กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 291.2 กลบฝังลงดินอย่างสงบ
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปก่อน แต่แล้วก็โล่งใจ นี่ต่างหากถึงจะสมเหตุสมผล
และตนก็ได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้นอีกนิด
ลู่ไถสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ผู้บงการคนนั้นเพิ่งจะหนีไป ข้าจะไล่ตามเขาไป ทางฝั่งนี้เจ้าน่าจะรับมือได้ อีกเดี๋ยวข้าก็กลับมา”
ลู่ไถเก็บกระบี่บินเจินเจียนที่รูปร่างไม่สมชื่อเล่มนั้นลงไปก่อน
ตรงข้อมือทั้งสองและข้อเท้าทั้งสองของเขาต่างก็มีภาพดอกบัวตูมสีม่วงทองรอเบ่งบานปรากฎขึ้น
ลู่ไถเอ่ยเสียงเบา “ดอกไม้ผลิบาน”
ดอกบัวสีม่วงทองสี่ดอกที่มีชีวิตชีวาเสมือนจริงพลันเบ่งบานทันใด
ลู่ไถกัดฟัน กระโดดขึ้นสูง จากนั้นก็ทะยานลมจากไปไกล
ร่างของเขาโน้มไปด้านหน้า หรี่ตามองไปทิศไกล ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่พองโป่ง สะบัดส่งเสียงดังพึ่บพั่บ เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสวยุ่งเหยิง
เขาเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็เล็งไปยังตำแหน่งหนึ่งแล้วพุ่งตัวไป
ผู้ฝึกตนลัทธิมารกลืนน้ำลายลงคอ มือหนึ่งถือหม้อดินเผาที่บรรจุวิญญาณร้ายไว้จนเต็ม อีกมือหนึ่งกลับทำมือเป็นท่าคารวะของหลวงจีน ยิ้มประจบพูดว่า “คุณชายเซียนกระบี่ท่านนี้ ครั้งนี้เป็นข้าที่ล่วงเกินท่าน เสียมารยาทแล้วๆ คราวหน้าที่พบเจอกันข้าจะต้องเป็นฝ่ายหลบลี้หนีห่างให้ไกลแน่นอน หากถึงเวลานั้นคุณชายมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรจะมอบหมายให้กับข้าน้อย ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธแน่”
ระหว่างที่พูดผู้ฝึกตนลัทธิมารก็คอยสังเกตสีหน้าและท่าทางของเด็กหนุ่มชุดขาวอยู่ตลอดเวลา ร่างถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้ก็เป็นคนที่เด็ดขาดมากเหมือนกัน ก่อนจะเผ่นหนีไปจึงบีบหม้อดินเผาสีดำที่เลี้ยงวิญญาณใบนั้นให้แหลกละเอียด ควันดำพลันแผ่ตลบอบอวล
จิ้งจกหางขาด (กล่าวถึงจิ้งจกเวลาที่เจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าจะกัดหางตัวเองให้ขาดแล้วหนีไป หางที่ขาดยังขยับได้อยู่ จึงเป็นการดึงดูดความสนใจของศัตรู ส่วนมันก็ฉวยโอกาสนี้หนีเอาตัวรอด)
แสงสีทองเล็กบางเส้นหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางควันดำที่กลิ้งหลุนๆ สามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าควันที่มืดทะมึนดุจน้ำหมึกเหนียวข้นสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่กว่าที่ควันสกปรกเหล่านี้จะสลายหายไปอย่างสิ้นเชิงได้นั้นยังต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่ง
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว เดินไปข้างหน้าหลายก้าว ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนยอดบนสุดของต้นไม้ใหญ่
เรือนกายของคนผู้หนึ่งพลันกลายเป็นควันสีเทาบางเบาเผ่นหนีไปไกลในผืนป่าอย่างรวดเร็ว
ชูอีไล่ตามไปด้วยตัวเองก่อนแล้ว
จิตของเฉินผิงอันเคลื่อนไหวเล็กน้อย สืออู่จึงไล่ตามไปติดๆ
เฉินผิงอันพลิ้วกายกลับลงมาบนพื้น ก่อนจะสัมผัสกับพื้นดิน เขาพลิกหมุนข้อมืออยู่กลางอากาศ สลับด้านถือกระบี่ตระกูลเซียนของโต้วจื่อจือมือกระบี่ชุดแดงด้วยท่าจับกระบี่ปกติ
แม้ว่ามันจะหนักกกว่ากระบี่ไม้ไหวไม่น้อย แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าเบาเกินไป
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ลู่ไถหายตัวไปก่อนหน้านี้ สุดท้ายก้มหน้าลงมองแส้เหล็กในมือแล้วยิ้มขื่น
ในใจรู้ดีว่าวันนี้ต้องตายอย่างแน่นอน
ความอาฆาต ผิดหวัง เจ็บแค้นล้วนมีครบหมด พวกมันทยอยกันลอยขึ้นมาในใจ ก่อนจะทยอยกันเจือจางหายไป
ชาตินี้มีชีวิตอย่างอัดอั้นน่าสมเพช แต่ตอนจะตายได้ตายอย่างผู้กล้ากับเขาสักครั้ง
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำขว้างแส้เหล็กลงบนพื้นอย่างแรง เริ่มอัญเชิญเทพลงมาเป็นครั้งที่สาม ชายฉกรรจ์กระทืบเท้าหนักๆ มือทั้งคู่ประกบเข้าหากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ใบหน้าซีดขาว หัวเราะเสียงดังอย่างสาสมใจ “กล้ารออีกสักครู่ ให้ข้ารบอย่างเต็มคราบอีกสักครั้งหรือไม่?!”
เฉินผิงอันขว้างกระบี่ ‘ชือซิน’ เล่มนั้นออกไป
มันแทงทะลุผ่านหัวใจของชายฉกรรจ์ร่างกำยำไปโดยตรง
กระบี่ยาวปักตรึงอยู่บนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
หลังจากทะลุผ่านหัวใจของชายฉกรรจ์ได้สำเร็จ เฉินผิงอันก็เห็นได้ชัดเจนว่าตัวของกระบี่มีแสงสีแดงเปล่งวาบผ่านไป ประหนึ่งคนหิวโหยได้กินอาหารอิ่มหนึ่งมื้อ เสมือนผีขี้เหล้าที่ได้กินดื่มอย่างเต็มคราบ
เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะหาท่าเรือตระกูลเซียนหรือไม่ก็ร้านค้าเทพเซียนบนภูเขาร้านหนึ่งแล้วขายกระบี่เล่มนี้ออกไป
แสงสีทองพร่างพราวเส้นนั้นยังคงสลายควันดำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ไม่เสียแรงที่เป็นสมบัติอาคมชั้นยอดที่สร้างมาจากหนวดยาวของเจียวเฒ่า
แค่หนวดสองเส้นก็มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าแส้ปัดฝุ่นของเจียวหลงเจินจวินที่อยู่บนภูเขาห้อยหัวควรจะมีอานุภาพไร้เทียมทานสักแค่ไหน
เฉินผิงอันหยุดความคิดทั้งหมดลง ลังเลอยู่ชั่วขณะก็เก็บกระบี่ยาวกลับมา หยิบกิ่งไม้ที่ใหญ่เท่าแขนขึ้นมาหนึ่งกิ่ง ใช้กระบี่เหลามันให้แหลม จากนั้นก็เริ่มขุดหลุมใหญ่หลายหลุมอย่างเงียบเชียบ นำศพของมือกระบี่ชุดแดง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำและลูกศิษย์สองคนของอาจารย์คุมทัพฝังลงดิน สุดท้ายเอาดินกลบหลุม พยายามปกปิดร่องรอยให้แนบเนียนมากที่สุด คนที่เดินทางผ่านมาทางนี้จะได้ไม่พบเบาะแสอย่างง่ายดาย
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูง รอคอยให้ชูอี สืออู่และลู่ไถกลับมาอย่างอดทน
วางฝักกระบี่ ‘ชือซิน’ ที่เพิ่มขึ้นมาเล่มนั้นพาดขวางไว้บนหัวเข่า
ห่างออกไปไกล ควันดำวิญญาณหยินโรมรันอยู่กับแสงสีทองอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องถอยร่นไม่ขาดระยะ เพราะถึงแม้จะสูญเสียสติปัญญาไปนานแล้ว แต่สัญชาติญาณรักตัวกลัวตายนั้น ต่อให้เป็นวัตถุหยินที่ตายไปแล้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทันใดนั้นก็มีควันดำที่ซัดตลบกลุ่มใหญ่เตรียมจะหนีเข้าไปในป่าลึก
เฉินผิงอันพลันนึกขึ้นมาได้ว่าห่างไปไกลยังมีคฤหาสน์อยู่อีกหลังหนึ่ง
หากเป็นคนในยุทธภพที่ไม่คุ้นเคยกับเวทคาถา เกรงว่าคงปล่อยให้คนอื่นโดนร่างแหเดือดร้อนไปด้วยนานแล้ว
เฉินผิงอันถือกระบี่ลุกขึ้นยืน เขากวาดตามองไปรอบๆ ก่อน หลังจากแน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติแล้วถึงได้กรอกจิตและปณิธานลงไปในเสื้อคลุมอาคมจินหลี่ พริบตาเดียวกายธรรมมายาสูงจิบกว่าจั้งที่โฉมหน้าพร่าเลือน แต่ส่องแสงสีทองอร่ามจับตาก็ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน มายืนขวางอยู่เบื้องหน้าควันดำกลุ่มนั้นพอดี สะบัดแขนเสื้อกว้างใหญ่หนึ่งครั้ง วิญญาณหยินพวกนั้นก็ถูกหอบเข้ามาในชายแขนเสื้อ วิญญาณหยินเหมือนเข้าไปในบ่อสายฟ้า ส่งเสียงซี่ๆ เพียงไม่นานก็ระเหยเป็นไอลอยหายไป
เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่เดิม สีหน้าซีดขาว ปวดหัวราวศีรษะจะระเบิดแตก
ครั้งนี้เผยอานุภาพของชุดคลุมอาคมจินหลี่อย่างไม่กักเก็บพลังเอาไว้ เผาผลาญลมปราณที่แท้จริงของเขาไปหนึ่งเฮือกเต็มๆ อีกทั้งยังมีวี่แววว่ายากจะยืนหยัดได้ต่อด้วย
หากต่อสู้อยู่กับคนอื่น ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็ไม่ควรใช้วิธีนี้ง่ายๆ โดยเด็ดขาด เพราะถ้าอีกฝ่ายมีความสามารถในการปกป้องชีวิตที่เหนือความคาดฝัน นั่นก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันใช้สองมือประคองศีรษะของตัวเองส่งไปให้อีกฝ่าย
แต่บอกตามตรง ความรู้สึกที่จิตวิญญาณล่องลอยออกไปจากร่างนั้นช่างมหัศจรรย์จริงๆ
อยู่ที่สูงหลุบตามองต่ำมายังภูเขาและแม่น้ำ
เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาลูบชุดคลุมอาคมสีทองเบาๆ เนื้อสัมผัสนิ่มละเอียดเย็นฉ่ำ ผ่านการเข่นฆ่าสังหารครั้งใหญ่ที่ต้องอกสั่นขวัญหายอยู่ตลอดเวลา แทบจะเผาผลาญพลังใจจนหมดสิ้น ตอนนี้เฉินผิงอันจึงรู้สึกง่วงเล็กน้อย เขาเอนหลังพิงลำต้นไม้ใหญ่ เริ่มหลับตาทำสมาธิ
ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็ทำจิตใจให้สงบนิ่ง ลมหายใจกลับมาราบรื่นได้อีกครั้ง
บนข้อมือของเฉินผิงอันมีเชือกสีทองเส้นหนึ่งที่หลอมมาจากเชือกพันธนาการปีศาจผูกไว้
เพียงไม่นานก็มีแสงสีขาวสว่างจ้าและสีเขียวสดปลั่งบินพรวดกลับมา รวดเร็วราวสายฟ้าแลบ แม้ว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มจะเล็กบางอย่างถึงที่สุด แต่ริ้วแสงสองเส้นยาวสิบกว่าจั้งที่ถูกลากมาตามหลังพวกมันกลับสะดุดตาอย่างยิ่ง แล้วแสงทั้งสองก็พากันผลุบหายเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
สัมผัสถึงความรู้สึกของพวกมันที่ส่งผ่านมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
น่าจะสังหารศัตรูได้อย่างราบรื่น
เฉินผิงอันจึงวางใจลงได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ชูอีกับสืออู่ออกห่างจากเฉินผิงอันไปไกลขนาดนี้
แต่นี่ก็ทำให้เขาได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง นั่นคือความสามารถในการเข่นฆ่าศัตรูของผู้ฝึกตนอิสระอาจจะเทียบกับลูกศิษย์ตระกูลเซียนบนภูเขาไม่ได้เสมอไป แต่เรื่องการเผ่นหนีเอาชีวิตรอดนั้นกลับเชี่ยวชาญกันทุกคน
ตนก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ เฉินผิงอันจึงเริ่มนั่งฝึกท่าเจี้ยนหลู
สะพายกระบี่คือการฝึกตน สวมใส่อาภรณ์ก็คือการฝึกตน
ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เคยติดตามเซียนท่านหนึ่งนานร้อยปีหรืออาจถึงพันปี สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้วคือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่สามารถรวบรวมปราณวิญญาณได้
แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งแล้ว จินหลี่ย่อมเป็นยันต์คุ้มกันกายที่หาได้ยากยิ่ง แต่ก็มีความยุ่งยากเล็กๆ นั่นคือจำเป็นต้องคอยต้านทานปราณวิญญาณที่หลั่งไหลเข้าหาจินหลี่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรซะผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ต้องสลายปราณวิญญาณทั้งหมดในช่องโพรงลมปราณตั้งแต่แรกอย่างเด็ดเดี่ยว ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ถึงจะถือว่าเดินขึ้นไปบนเส้นทางของวิถีวรยุทธ์อย่างแท้จริง
อยู่ที่ภูเขาห้อยหัว เนื่องจากปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้น การต้านทานจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ออกจากปลาวาฬกลืนสมบัติ เดินทางอยู่ในป่าเขาจึงผ่อนคลายขึ้นเยอะมาก เพราะถึงอย่างไรป่าเขาทั่วไปก็มีปราณวิญญาณเบาบางซึ่งสามารถมองข้ามไปได้
เฉินผิงอันรอมาเกือบหนึ่งชั่วยาม ลู่ไถที่เดินอาดๆ อยู่บนทางภูเขาถึงได้รีบเร่งรุดกลับมาหาเฉินผิงอัน ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นมอมแมม ยังดีที่ไม่มีรอยเลือด
อีกอย่างดูจากท่าทางแล้วเหมือนคนที่ได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมาเต็มไม้เต็มมือ
เขาเดินมาทางต้นไม้ใหญ่ที่เฉินผิงอันอยู่พลางเก็บธงค่ายกลมากมายที่อาจารย์คุมทัพจัดวางไว้รอบด้านเข้าชายแขนเสื้อไปด้วย ลู่ไถเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้านี่มีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ ทำไมไม่ปล่อยให้ศพพวกนั้นตากแดดแห้งเหี่ยว ปล่อยให้สัตว์ป่ากัดแทะ นกกาจิกกินไปเล่า นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดจบที่พวกเขาสมควรได้รับ เจ้าจะสงสารคนพวกนี้ไปทำไม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ได้สงสารพวกเขา ข้าแค่สนใจเรื่องที่ว่า ‘คนตายสำคัญกว่า ฝังกลบลงดินเพื่อความสงบ’ เท่านั้น”
ลู่ไถส่ายหน้า คร้านจะคิดให้มากความ แต่แล้วจู่ๆ ก็หมุนตัวกลับวิ่งไปยัง ‘หลุมฝังศพ’ ที่มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นมากที่สุด ถามตำแหน่งหลุมศพของคนเหล่านั้นคร่าวๆ จากนั้นลู่ไถก็สาบถสาบานว่า อีกเดี๋ยวจะเติมดินกลับให้ดีดังเดิม ไม่รอให้เฉินผิงอันตอบรับ ลู่ไถก็ฟาดฝ่ามือลงไปหนึ่งครั้ง ฝุ่นผงคละคลุ้ง แล้วเขาก็วิ่งเข้าไปเริ่มทำการพลิกค้นศพ แม้แต่ลูกศิษย์สองคนของอาจารย์คุมทัพเขาก็ไม่ละเว้น ยากจะจินตนาการได้ว่าคนที่ชอบผัดแป้งแต่งหน้าอย่างเจ้าหมอนี่จะขุดหลุมศพได้คล่องแคล่วถึงเพียงนี้ แถมยังไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย
เลี่ยงไม่ได้ที่บนร่างของลู่ไถจะเปรอะเปื้อนเลือดและคราบดิน เพียงแต่ว่าพอสมบัติอาคมที่เป็นเชือกห้าสีเส้นนั้นล้อมพันข้อมือ แค่ไม่นานทั่วร่างของเขาก็ถูกจัดการเสียจนสะอาดเอี่ยม สมบัติอาคมของตระกูลเซียนมีความมหัศจรรย์มากมายจนน่าเหลือเชื่ออย่างนี้เอง
ลู่ไถที่อยู่ตรงนั้นบ่นพึมพำกับตัวเอง “จะดีจะชั่วก็เป็นถึงปรมาจารย์ท่านหนึ่งในยุทธภพ แต่เจ้ามันเป็นผีอนาถาจริงๆ! ดูสิเนี่ย ในวัตถุฟางชุ่นของหม่าว่านฝ่ามีแต่ภูเขาเงินภูเขาทอง หันกลับมามองเจ้า เจ้าควรอับอายจนกลับมามีชีวิตแล้วก็ตายซ้ำอีกครั้งซะจริง”
“เฮ้อ ข้าก็ไม่ได้อยากตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เมื่อเทียบกับเจ้านายของเจ้าแล้ว ทรัพย์สมบัติแค่นี้บนร่างเจ้ามันช่างน่าเวทนาเหลือเกิน มีเพียงตั๋วเงินปึกนี้ที่พอจะคลี่คลายสถานการณ์เร่งด่วนของพวกเราได้บ้าง เพราะถ้าซื้อของด้านล่างภูเขาแล้วมอบเงินเกล็ดหิมะให้พวกเขา เจ้าของร้านต้องลงไม้ลงมือตีคนแน่…”
“ยวนยางโชคร้ายอย่างพวกเจ้าสองคน ชาติหน้าไปเกิดใหม่ก็จงจำไว้ว่าหาอาจารย์ที่ดีหน่อย ต่อให้ความสามารถจะด้อยไปบ้างก็อย่าได้หาอาจารย์แบบนี้อีกเลย”
เฉินผิงอันไม่ได้รบกวนลู่ไถที่ง่วนอยู่กับงานตรงหน้า
เพียงแค่มองแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
สุดท้ายลู่ไถเติมดินกลับเข้าไปอีกครั้ง ปัดมือ มองพื้นดินที่ราบเรียบด้วยความรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย
“คนบงการเบื้องหลังผู้นี้ซี้แหงแก๋ไปแล้ว ทุกอย่างล้วนราบรื่นเป็นมงคล!”
ลู่ไถเดินกลับมายังใต้ต้นไม้ที่เฉินผิงอันอยู่ ให้ตายก็ไม่ยอมขึ้นไป เขาเงยหน้ากวักมือเรียก “ได้เวลาแบ่งสมบัติแล้ว!”
—–