยู่ด้านข้างจะไม่มีทางได้ยิน ทว่ากลับช่วยให้ปราณหยางของเจ้านายแผ่กระจายออกไป เป็นการขับไล่สยบสิ่งชั่วร้ายจำนวนมากที่ออกมาป้วนเปี้ยนในยามราตรี
นี่คือภูติชนิดหนึ่งที่ตระกูลสูงศักดิ์ด้านล่างภูเขาต้องทุ่มเงินซื้อไว้หลังจากที่ ‘โดนผีหรือสิ่งชั่วร้ายเข้าสิง’ โดยไม่ทันระวัง
หากจำเป็นต้องเดินทางไปท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างจำนวนมากที่เนื่องจากขอบเขตต่ำต้อยจึงมักจะพกไปด้วยหนึ่งตัว
นอกจากถงจื่อ ลู่ไถยังซื้อแมงมุมตัวหนึ่งที่มีขนาดเท่าเล็บมือ หลากหลายสีสัน น่ารักมากเป็นพิเศษ แต่ชื่อของมันกลับมากพอจะทำให้เฉินผิงอันชื่นชอบอยู่ห่างๆ แมงมุมฝันวสันต์ มันชื่นชอบเก็บรวบรวมภาพความฝันค่ำคืนวสันต์ที่งดงามทั้งหลาย หลังจากที่คนนอนหลับไปแล้ว มันก็จะทอใยแมงมุมสีสันสดใสไว้เหนือศีรษะของเจ้าของ คนก็จะได้ดื่มด่ำกับราตรีวสันต์มีค่าเท่ากับทองพันชั่ง
ด้วยเหตุนี้แมงมุมฝันวสันต์จึงมักจะถูกสำนักและพรรคต่างๆ นำไปเป็นอุปกรณ์ในการขัดเกลาจิตแห่งมรรคาของลูกศิษย์ แล้วก็เป็นหนึ่งในสิ่งของที่ต้องมีของสำนักที่นิยมการเสพกามระหว่างชายหญิง
กรงเล็กแถวหนึ่งที่อยู่ใกล้กับแมงมุมฝันวสันต์ยังบรรจุแมงมุมในลักษณะเดียวกันเอาไว้อีกมากมาย ซึ่งรวมถึงแมงมุมฝันร้ายที่เป็นสีดำสนิทดุจหมึกด้วย ต่างฝ่ายต่างมีความอัศจรรย์แตกต่างกันไป
เฉินผิงอันย่อมชื่นชอบภูติประเภทนี้ไม่ลง
แต่ลู่ไถกลับชอบอย่างมาก จ่ายเงินเกล็ดหิมะไปหกร้อยเหรียญเพราะเขารู้สึกว่าแมงมุมฝันวสันต์น่ารักน่าเอ็นดู
ดังนั้นรอยยิ้มของเถ้าแก่ผู้เฒ่าจึงยิ่งลึกล้ำมากกว่าเดิม
ภายหลังลู่ไถทะเลาะกับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งเพื่อแย่งชิงภูติหายากตนหนึ่ง ครั้งนี้เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกว่าลู่ไถใช้เงินมือเติบ เพราะคิดว่าเงินร้อนน้อยสิบสองเหรียญนั้นคุ้มค่าที่จะจ่ายไป สุดท้ายการที่ลู่ไถเป็นฝ่ายได้มาครอบครองก็เพราะว่าบนร่างของฝั่งตรงข้ามที่แข่งราคากับเขาไม่มีเงินเทพเซียนมากพอ บวกกับที่ลู่ไถขึงขังเอาจริงเอาจัง ท่าทางของเขาราวกับจะบอกว่าเจ้าเต็มใจเพิ่มราคา ข้าก็พร้อมจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าให้ถึงที่สุดทำให้คนผู้นั้นออกจากร้านพลางสบถด่าเสียงขรมไปด้วย
ฝ่ามือของลู่ไถประคองสัตว์มันแพะตัวหนึ่งที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุด มันกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนฝ่ามือของเขา ผิวตลอดทั้งร่างของเจ้าตัวน้อยเป็นเนื้อหยกเพราะเกิดจากการรวมตัวกันของแก่นวิญญาณหินหยก เรือนกายของมันคือวัสดุวิเศษชั้นเยี่ยม คือหนึ่งในวัสดุที่ดีที่สุดในการนำมาทำเป็นยันต์ป้ายหยก แต่สัตว์มันแพะมีนิสัยดุร้าย หลังจากเติบโตเต็มวัย หากถูกคนจับได้ก็เลือกที่จะฆ่าตัวตาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจนำมาเลี้ยงได้
แต่เจ้าตัวที่อยู่ใจกลางฝ่ามือของลู่ไถตัวนี้เป็นเพราะตอนที่ถูกผู้ฝึกตนจับได้โดยบังเอิญอายุยังน้อยมาก ถึงไม่ได้ ‘ยอมพินาศวอดวาย’ จึงมีชีวิตรอดอยู่มาจนวันนี้ ขอแค่เลี้ยงดูอย่างเหมาะสมก็อาจจะกลายมาเป็น ‘สมบัติวิเศษมีชีวิต’ ที่มีมูลค่ามากควรเมือง แต่ข้อเสียอย่างเดียวก็คือการเลี้ยงดูสัตว์มันแพะสิ้นเปลืองยิ่งกว่าการจ่ายเงินซื้อมันมาเสียอีก เพราะมันกินเงินเกล็ดหิมะเป็นอาหาร
เถ้าแก่ร้านคือสตรีแต่งงานแล้วที่หน้าตาธรรมดา นางอธิบายด้วยรอยยิ้มว่าหากไม่ใช่เพราะสำนักฝูจีมีสัตว์มันแพะอยู่คู่หนึ่งแล้ว เกรงว่าของดีๆ เช่นนี้คงถูกคนทุ่มเงินมหาศาลซื้อไปตั้งแต่วันที่เอามาวางขายแล้ว
คนทั้งสองเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนน เข้าร้านโน้นออกร้านนี้
อันที่จริงเฉินผิงอันก็ถูกใจของสามอย่าง เพียงแต่ยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ เพราะตัดใจทุ่มเงินก้อนใหญ่ไม่ลง
หนึ่งคือคางคกทองสามขา ถือเป็นหนึ่งในสัตว์วิเศษของฟ้าดิน ว่ากันว่าผู้ที่ได้ครอบครองมันสามารถเพิ่มโชคชะตาด้านโชคลาภให้กับตัวเองได้
หนูหาสมบัติสีเงินตัวหนึ่ง มันมีประสาทสัมผัสที่เฉียบไวต่อวัตถุวิเศษในฟ้าดิน
และยังมีเจ้าตัวน้อยอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า ‘แมลงสุรา’ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาจากในสุราหมักเลิศรสเท่านั้น หากเอามันใส่เข้าไปไว้ในเหล้าที่หมักใหม่ ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วยามก็สามารถทำให้เหล้านั้นเกิดรสชาติเหมือนเหล้าหมักที่ถูกฝังไว้นานหลายปี แน่นอนว่าย่อมเป็นของรักของพวกคนที่ชื่นชอบดื่มสุราทุกคนบนโลก
เฉินผิงอันไม่ได้ใช้เงิน แต่ลู่ไถยังคงจ่ายเงินไม่หยุด เขาซื้อปลาหลีหนวดมังกรที่ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ รูปร่างเหมือนปลาหลี แต่กลับมีหนวดสองเส้นเหมือนหนวดของเจียวหลง หนวดของมันก็คือหนึ่งในวัตถุดิบวิเศษของฟ้าดิน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับหนวดเจียวหลงสีทองสองเส้นที่เฉินผิงอันเอามาทำเป็นเชือกพันธนาการปีศาจแล้ว ระดับขั้นย่อมด้อยกว่ามาก แต่ปลาหลีหนวดมังกรประเภทนี้มีข้อได้เปรียบด้านการแพร่พันธ์ที่รวดเดียว ลองจินตนาการดู สำนักเซียนแห่งหนึ่งซื้อมาไว้หลายตัว ตั้งใจเลี้ยงดูอย่างดี หนึ่งร้อยหนึ่งพันปีให้หลัง นั่นก็เท่ากับปลาหลีหนวดมังกรทั้งบ่อ
ลู่ไถยังซื้อปลาวัวคำรามมาหนึ่งตัว ความยาวของร่างมันไม่เกินนิ้วมือคน แต่กลับสามารถแผดเสียงคำรามดุจเสียงฟ้าผ่าได้
เฉินผิงอันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าลู่ไถซื้อมันมาทำไม เอาไว้ข่มขู่คนงั้นรึ?
สุดท้ายเฉินผิงอันยังได้เห็นคนกระดาษยันต์กลุ่มหนึ่งในร้านที่ตั้งอยู่สุดปลายถนน ราคาแตกต่างกันออกไป ตัดเป็นรูปร่างที่ไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่แบ่งเป็นสามประเภทตามความสูง ความสูงระดับหนึ่งนิ้ว ความสูงระดับหนึ่งฝ่ามือและความสูงระดับหนึ่งแขน มีชีวิตชีวาเหมือนจริง สามารถปัดกวาดบ้านเรือน เลี้ยงดอกไม้เลี้ยงนก ช่วยยกหนังสือ เอาหนังสือมาตากแดด เป็นต้น
คนกระดาษค่อนข้างได้รับความนิยมในโลกมนุษย์ โดยเฉพาะในตระกูลของเศรษฐีร่ำรวย มันเองก็มีการแบ่งระดับขั้น ตบะ ชื่อเสียง พรรคของผู้ที่วาดยันต์มีส่วนในการตัดสินราคาคนกระดาษอย่างมาก วัสดุของกระดาษก็มีความเกี่ยวข้องเช่นกัน มีสำนักและธุรกิจในนามที่สร้างคนกระดาษขึ้นโดยเฉพาะซึ่งได้กำไรมหาศาล
เฉินผิงอันชอบมองคนกระดาษน้อยที่น่ารักเหล่านี้ก็จริง แต่ไม่มีทางซื้อพวกมันมาเด็ดขาด
เพราะว่าแพง อีกทั้งยังไม่คุ้ม ซื้อมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าของดีราคาถูกเลยแม้แต่น้อย
ลู่ไถกลับซื้อคนกระดาษจิ๋วมาปึกใหญ่ ล้วนเป็นชนิดที่ตัวเตี้ยที่สุด ลู่ไถที่จ่ายเงินไปห้าร้อยเหรียญเกล็ดหิมะบอกว่าเวลาเบื่อๆ ก็ให้พวกมันมาแสดงการต่อสู้ให้ดูบนโต๊ะ แบบนั้นต้องแก้เบื่อได้แน่นอน…
สำหรับเรื่องการจ่ายเงินนี้ เฉินผิงอันหมดคำพูดจะคุยกับลู่ไถ
เดินขึ้นไปบนทางภูเขาเหนือถนนเรียกสวรรค์อีกสามสี่ลี้มีศาลหยุดเท้าอยู่หลังหนึ่ง ความหมายก็คือให้ทุกคนที่ไม่ใช่คนของสำนักฝูจีหยุดเท้าเพียงเท่านี้ ไม่อาจขึ้นเขาไปได้อีก
เฉินผิงอันกับลู่ไถที่ซื้อของกลับมาเต็มไม้เต็มมือเดินเข้าไปในศาลาหยุดเท้าด้วยกัน ตลอดทางที่เดินมาเฉินผิงอันอดเหลือบมองลู่ไถหลายครั้งไม่ได้ เขาสงสัยมากว่าอีกฝ่ายเอาภูติประหลาดพวกนั้นไปซ่อนไว้ที่ไหน ลู่ไถมีวัตถุฟางชุ่นก็จริง เอากระดาษยันต์ซ่อนไว้ข้างในได้ แต่สิ่งมีชีวิตที่มีปราณหยางอย่างภูติประหลาดเหล่านั้นกลับไม่สามารถเอาใส่ไว้ข้างในได้เด็ดขาด เพราะหากเอาไปไว้ข้างในจะระเบิด หรืออาจเดือดร้อนให้ของอื่นๆ วัตถุฟางชุ่นระเบิดเสียหายตามไปด้วย
พักอยู่ในศาลาครู่หนึ่ง กวาดตามองทัศนียภาพยามค่ำคืนรอบด้านสำนักฝูจีอยู่ไกลๆ จากนั้นคนทั้งสองก็กลับไปบริเวณใกล้เคียงกับถนนเรียกสวรรค์เพื่อหาโรงเตี๊ยมพักนอน ผลคือคนทั้งสองแยกทางกันตรงนี้ เพราะลู่ไถต้องการพักในสถานที่ที่เป็นจวนของเทพเซียนมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น แต่เฉินผิงอันต้องการหาแค่โรงเตี๊ยมเรียบง่ายพอให้พักแรมหนึ่งคืนเท่านั้น
หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบ
อยู่ภายใต้เปลือกตาของสำนักฝูจี คิดอยากจะให้มีเรื่องก็ยังเป็นเรื่องยาก
ซึ่งก่อนจะเป็นเช่นนั้นก็ต้องไม่ไปมีเรื่องกับพวกลูกศิษย์ของสำนักฝูจีที่เย่อหยิ่งหัวสูงเสียก่อน
คนทั้งสองนัดหมายว่าจะมาพบกันที่ศาลาหยุดเท้า จากนั้นก็ลงจากเขาแล้วเดินทางขึ้นเหนือไปด้วยกัน แต่เฉินผิงอันมาถึงศาลาแต่เช้าตรู่ ได้เห็นภาพยิ่งใหญ่งดงามที่ดวงตะวันลอยขึ้นเหนือทะเลตะวันออก รอจนสายโด่งก็ยังไม่เห็นเงาของลู่เฉิน กำลังจะเดินออกจากศาลาไปตามหาก็เห็นว่าลู่เฉินเดินหาวขึ้นภูเขามา โบกมือให้เฉินผิงอัน แล้วก็ไม่คิดจะขยับเท้าเดินหน้าอีก เพราะถึงอย่างไรเดี๋ยวก็ต้องเดินย้อนกลับมาอยู่ดี เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที เดินออกจากศาลา ลงภูเขาไปพร้อมกับเขา
เมื่อคืนวานเฉินผิงอันยังกังวลว่าลู่ไถใช้จ่ายมือเติบที่ถนนเรียกสวรรค์จะชักนำปัญหาตามมา การเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ไม่ควรเปิดเผยเรื่องทรัพย์สินเงินทอง แต่รอจนคนทั้งสองลงจากภูเขา เดินมุ่งหน้าไปทางเหนือได้หกเจ็ดลี้ก็ยังไม่มีความผิดปกติใดๆ เฉินผิงอันถึงวางใจลงได้
เฉินผิงอันเดินหน้าไปตามทิศทางคร่าวๆ ที่ปรับเปลี่ยนอยู่หลายครั้งตาม ‘คำเตือน’ ของกระบี่เล่มยาวที่สะพายไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้จึงต้องอ้อมถนนใหญ่ของทางการ เดินขึ้นเขาลงห้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ลู่ไถไม่มีความเห็นกับเรื่องนี้ แต่หากพบกับเมืองที่ครึกครื้นหรือเหลาสุราเมื่อไหร่ เขาจะต้องหยุดพัก เพื่อตอบแทนน้ำใจซึ่งกันและกัน เฉินผิงอันจึงไม่ปฏิเสธ
ตลอดทางมานี้เฉินผิงอันเดินทางอย่างราบรื่นไร้ความหวือหวา ซึ่งก็หนีไม่พ้นการฝึกหมัดฝึกกระบี่ท่ามกลางป่าเขาที่เงียบสงัดไร้ผู้คน แล้วเขาก็ไม่เคยเห็นว่าลู่ไถจะฝึกตนอะไร มีเพียงไปถึงเมืองเจริญรุ่งเรืองที่มีรถม้าผู้คนสัญจรกันคับคั่ง ลู่ไถถึงจะมีชีวิตชีวา ลิงโลดมากเป็นพิเศษราวกับว่าได้เข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล นานวันเข้าลู่ไถก็สอนให้เฉินผิงอันเข้าใจเรื่องหนึ่ง นั่นคือความพิถีพิถันของคนรวยนั้นเป็นอย่างไรกันแน่
ลู่ไถมักสามารถจ่ายเงินน้อยที่สุดซื้ออาหารที่ดีที่สุดมากินดื่ม อาหารจานหนึ่งเขาสามารถกินพลางยกวัฒนธรรมร้อยปีพันปีมาอธิบาย บ้างก็ยกวลียอดนิยมของอริยะปราชญ์มาพูด
ดื่มเหล้าทุกกาก็สามารถร่ายบทกวีไพเราะได้หลายบท
บางครั้งจะเลือกหนังสือโบราณเล่มหนึ่งมาจากร้านหนังสือ มือหนึ่งถือตำรา ทั้งๆ ที่ท่าพลิกเปิดหน้าหนังสือนั้นเกียจคร้านอย่างยิ่ง แต่เมื่ออยู่ในสายตาของเฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าบัณฑิตควรเป็นเช่นนี้
ขอแค่ได้หยุดพักในโรงเตี๊ยม ลู่ไถจะต้องชงชาให้ตัวเองหนึ่งกาแทบทุกวัน แล้วเขาก็ไม่เคยเรียกเฉินผิงอันดื่ม เอาแต่ดื่มอยู่เพียงลำพังตรงนั้น ไม่เอ่ยคำใด แค่ดื่มชาอย่างเดียวเท่านั้น
จิตใจสงบผ่อนคลาย เต็มไปด้วยมารยาทและพิธีการ
บางครั้งก็เล่นหมากล้อมเพียงลำพัง ท่วงท่าเช่นนั้นเฉินผิงอันเคยเห็นจากร่างของชุยตงซานมาก่อน
ลู่ไถยังมีขลุ่ยไม้ไผ่หนึ่งเลา เวลาที่เขาเป่าท่ามกลางภูเขาและสายน้ำ เสียงขลุ่ยแว่วหวานไพเราะเป็นพิเศษ
เขาถือพัดไม้ไผ่นั่งแหงนหน้ามองพระจันทร์อย่างเกียจคร้านอยู่ที่ใดก็ตาม ก็ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม
เฉินผิงอันรู้จักคำพูดหนึ่งบอกว่า แสร้งทำเป็นสง่างาม เป็นคำที่มีความหมายในทางลบ
แต่ลู่ไถไม่ใช่แบบนั้น
ก็เหมือนที่ลึกลงไปในกระดูกเฉินผิงอันคือเด็กบ้านนอก ลู่ไถก็เกิดมาเป็นบุคคลที่สง่างาม เป็นเมล็ดพันธ์ของบัณฑิต
มีเงินเป็นเศรษฐี รู้จักมารยาทคือผู้ดี
นี่ต่างหากถึงจะเป็นลูกหลานของตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์อย่างแท้จริง
นิสัยสดใสร่าเริงของฟ่านเอ้อร์ เฉินผิงอันทำตามไม่ได้ ความสง่างามอิสระเสรีของลู่ไถ เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าตัวเองทำตามไม่ได้อยู่ดี
วันนี้เฉินผิงอันยืนอยู่บนต้นไม้สูงทอดสายตามองไปไกล เขาค้นพบว่าท่ามกลางภูเขาสูงชันกลับมีคฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งอยู่
ก่อนหน้านี้ที่คนทั้งสองเดินทางมาไม่เคยพบเจอภูตผีแห่งภูเขาและสายน้ำใดๆ
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากสำนักฝูจีซึ่งเป็นสำนักใหญ่แห่งเดียวในภาคกลางของใบถงทวีปมาไกลเป็นพันลี้แล้ว
เดิมทีเฉินผิงอันไม่อยากบอกลู่ไถว่าตรงนั้นมีคฤหาสน์อยู่ เพราะอยากก้มหน้าก้มตาเร่งเดินทาง แต่ลู่ไถที่ไม่เคยสนใจทิวทัศน์แม่น้ำภูเขา วันนี้กลับป่ายปีนขึ้นมาบนกิ่งไม้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาโบกพัดไม้ไผ่พลางหัวเราะฮ่าๆ “ไม่เลวๆ เป็นสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่ฆ่าคนชิงทรัพย์แล้วยัดความผิดให้คนอื่นได้”
ตอนแรกเฉินผิงอันยังไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ แต่ไม่นานก็เข้าใจ
ผืนป่ารอบด้านมีเงาดำปรากฏลับๆ ล่อๆ เสียงแมกไม้ดังแสกสาก แม้ว่าจะพยายามอำพรางอย่างสุดกำลัง แต่ทั้งสายตาและหูของเฉินผิงอันต่างก็ดีเยี่ยม แล้วก็พลันเข้าใจทันทีว่าตัวเองถูกโอบล้อมเอาไว้แล้ว
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้านแล้วพูดช้าๆ ว่า “วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ ยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม ยันต์จำนวนไม่แน่นอน”
ลู่ไถเข้าใจความนัยของอีกฝ่าย จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกร บังเอิญจริง ข้าก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มเหมือนกัน สมบัติอาคมจำนวนไม่แน่นอน”
คนหนึ่งสวมชุดสีขาวสะพายกระบี่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ไม่ได้ปลดลงมาดื่มเหล้านานแล้ว
คนหนึ่งสวมชุดเขียวห้อยหยกประดับ วิญญูชนไม่ถอดหยกห่างตัวหากไม่ใช่เรื่องสำคัญ
คนทั้งสองเผชิญหน้ากับโจรกลุ่มใหญ่ที่แอบสะกดรอยตามมาไกลเป็นพันลี้เพราะมีเจตนาชั่วร้าย อีกทั้งในคนกลุ่มนี้ต้องมีผู้ฝึกลมปราณเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
ลู่ไถโบกพัดเบาๆ ยิ้มตาหยีถามว่า “ก่อนจะลงมือ ไม่พูดเหตุผลกับพวกเขาก่อนหรือ?”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก ตบกาเหล้าที่ห้อยตรงเอวโดยไม่พูดอะไร
เพราะเหตุผลที่จะพูดล้วนอยู่ในนี้หมดแล้ว
—–