กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 293 คืนฝนพรำในตรอกเล็ก
ปราสาทตั้งสูงตระหง่านอยู่เหนือภูเขาเขียวและสายน้ำใส หากไม่มองอย่างละเอียดก็จะไม่มีทางสังเกตเห็นว่าตรงมุมซ้ายขวาสูงขึ้นไปของประตูบานใหญ่ต่างก็แปะยันต์โบราณกระดาษเหลืองตัวอักษรสีชาดเอาไว้ เดิมทีสายตาของเฉินผิงอันก็ดีอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีนิสัยรอบคอบช่างสังเกต มองปราดเดียวก็เห็นยันต์ที่ไม่สะดุดตาสองแผ่นนี้ทันที เขาหันหน้าไปมองลู่ไถ แต่ฝ่ายหลังกำลังตั้งหน้าตั้งตาคุยเรื่องราวในอดีตของแคว้นเฉินเซียงอยู่กับหญิงสาวหวนซู เฉินผิงอันจึงได้แต่จดจำภาพบนยันต์ไว้เงียบๆ
บนโลกมียันต์นับพันนับหมื่นชนิด พรรคและสาขาปะปนกันหลากหลาย แต่มีเพียงสามฝ่ายเท่านั้นที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสำนักดั้งเดิมของสายยันต์ จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคือหนึ่งในนั้น ส่วนอีกสองสายที่เหลือแบ่งเป็นพรรคหลิงเป่า (สมบัติวิเศษ) ของทักษินาตยทวีป กับสำนักใบถงของใบถงทวีป ผืนแผ่นดินที่เฉินผิงอันยืนเหยียบอยู่ในเวลานี้
เฉินผิงอันกับลู่ไถแขกที่ไม่ได้รับเชิญสองคนถูกผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาจัดให้ไปอยู่ในเรือนหลังเล็กแยกเฉพาะซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของป้อมอินทรีบิน และเหอหยาก็เดินนำคนทั้งสองไปส่งยังที่พักด้วยตัวเอง
สองพี่น้องหวนฉางและหวนซูบอกลากับพวกเขา นัดหมายกันเรียบร้อยว่าวันนี้ให้พวกเขาพักผ่อนอย่างสบายใจ คืนพรุ่งนี้ทางเจ้าประมุขปราสาทจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับ หวังว่าเฉินผิงอันกับลู่ไถจะไปทันเวลา
เส้นทางหลักที่ปูด้วยหินสีเขียวของป้อมอินทรีบินตรงดิ่งไปยังหอเรือนหลัก ส่วนถนนและตรอกเส้นอื่นๆ ก็ตัดกันสลับซับซ้อน ตรอกถนนดินเหลืองทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนได้หวนกลับไปยังตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาของบ้านเกิด ลูกหลานของป้อมอินทรีบินต่างก็อยู่อาศัยในตรอกเหล่านี้มาหลายรุ่นหลายสมัย แต่เมื่อเทียบกับตรอกหนีผิงที่เต็มไปด้วยขี้หมาขี้ไก่แล้ว ตรอกของที่แห่งนี้กลับสะอาดและเป็นระเบียบกว่ามาก เกือบทุกบ้านต่างก็ปลูกต้นท้อ ต้นหลี่ ดอกซิ่ง เด็กเล็กวิ่งไล่จับกันอย่างซุกซน บ้างก็ถือกระบี่ไม้ไผ่ดาบไม้มาเล่นตีฟันกันเอง บางคนก็ขี่ไม้ก้านไม้ไผ่ ปากร้อง ‘ย๊าๆๆ’ เหมือนกำลังควบม้า พวกเขาเห็นผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาก็ไม่มีใครเกรงกลัว เพียงหยุดเท้า เรียกคำหนึ่งว่าท่านเหอ คารวะอย่างนอบน้อมเหมือนผู้ใหญ่ แล้วก็วิ่งแผล็วจากไป เสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กๆ ก้องกังวานอยู่ในตรอกเล็ก
หลังจากพาเฉินผิงอันและลู่ไถไปถึงที่พักแล้ว ผู้ดูแลเฒ่าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราก็รีบรุดไปยังชั้นบนสุดของหอหลักเพื่อพบกับหลวนหยางเจ้าประมุขแห่งป้อมอินทรีบิน
หลวนหยางคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตางดงามดุจหยกสลัก แม้ว่าจะไม่หนุ่มแล้ว เพราะจอนผมสองข้างต่างก็เป็นสีดอกเลา แต่กลับเพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับเขา จะว่าไปแล้วคนที่หน้าตาดี ไม่ว่าจะชายหรือหญิง มองอย่างไรก็ดูสบายตาไปหมด แต่หากหน้าตาไม่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหมือนจะผิดไปซะทุกเรื่อง
หลวนหยางนั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่นลักษณะเก่าแก่เรียบง่ายหลังหนึ่ง เขายื่นมือออกมาบอกเป็นนัยให้เหอหยานั่งลงข้างกัน ผู้ดูแลเฒ่าก้มหน้าลงมองรองเท้าหุ้มแข้งที่เปรอะไปด้วยดินโคลนแล้วก็ส่ายหน้า ไปยกเก้าอี้อีกตัวมานั่งแทน
หลวนหยางขมวดคิ้ว “ท่านลุงเหอ เหตุใดถึงพาคนนอกสองคนนั้นเข้ามาในป้อมอินทรีบินเล่า? พวกเขาเกี่ยวข้องกับเซียนซือบนภูเขาทางทิศตะวันตกงั้นหรือ?”
เหอหยากล่าวอย่างจนใจ “จะเกี่ยวข้องหรือไม่ ตอนนี้ยังบอกได้ยาก รอจนพวกเราตามไปถึง ที่นั่นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว คาดว่าศึกใหญ่คงปิดฉากลงแล้ว เซียนและปีศาจพวกนั้นถึงได้แยกย้ายกันไป ข้าแอบทิ้งคนสองคนไว้ให้คอยสืบเบาะแสของที่นั่น แต่กลับไม่มีการค้นพบใดๆ นี่น่าจะเป็นเพราะฝ่ายที่ชนะใช้วิชาลับตระกูลเซียนปิดบังความลับของสวรรค์เอาไว้”
หลวนหยางยิ้มเจื่อน “หากเด็กหนุ่มสองคนนั้นเป็นเซียนซือในตำนานจริงๆ ก็ดีน่ะสิ ข้าไหว้วานให้คนไปเชื้อเชิญยอดฝีมือนอกโลก ลองคำนวณดูก็ล่าช้าไปเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ตอนนั้นข้าเลยให้คนเอาจดหมายลับไปส่ง สอบถามว่าทำไมยอดฝีมือถึงไม่มาสักที เมื่อครู่นี้เองที่เพิ่งได้รับจดหมายตอบกลับจากเพื่อนสนิทที่อยู่ในเมืองหลวง ในจดหมายเขาตำหนิข้าเสียยกใหญ่ บอกว่าเซียนบนภูเขาที่สูงส่งเหนือผู้ใดเป็นเหมือนมังกรเทพที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง ต่อให้เป็นแม่ทัพหรืออัครเสนาบดีในเมืองหลวงก็ยังยากที่จะได้พบหน้าสักครั้ง การที่เขาสามารถส่งข้อความเสียงไป จนสุดท้ายเซียนซือคนนั้นรับปากว่าจะช่วยเหลือก็ถือว่าเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าแล้ว หากยังได้คืบจะเอาศอก ทำให้เซียนไม่พอใจ ระวังจากเรื่องดีจะกลายเป็นหายนะ”
ใบหน้าของหลวนหยางเต็มไปด้วยความกังวล ถามเสียงเบาว่า “ท่านลุงเหอ ท่านเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ รู้เรื่องบางอย่างบนภูเขาเป็นอย่างดี ท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร? หรือจะต้องรอคอยต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้? ตลอดหลายปีมานี้ในปราสาทเกิดเรื่องประหลาดติดต่อกันมากมาย หากยังเกิดเรื่องอีกสักเรื่องสองเรื่อง เกรงว่ากระดาษคงห่อไฟไม่อยู่ ถึงเวลานั้นผู้คนคงอกสั่นขวัญแขวน แล้วจะทำยังไงกันดี?”
เหอหยากล่าวอย่างเฉียบขาด “สหายของท่านประมุขมิได้โกหก ตระกูลเซียนบนภูเขาแสวงหามรรคาอยู่ตลอดเวลา จิตใจของพวกเขายากจะคาดเดาได้ คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่อาจหยั่งถึงได้เลย ได้แต่รอคอยอย่างว่าง่ายเท่านั้น”
หลวนหยางถอนหายใจ หยิบกาเหล้าใบหนึ่งขึ้นมาแล้วจิบเหล้าเกาเหลียงต้มที่ป้อมอินทรีบินหมักด้วยตัวเองคำเล็กๆ “ถ้าอย่างนั้นก็รอแล้วกัน แต่ถ้าไม่เป็นเพราะป้อมอินทรีบินเสียเวลาอีกไม่ได้แล้วจริงๆ ข้าหรือจะต้องให้ท่านไปเสี่ยงกลางภูเขา เป็นฝ่ายไปขอพบผู้ฝึกลมปราณพวกนั้น เดิมทีนึกว่าจะโชคดีได้เจอกับยอดฝีมือที่มีเวทเซียน รักษาม้าตายดั่งม้าเป็น ช่วยแก้ปัญหาให้กับป้อมอินทรีบินของเรา ต่อให้ต้องทุ่มทรัพย์สินของครอบครัวจนหมดสิ้นก็ยังคุ้มค่า”
เหอหยาลังเลอยู่ชั่วขณะ ตั้งใจใคร่ครวญคำพูด ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “การที่ข้าเชิญคนทั้งสองเข้ามาในป้อมอินทรีบินก็เพราะข้ารู้สึกว่าถึงแม้พวกเขาจะอายุไม่มาก แต่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นลูกหลานของตระกูลเซียนบนภูเขาบางแห่งจริงๆ และครั้งนี้พวกเขาก็ออกมาท่องยุทธภพเพื่อหาประสบการณ์ ระหว่างที่เดินกลับมา ข้าลองสังเกตลมหายใจ ฝีเท้าและใบหน้าของพวกเขาอย่างละเอียดแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวที่สะพายกระบี่ไว้ข้างหลังน่าจะเป็นข้ารับใช้ ส่วนคุณชายหนุ่มอีกคน แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา บุคลิกท่าทางดีมาก ดีมากจริงๆ”
หลวนหยางลูบเคราพูดยิ้มๆ ว่า “มิน่าเล่าแม่หนูซูถึงได้ทำตัวติดกับเขานัก ดูท่าคงจะถูกใจอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว ไม่เลว สายตาไม่เลว ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรสาวของข้าหลวนหยาง”
เพราะการปรากฏตัวของคุณชายชุดเขียวคนนั้นทำให้ผู้เฒ่าหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย เขาจึงพูดยิ้มๆ ว่า “ตอนนั้นข้าติดตามอดีตเจ้าประมุขท่องไปในยุทธภพ เคยเห็นคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีบุคลิกลักษณะที่คล้ายคลึงกับเขา คนหนึ่งคือองคมนตรีหลิวคนปัจจุบันในราชสำนัก ในปีนั้นเขายังเป็นแค่ลูกหลานคนรวยที่เสเพล เหมาหมดทั้งสุราและนารี แต่เห็นได้ชัดว่าเก็บซ่อนแก่นแท้ไว้ข้างใน ภาพลักษณ์ภายนอกและชื่อเสียงด่างพร้อยก็เป็นแค่วิธีการที่ใช้อำพรางตาคนบนโลกเท่านั้น”
“แล้วก็ยังมีโต้วจื่อจือที่เพิ่งก้าวสู่สังคมก็ฉายประกายคมกริบ อันที่จริงคนที่เห็นดีในตัวของโต้วจื่อจือเวลานั้นมีไม่มาก คิดว่าเขาเป็นแค่คนมีพรสวรรค์ทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ถือเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ แต่ตอนนั้นอดีตเจ้าประมุขก็แน่ใจแล้วว่าวันหน้าในยุทธภพของแคว้นเฉินเซีย โต้วจื่อจือจะต้องได้เป็นผู้มีชื่อเสียงอย่างน้อยสามสิบปี สายตาของอดีตเจ้าประมุขยอดเยี่ยมไม่เหมือนใครจริงๆ”
“คนสุดท้าย ข้าไม่รู้ชื่อแซ่หรือภูมิหลังของเขา ตอนนั้นข้าขึ้นเขาไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกับอดีตเจ้าประมุข ผลคือพอขึ้นไปบนยอดเขากลับพบว่ามีบุรุษชุดขาวคนหนึ่งนั่งทำสมาธิอยู่ตรงนั้น รอจนเขาสังเกตเห็นพวกเรา ก็หันมาผงกศีรษะให้ข้าพร้อมคลี่ยิ้ม พอลุกขึ้นได้ก็สะบัดกายหายวับไป ไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้อีก ต้องรู้ว่ายอดเขาแห่งนั้นสูงเป็นพันจั้ง นอกจากเทพทะยานลมหรือเซียนขี่กระบี่แล้ว จะลงจากภูเขาได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด แต่สีหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
เพียงแต่กล่าวมาถึงท้ายที่สุด แววตากลับหม่นหมองเล็กน้อย
ยุทธภพที่พวกเขาอยู่ใหญ่ถึงเพียงนั้น พรรคและสำนักมากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า ธรรมะและอธรรมแก่งแย่งกัน ความเป็นความตาย เกียรติยศและความอัปยศ ชายหญิงในยุทธภพยึดถือในคุณธรรม ทุกอย่างล้วนอยู่ในยุทธภพแห่งนี้
แต่ถึงท้ายที่สุดยุทธภพที่ว่าใหญ่กลับกลายเป็นแค่แอ่งน้ำเล็กๆ (เจียงหูยุทธภพแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่าแม่น้ำและทะเลสาบ) ในสายตาของคนบางคนเท่านั้นหรือ?
คิดจะข้ามผ่านไป พวกเขาก็แค่ยกเท้าก้าวหนึ่งก้าว ขี้เกียจจะยกเท้า แค่เหยียบลงไปก็อาจจะทำให้น้ำในแอ่งสาดกระเด็น ทำให้แม่น้ำและทะเลสาบเกิดลูกคลื่นถาโถม?
หลวนหยางฟังอย่างสนใจ โดยไม่ทันรู้ตัวจากอารมณ์กลัดกลุ้มก็ผ่อนคลายขึ้นมาหลายส่วน เขาถามยิ้มๆ ว่า “ท่านลุงเหอ ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นเล่าเรื่องพวกนี้เลย?”
ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “จะเล่าเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน บุรุษที่ดีไม่เล่าถึงวีรกรรมในอดีต อีกอย่างชั่วชีวิตนี้ลุงเหออย่างข้าก็ไม่เคยมีวันใดที่ได้ดิบได้ดีกับเขา อดีตเจ้าประมุขที่ฟันรูปปั้นเทพหลิงกวานให้แตกสลายด้วยกระบี่เดียวต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ข้าเองก็แค่เคยแบกห่อสัมภาระให้อดีตเจ้าประมุข คอยจูงม้าให้เขา หลังจากนั้นก็พยายามมีชีวิตอยู่ให้ได้นานอีกหน่อย อยู่เพื่อจัดงานแต่งงานของเจ้าประมุขน้อย ชีวิตนี้ข้าก็พอใจแล้ว”
หลวนหยางกล่าวอย่างสะท้อนใจ “เซียนสามารถพิสูจน์มรรคามีชีวิตเป็นอมตะได้จริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่าพูดยิ้มๆ “เดี๋ยวถ้าเซียนท่านนั้นที่สหายของเจ้าประมุขแนะนำให้มาถึงที่นี่ ไม่สู้ท่านลองถามเขาดูสิ”
ลู่ไถค่อนข้างจะพอใจกับที่พักแห่งนี้ มันตั้งอยู่สุดปลายตรอกเล็ก สภาพแวดล้อมเงียบสงบ ต้นตีนตุ๊กแกเลื้อยเต็มกำแพงรอบลานบ้าน
จากนั้นลู่ไถก็เงยหน้าส่งยิ้มโบกมือไปทางหลังคาบ้านที่อยู่ห่างไปไกล บนสันของหลังคา ลูกศิษย์คนหนึ่งของป้อมอินทรีบินหอบฮักๆ ค้อมตัววิ่งลงมาจากหลังคาเพื่อไปรายงานข่าวแก่ผู้ดูแลเฒ่าเหอ ร่องรอยของตนถูกคนจับได้ หากยังอยู่ต่อไป เกรงว่าจะถูกเข้าใจผิดคิดว่ามีเจตนาร้าย อาจทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายได้
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินถามเบาๆ “ข้ารู้สึกว่าที่นี่ค่อนข้างจะประหลาด”
ลู่ไถไม่เห็นเป็นสำคัญ ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “วางใจเถอะ ข้าแค่หาสถานที่สบายๆ ให้พักผ่อนเท่านั้น จะไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวเด็ดขาด ขอแค่ไม่มาหาเรื่องข้าก่อน ไม่ว่านอกเรือนแห่งนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็คร้านจะสนใจ”
เฉินผิงอันนึกถึงยันต์โบราณสองแผ่นที่แปะไว้บนประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบิน เขายื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดภาพที่เห็นบนยันต์นั้นกลางอากาศ ถามว่า “รู้ไหมว่านี่คือยันต์อะไร?”
ลู่ไถเดินเข้าไปหาอุปกรณ์ชงชาในห้อง ในเมื่อมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น เข้าเมืองตาหลิ่วก็ควรจะหลิ่วตาตาม คนทั้งสองต่างก็ไม่ได้พกห่อสัมภาระ อยู่ดีๆ จะให้เสกของมาจากความว่างเปล่าก็คงไม่ใช่เรื่อง ค้นหาตามตู้ไม่นานเท่าไหร่ ลู่ไถก็ยกอุปกรณ์ชุดหนึ่งออกมา จากนั้นหิ้วถังน้ำใบเล็กเตรียมจะออกนอกบ้าน เขาบอกกับเฉินผิงอันว่าจะไปตักน้ำ เมื่อครู่นี้เดินผ่านบ่อน้ำแห่งหนึ่ง รู้สึกว่าค่อนข้างน่าสนใจ เดิมทีน้ำในบ่อคือน้ำต้มชาระดับล่างสุด แต่น้ำในบ่อของที่นั่นมีคุณภาพน้ำยอดเยี่ยม ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องประหลาดใจที่น่ายินดีก็ได้
ส่วนเรื่องยันต์ ลู่ไถก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา เขามีความสามารถถึงขนาดรู้จักยันต์ทุกชนิดบนโลกซะเมื่อไหร่ ยันต์สองแผ่นบนประตูใหญ่นั้น เส้นสายไม่ชัดเจน อาจจะเป็นฝีมือสำนักนอกรีตของพรรคมหายันต์ใบถงทวีป ถึงอย่างไรระดับขั้นของยันต์ก็ไม่ได้สูงเท่าใดนัก ปราณวิญญาณสลายสิ้นไปนานแล้ว ก็มีแต่พวกคนบ้าบิ่นแยกแยะของจริงของปลอมไม่ออกอย่างป้อมอินทรีบินแห่งนี้เท่านั้นแหละที่เอามาบูชาราวกับเป็นสมบัติอย่างโง่งม คาดว่าคงทำเพื่อความสบายใจเสียมากกว่า
เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าป้อมอินทรีบินแห่งนี้มีปราณหยินบางๆ ปกคลุมอยู่ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับควันดำกลิ้งตลบ ปราณดุร้ายท่วมเทียมฟ้าที่ออกมาจากหม้อดินเผาของผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นแล้ว กลับไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง
ลู่ไถหิ้วถังน้ำเปล่ากลับมา
เฉินผิงอันถาม “ทำไม น้ำในบ่อไม่เหมาะให้เอามาต้มชางั้นหรือ?”
ลู่ไถเบ้ปาก “เห็นได้ชัดว่าน้ำและลมของป้อมอินทรีบินถูกคนเล่นตุกติกบางอย่าง น้ำในบ่อจึงหนักและเย็นผิดปกติ อย่าว่าแต่เอามาต้มชาเลย แค่เอามาต้มน้ำทำกับข้าว คนธรรมดาที่ปราณหยางไม่มากพอ สะสมไว้นานวันเข้าก็ย่อมกลายเป็นปัญหา เพียงแต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ข้าเดาเอาว่าสิบยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ต้องมีเด็กหญิงถือกำเนิดมากกว่าเด็กชายเยอะมากแน่นอน นานวันเข้าธาตุหยินจะเฟื่องฟู ธาตุหยางจะเสื่อมถอย”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา
ลู่ไถถามยิ้มๆ “ไม่คิดจะสนใจหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขา “ไม่พูดถึงเรื่องบุญคุณความแค้นในยุทธภพ เอาแค่ว่าตอนนี้พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง สุดท้ายจะช่วยหรือจะทำร้ายพวกเขากันแน่?”
ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็สบายใจแล้ว ข้ายังกลัวว่าพอเลือดร้อนตีขึ้นหน้า เมื่อพบความอยุติธรรมแล้วเจ้าจะชักดาบช่วยเหลือไปซะหมด”
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “ข้าไม่มีดาบ”
ลู่ไถโยนถังน้ำไว้ด้านข้าง เอาสองมือไพล่หลัง มองประเมินเฉินผิงอันอย่างมีเลศนัย จุ๊ปากพูดว่า “โอ้โห เฉินผิงอัน ใช้ได้เลยนี่นา เดี๋ยวนี้รู้จักพูดเล่นแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเป็นการตอบรับ
จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน
ลู่ไถนั่งอยู่บนขั้นบันได เงยหน้ามองสีท้องฟ้า โบกพัดไม้ไผ่เบาๆ “ฝนจะตกแล้ว”
ท่ามกลางแสงสนธยา เพียงไม่นานฝนเม็ดใหญ่ก็เทกระหน่ำราวกับมาตามนัดหมาย
เสียงเปาะแปะดังตามโต๊ะหินในลานบ้าน ในตรอกเล็ก ในฟ้าดิน
เฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะได้รับไอหนาว ถึงขั้นไม่ต้องกังวลว่าชุดจะเปียก จึงฝึกหมัดต่อไปไม่หยุด อีกทั้งทุกครั้งที่ออกหมัดยังให้ความรู้สึกเหมือนได้ต่อยน้ำฝนกลุ่มหนึ่งให้แตกกระจาย เฉินผิงอันจึงจมจ่อมอยู่กับมันอย่างหลงใหล
เพื่อหลบฝน ลู่ไถจึงไปนั่งอยู่ตรงหน้าประตู แม้ว่าจะเป็นลมฝนของช่วงฤดูใบไม้ร่วง บรรยากาศอึมครึมเยียบเย็น แต่เขาก็ยังนั่งโบกพัดอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวก็เหม่อลอย เดี๋ยวก็ชำเลืองตามามองวิชาหมัดของเฉินผิงอัน
ลู่ไถเห็นว่าเฉินผิงอันเปลี่ยนจากฝึกหมัดเป็นฝึกกระบี่ และยังคงใช้วิธีประหลาดด้วยการจับกระบี่มายา
ลู่ไถพูดด้วยรอยยิ้ม “คนโบราณมักจะมองว่าฝนตกคือการร่วมมือกันระหว่างฟ้าดิน การเชื่อมโยงกันระหว่างหยินและหยาง ความคิดของคนโบราณน่าสนใจจริงๆ ไม่รู้ว่าคนรุ่นหลังจะมองพวกเราอย่างไร”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบ เพราะลู่ไถก็ชอบพูดไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้เป็นประจำ ไม่จำเป็นต้องสนใจ
ตอนกลางคืน ห้องที่ลู่ไถนอนพักดับไฟลงแล้ว
แต่เฉินผิงอันกลับยังจุดตะเกียงอ่าน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ เล่มนั้นเหมือนอย่างที่เคยทำ
ด้านนอกฝนยังคงเทกระหน่ำ ฝนที่ตกหนักขนาดนี้ มีให้เห็นน้อยครั้งนัก
ใบหูของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย เขาพอจะได้ยินแว่วๆ ว่าในตรอกนอกลานบ้านมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่ไล่ตีกันลอยผ่านไป
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันเพิ่งจะเปิดหนังสือไปหนึ่งหน้าก็ได้ยินเสียงสตรีดังแผ่วๆ ขึ้นมาที่ด้านนอกอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงสะอื้นไห้
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก็มีเสียงกระแอมของคนแก่ดังอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลอยห่างไปไกล
ต้องรู้ว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ด้านในสุดของตรอก เป็นทางตันเส้นหนึ่ง
เฉินผิงอันปิดหนังสือที่อยู่ในมือ หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บนโต๊ะขึ้นมา ยกเหล้าดื่มพลางเดินออกไปนอกห้อง พอเปิดประตูออก ทันใดนั้นราวกับว่าฝนที่ตกอยู่ท่ามกลางฟ้าดินล้วนกลายเป็นเลือด
แต่ชั่วพริบตาทุกอย่างก็กลับคืนมาเป็นปกติ นอกจากอากาศเย็นและไอน้ำที่ลอยอวลอยู่รอบเรือนเล็กแล้วก็ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นอีก
เฉินผิงอันยกเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมานั่งนอกธรณีประตู ปล่อยพลังอำนาจออกไปอย่างเงียบเชียบ ปณิธานหมัดบริสุทธิ์ที่ถูกกักเก็บไว้ภายในค่อยๆ ไหลรินไปทั่วร่าง สกัดกั้นให้เม็ดฝนที่กระเซ็นมาปะทะใบหน้าอยู่ห่างออกไปหลายฉื่อ
หน้าประตูบ้านมีเสียงเคาะดังก๊อกๆๆ
เฉินผิงอันเตรียมจะลุกขึ้นไปเปิดประตู
เสียงเคาะกลับหยุดลง
เป็นอย่างนี้อยู่อีกสองสามครั้ง เฉินผิงอันเลยเลิกสนใจ เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ฝนเม็ดใหญ่ก็ค่อยๆ ซาลง เปลี่ยนมาเป็นฝนเม็ดเล็กพร่างพรม
ตรงประตูบ้านมีเสียงน่าขนลุกเหมือนคนใช้นิ้วครูดประตูดังขึ้น
เฉินผิงอันลืมตา ถอนหายใจ คีบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่เขียนด้วยกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูช้าๆ
ยันต์กระดาษเหลืองที่อยู่ตรงปลายนิ้วส่องแสงสีทองอร่ามพร่างตา ประหนึ่งดวงตะวันที่ฉีกม่านราตรีมาทอแสงเจิดจ้า
ลู่ไถพลันเปิดประตู หาวหวอดพลางพูดไปด้วยว่า “รีบเก็บมาเถอะ เดี๋ยวไม่ทันระวังพวกผีเห็นแล้วจะตกใจตายเอาได้”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจคำเย้ยหยันของอีกฝ่าย
เขาเตรียมจะเปิดประตู กะว่าจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น โยนยันต์แผ่นนี้ออกไปในตรอกก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ลู่ไถเอ่ยเตือน “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นสิ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ยังเดินดิ่งไปที่ประตูบ้าน พอถอดสลักเปิดประตูออกแล้ว ไอเย็นเยียบก็ลอยโชยมา เห็นชัดๆ ว่าตรอกเล็กเส้นทางดินนอกประตูไม่มีคนสักคนเดียว แต่กลับมีเสียงคนซิบซุบล่องลอยไปทั่วด้าน และบนพื้นยังมีรอยเท้าที่ลึกและตื้นไม่เท่ากันตามจุดที่มีเสียงดัง
เฉินผิงอันหมุนตัวเอายันต์แปะไว้บนหน้าประตูบ้าน
ก่อนจะเดินเข้าบ้าน เขาหันหน้ากลับไปมองก็สังเกตเห็นว่าห่างไปไกลในตรอกเล็กมีหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่กำลังเดินฝ่าสายฝน พวกเขาล้วนสวมชุดผ้าป่านสีขาว เด็กคนนั้นไม่ได้หันตัวกลับมา แต่กลับ ‘หมุนบิด’ ทั้งศีรษะหันกลับมาประสานสายตากับเฉินผิงอัน แสยะปากออกกว้าง หัวเราะไร้เสียง
—–