กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 298.1 ออกหมัด
ในหอหลักของป้อมอินทรีบิน คนสกุลหลวนหลายสิบคนที่เป็นเสาหลักของป้อมล้วนมีสีหน้าเขียวคล้ำ หมดอาลัยตายอยาก
ไม่ว่าอย่างไรเจ้าประมุขหลวนหยางก็คิดไม่ถึงว่า เซียนซือจากไท่ผิงซานที่ขอให้สหายสนิททุ่มเงินก้อนใหญ่เชื้อเชิญตัวมาจะกลับกลายมาเป็นตัวการหายนะที่แท้จริง
สี่มุมของห้องโถงใหญ่วางกระถางไฟไว้สี่ใบ กิ่งต้นสนต้นไป่ที่อยู่ด้านในเผาไหม้จนสิ้นซากไปนานแล้ว ก่อนหน้านี้เซียนซือท่านนั้นบอกว่าหอหลักแห่งนี้คือสถานที่สำคัญที่ภูตผีปีศาจปรารถนาอยากครอบครองมาเนิ่นนาน จึงจำเป็นต้องเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ จากนั้นเขาก็ใช้วิชาเผาศาลรวมกับยันต์ที่มีเฉพาะในไท่ผิงซานมาจัดวางค่ายกลขจัดสิ่งสกปรก เมื่อทำเช่นนี้พวกผีร้ายนอกรีตที่มีใจชั่วร้ายก็จะไม่สามารถฉวยโอกาสกับป้อมอินทรีบินได้อีก
แถมยังบอกด้วยว่าต้องให้แน่ใจก่อนว่าในหอหลักแห่งนี้ปลอดภัย เขาถึงจะออกไปกำจัดปีศาจปราบมาร ผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์เพียงลำพัง
ป้อมอินทรีบินย่อมไม่มีความเห็นต่างอยู่แล้ว
เมฆดำด้านนอกกดทับลงมาเหนือศีรษะจนผู้คนรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือการก่อกวนจากภูตผีปีศาจตัวจริงเสียจริง คนบ้าบิ่นในยุทธภพอย่างพวกเขา เพื่อการคงอยู่ของตระกูล ให้ยกดาบปะทะกับศัตรู ต่อให้เจอกับเหล่าผู้กล้าซึ่งเป็นผู้นำแห่งวิถีมารในแคว้นเฉินเซียง ก็ยังเห็นเป็นภารกิจพึงปฏิบัติที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หากต้องตายก็คือตาย
แต่จะให้พวกเขาไปรับมือกับภูตผีวัตถุหยิน แค่คิดก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญผวา ปราณหยางบนร่างคล้ายจะลดน้อยลงไปอีกหลายส่วน
ก่อนหน้านี้หลวนหยางไม่ได้เชื่อเซียนซือจากไท่ผิงซานท่านนี้จนหมดใจ ต่อให้คนผู้นี้จะมีมาดสูงส่งคล้ายเจ๋อเซียนที่ไม่ค่อยชอบปรากฎตัวบนโลก ต่อให้มีสหายสนิทเป็นตัวกลางช่วยแนะนำ หลวนหยางก็ยังไม่กล้าประมาทง่ายๆ นี่คือสภาพจิตใจที่ตระกูลสูงศักดิ์ในยุทธภพจำเป็นต้องมี เป็นเหตุให้ตอนที่คนผู้นั้นจูงม้าขาวเดินไปตามตรอกเล็กใหญ่ หลวนหยางจึงให้ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาที่ใช้ข้ออ้างว่าช่วยนำทางติดตามไปด้วยระยะทางหนึ่ง กิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ที่ติดไฟในเวลานั้นส่งกลิ่นหอมเย็นลอยมาปะทะจมูกซึ่งแผ่ปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงตรงอย่างแท้จริง
แม้ว่าเหอหยาที่จะพอเข้าใจวิชาอภินิหารอย่างหยาบๆ เพราะโชควาสนานำพา ไม่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง แต่ในอดีตเคยติดตามนายท่านผู้เฒ่าหลวนขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วทิศ ถือเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพที่มีความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง แน่ใจว่าวิธีการของเซียนซือท่านนี้เป็นวิธีการที่ตระกูลเซียนใช้กันอย่างเปิดเผย ป้อมอินทรีบินที่เดิมทีก็อับจนหนทางให้ไปต่อถึงได้วางใจลงอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนเซียนซือชุดขาวท่านนั้นมือหนึ่งถือแส้ปัดฝุ่น อีกมือม้วนชายแขนเสื้อถือพู่กันจึงเขียนยันต์อักษรสีชาดภาพแล้วภาพเล่าลงบนเสาใหญ่ไม้หนานมู่ของห้องโถงใหญ่ได้อย่างราบรื่นดุจเมฆคล้อยน้ำไหล มองแล้วเจริญตาเจริญใจ
เหอหยาที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือของป้อมอินทรีบินยังถึงขั้นยืนประกบซ้ายขวา คอยช่วยถือตลับชาดสีแดงสดชุ่มราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้ให้แก่เซียนซือท่านนั้นด้วยตัวเอง
ตอนนี้อาจารย์ผู้เฒ่าเหอหยากลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ถลึงตาปูดโปน ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยจ้องมองเซียนซือชุดขาวที่ยืนอยู่ระหว่างหลวนหยางและฮูหยินเขม็ง สีหน้าเหมือนอยากจะกินเนื้อดื่มเลือดของคนผู้นี้เต็มที
เขาแก่ปูนนี้ มองโลกอย่างเรียบง่ายมานานมากแล้ว อีกทั้งยังไม่มีลูกหลาน ทุกวันที่มีชีวิตอยู่ล้วนถือเป็นความกรุณาที่สวรรค์มอบให้เป็นพิเศษ จะต้องกลัวตายไปทำไม? แต่เหอหยาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหลังจากตนตายไปแล้วจะมีหน้าไปพบเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลหลวนได้อย่างไร
คนที่มีสิทธิ์นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เฒ่าแซ่หลวนของป้อมอินทรีบินที่อายุมากแล้ว บวกกับที่การเข่นฆ่าสังหารในตรอกเล็กของปีนั้นทำให้คนส่วนใหญ่สั่งสมอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เลือดลมเสื่อมถอย พอสูดควันจากกิ่งสนกิ่งไป่จากในกระถางไฟเผาศาลนั่นเข้าไป แต่ละคนจึงหน้าดำคล้ำ แขนขาทั้งสี่กระตุกเกร็ง เกรงว่าไม่ต้องให้บุรุษชุดขาวลงมือ พวกเขาก็คงขาดใจตายไปเองก่อนแล้ว
ส่วนลูกหลานอายุน้อยที่ไม่มีที่นั่ง พวกเขาล้วนยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสในฝ่ายของตัวเอง พวกเขาล้วนมีวรยุทธ์ไม่สูง แต่ละคนนอนพังพาบอยู่บนพื้น ต้นกล้าที่มีตบะดีบางคนยังพอจะนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณ พยายามให้ตัวเองรักษาสติไว้ให้ได้มากที่สุด
บุรุษชุดขาวร่างสูงใหญ่ยังคงลูบแส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะในมือชิ้นนั้น เพียงแต่มืออีกข้างหนึ่งกดลงบนบ่าของหลวนหยางเจ้าปราสาทเบาๆ พลางยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าประมุขหลวนไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองชักนำหมาป่าเข้าบ้าน ข้าเล่นงานป้อมอินทรีบินเช่นนี้ก็แค่เพราะอยากจะประหยัดแรงสักหน่อย หากเปิดฉากสังหารขึ้นมาจริงๆ ชายชาตรีที่มีวรยุทธ์อย่างพวกเจ้าคงหนีพ้นความตายไปไม่ได้ ตั้งใจวางแผนมาหลายสิบปี คนมีใจเล่นงานคนไร้เจตนา หรือคนบนภูเขาเล่นงานคนล่างภูเขา พวกเจ้าไม่ตายแล้วใครจะตายล่ะ?”
ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างหลวนหยางตัวสั่นสะท้าน บรรดาคนทั้งหมดในห้องโถงใหญ่ มีเพียงนางที่สีหน้าเป็นปกติ คงเป็นเพราะไม่ได้รับควันพิษพวกนั้น แต่นางตกใจจนเสียขวัญมานานแล้ว ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงหญิงสาวที่เติบโตขึ้นมาในป้อมอินทรีบิน อีกทั้งยังเป็นคนที่รักความสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย นอกจากบางครั้งที่ออกไปท่องเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยไปไกลจากป้อมอินทรีบินเกินร้อยลี้ด้วยซ้ำ ไหนเลยจะทนรับกับมรสุมครั้งนี้ได้?
บุรุษร่างสูงใหญ่ยกมือออกจากไหล่ของหลวนหยางมาบิดใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้ว การกระทำนุ่มนวล เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา
แต่กลับไม่ใช่สายตาหื่นกามของบุรุษที่ปรารถนาในตัวสาวงาม เป็นสายตาของช่างคนหนึ่งที่มองผลงานชิ้นหนึ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตเสียมากกว่า
เขาดึงมือกลับอย่างอาลัยอาวรณ์ กล่าวยิ้มๆ ว่า “โชคดีที่การต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุครั้งนั้นไม่ได้เดือดร้อนมาถึงป้อมอินทรีบินของพวกเรา หากถูกคนมีใจมองแผนการครั้งนี้ออก สิ่งที่พวกเราทำลงไปก็เท่ากับขาดทุนย่อยยับ อันที่จริงตามแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้ พวกเจ้ายังสามารถเสพสุขกับวันเวลาอันสงบสุขไปได้อีกครึ่งปี แต่อาจารย์ของข้ากังวลจริงๆ ว่าหากพวกผู้ฝึกตนบนเส้นทางเดียวกันที่พยายามทำทุกวิถีทางให้มีชีวิตรอดไปดึงดูดความสนใจของสำนักฝูจีขึ้นมาอีกครั้ง แบบนั้นจะทำอย่างไร? ดังนั้นพอข้าได้รับจดหมายลับจึงรีบเดินทางมาทันที”
ในห้องโถงใหญ่ไม่มีใครเปิดปากพูดได้ ดังนั้นเซียนซือท่านนี้จึงรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่มีใครเออออคล้อยตาม จึงเหมือนมีข้อบกพร่องเล็กน้อยในความสมบูรณ์แบบ
บุรุษร่างสูงใหญ่มองไปยังทุกคนที่นั่งอยู่แล้วพูดถากถาง “พวกเจ้าแอบคิดว่าตัวเองจะโชคดี คิดว่านักพรตเฒ่าและนักพรตน้อยคู่นั้นจะช่วยพวกเจ้าได้ใช่ไหม? ขอแนะนำพวกเจ้าว่าจงตัดใจซะเถอะ ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตห้าคนหนึ่ง ข้าไม่ตบเขาให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวก็ถือว่าเขาโชคดีแล้ว การที่ข้าไม่แตะต้องเขา ก็เพราะว่าปราณวิญญาณและเลือดลมอันน้อยนิดของพวกเขาสองคนยังพอจะมีประโยชน์เหมือนปักบุปผาลงบนผ้าแพรอยู่บ้าง”
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้คงไม่ใส่ยาลับลงไปในกระถางไฟมากมายถึงเพียงนั้น คนเป็นใบ้กันทั้งห้อง แม้แต่ด่าสักคำยังทำไม่ได้ ยิ่งอย่าหวังว่าจะเห็นภาพพวกเขาโขกหัวขอร้อง น่าเบื่อจริงๆ
ฉวยโอกาสที่อาจารย์ยังไม่ลงมือ บวกกับที่สถานการณ์โดยรวมมั่นคงขึ้นแล้ว เขาจึงอยากจะหาความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเอง พอกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดนิ่งที่สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่กำลังโคจรลมปราณกำจัดยาออกจากร่าง ก่อนหน้านี้มองไม่ออกจริงๆ ไม่นึกว่าสตรีเรือนกายเล็กบางจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ที่อำพรางตัวได้อย่างมิดชิด สตรีมีตบะวรยุทธ์ในขั้นนี้ ถือว่าไม่ง่ายเลย
เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งยอง บีบคางนาง สตรีแต่งงานแล้วสีหน้าเด็ดเดี่ยว สายตาคมปลาบ
เขายิ้มบางๆ หยิบขวดกระเบื้องที่ใสแวววาวจนส่องแทนกระจกได้ใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ชำเลืองตาไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ อีกฝ่ายร่างกายอ่อนแอ ทรุดลงไปนอนอยู่กับพื้นนานแล้ว แขนขาทั้งสี่กระตุกเกร็ง ตาเหลือก ฟองขาวฟูมออกจากปาก ดูท่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
ดวงตาของบุรุษเป็นประกาย น่าสนใจแหะ มีพรสวรรค์ในการฝึกตนไม่น้อย หากเอาไปโยนไว้ในพรรคลำดับสาม ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ได้รับความสำคัญคนหนึ่ง ในเมื่ออยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรให้ทำก็ผลักเรือตามน้ำสนับสนุนเขาสักครั้ง เจ้าเด็กนี่จะทำสำเร็จหรือไม่ จะสามารถมีชีวิตรอดไปเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักตนได้ไหม ก็ต้องดูที่วาสนาของเขาเองแล้ว
เพียงแต่ว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นหรือตายก็ล้วนมีโชควาสนาอันประเสริฐให้เสพสุข ส่วนคนอื่นๆ ในห้องโถงก็จะมีลาภตาให้มองกันจนอิ่ม
บุรุษที่แสร้งปลอมตัวเป็นผู้ฝึกตนจากไท่ผิงซานยื่นนิ้วไปกดตรงหว่างคิ้วของเด็กหนุ่ม จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น ลากเอาควันสีเขียวมรกตเหม็นคาวเส้นหนึ่งออกมา ก่อนที่มันจะรวมตัวกันเป็นลูกกลมหนึ่งลูก เขาดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้ง ควันกลุ่มนั้นก็กระจายไปทั่วห้องโถง
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพลันมีสติกลับคืนมา กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง บุรุษกลับยัดยาสีแดงเม็ดหนึ่งใส่ปากเขาเสียก่อน
เขาโยนเด็กหนุ่มไปไว้กลางห้องโถง แล้วโบกแส้ปัดฝุ่นหนึ่งครั้ง สลายลมปราณบริสุทธิ์แท้จริงในร่างของสตรีแต่งงานแล้วที่นางรวบรวมมาต้านควันพิษอย่างยากลำบาก จากนั้นค่อยบังคับลมผลักให้นางเข้าหาเด็กหนุ่ม
บุรุษยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ทุกท่านโปรดรับชมให้ดี”
เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ ขดตัวงอ ร่างสั่นเหมือนเป็นโรคลมชัก แต่พอเขามองเห็นสตรีแต่งงานแล้ว สายตากลับเร่าร้อนขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ยืดตัวคืบคลานเข้าหานางช้าๆ
บุรุษจุ๊ปากพูด “สำนักนอกรีตนอกรอยอย่างพวกเรา เทียบกับสำนักใหญ่ที่เดินขึ้นฟ้าทีละก้าวอย่างมั่นคงไม่ได้ อุดมคติหรือความคิดบางอย่าง ไม่เพียงแต่ได้แค่เดินไปบนเส้นทางที่ไม่เหมือนคนอื่น ยังขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของโลก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือความสำเร็จในท้ายที่สุดมีขีดจำกัด แม้แต่ธรณีประตูของขอบเขตโอสถทองก็ยังเป็นความเพ้อฝันที่เกินตัว”
กล่าวมาถึงตรงนี้บุรุษก็รู้สึกแค้นเคืองยากจะระงับอารมณ์ แต่แล้วก็หัวเราะ ยิ้มบางๆ พูดกับเด็กหนุ่มคนนั้น “แต่ก็อย่าได้ดูถูกสองขอบเขตอย่างชมมหาสมุทรและประตูมังกร เจ้าหนู เจ้ากินยาหนันเคอ (กิ่งก้านต้นไม้ที่เอนไปทางทิศใต้) ที่มีสรรพคุณดีเลิศเม็ดนั้นของข้าเข้าไป ตอนนี้จิตใจของเจ้าจะผ่อนคลาย เป็นความรู้สึกเหมือนการลอกคราบอย่างที่หาได้ยาก แต่หนึ่งในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของมนุษย์จะถูกขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด นี่ก็คือวิชาลับไม่แพร่งพรายของสำนักข้า ส่วนอะไรคืออารมณ์อะไรคือปรารถนา ยาหนันเคอล้วนมีประเภทที่สอดคล้องกับพวกมัน เม็ดที่ข้ามอบให้เจ้าเป็นรางวัลมีราคาแพงที่สุด เจ้าอย่าปล่อยให้เสียเปล่าเด็ดขาดเชียว ขอแค่รักษาสติเสี้ยวหนึ่งไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ระหว่างนี้เจ้าก็ปล่อยตัวเสพสุขให้เต็มที่ เมื่อทนไปได้ถึงท้ายที่สุด มีชีวิตรอดมาได้ ข้าจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ เส้นทางการฝึกตนของเจ้าในอนาคตย่อมราบรื่น และต้องเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางได้แน่นอน”
สตรีแต่งงานแล้วตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูก แต่ร่างกลับขยับไม่ได้ ในที่สุดก็เผยความสิ้นหวังและหวาดกลัวออกมาเสี้ยวหนึ่ง
บุรุษยังคงเอ่ยยั่วยุเด็กหนุ่มต่อไป “วางใจเถอะ ทุกคนในห้องโถงใหญ่ล้วนต้องตายกันหมด ดังนั้นไม่มีอะไรที่เจ้าต้องกังวล วิถีสวรรค์ไร้น้ำใจ การฝึกตนไหนเลยจะมีแบ่งแยกดีชั่ว…”
บุรุษร่างสูงใหญ่ใจสั่นสะท้าน พลันเงยหน้าขึ้น กำด้ามแส้ปัดฝุ่นแน่น ตั้งท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ
เห็นเพียงว่าบนเสาคานมีคนผู้หนึ่งกำลังหาวอย่างเกียจคร้าน เขาก้มหน้าลงมองผู้ฝึกตนลัทธิมารผู้นั้น หยิบพัดไม้ไผ่จากชายแขนเสื้อมาพัดโบกเบาๆ “เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ ชอบพูดกับตัวเองมากขนาดนี้เลยรึ?”
เขาก็คือลู่ไถ
บุรุษหรี่ตากล่าว “สหายท่านนี้ ครั้งนี้เจ้ากับเด็กหนุ่มสะพายกระบี่แค่ผ่านทางมาดูเรื่องสนุก หรือคิดจะทำลายเรื่องดีๆ ของคนอื่น? หรือว่าศึกใหญ่กลางภูเขานอกป้อมอินทรีบิน พวกเจ้าสองคนก็คือคนในสถานการณ์?”
ลู่ไถชำเลืองตามองเด็กหนุ่มบนพื้นที่ถูกความใคร่มัวเมาจิตใจ ส่งเสียงจุ๊ๆๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ “เจ้าคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนมาจากผลของยาเม็ดนั้นใช่ไหม? ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟังก็แล้วกัน ความใคร่ของเจ้าในเวลานี้ อย่างน้อยก็มีสามถึงสี่ส่วนที่เกิดจากความต้องการในใจของเจ้าจริงๆ ก็ไม่แปลกหรอกที่ไอ้หมอนี่จะถูกใจเจ้า เพราะเดิมทีเจ้ามันก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว”
เด็กหนุ่มที่มือข้างหนึ่งเกือบจะสัมผัสโดนหัวเข่าของสตรีแต่งงานแล้วเริ่มดิ้นรนขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งในใจและร่างกายล้วนเป็นเช่นนี้ ดังเลือดเลือดจึงไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด แต่กลับเป็นเลือดสีดำที่เปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า กลิ้งตัวอยู่บนพื้นอย่างทรมาน
บุรุษร่างสูงใหญ่ไม่สะทกสะท้าน แค่รู้สึกเสียดายยาเม็ดนั้น เมื่อ ‘บุรุษบนเสาคาน’ ผู้นี้เปิดโผงความลับ จิตแห่งเต๋าที่เปราะบางของเด็กหนุ่มจึงแหลกสลายไปแล้ว
เดิมทีหากไม่มีใครช่วยฉีกกระดาษหน้าต่างชั้นนั้นออกให้เขา เด็กหนุ่มสามารถเดินไปบนทางที่มืดดำจนถึงที่สุดได้ก็ถือว่าเป็นทางออกอย่างหนึ่ง และยังสามารถกลายมาเป็นลูกศิษย์ของเขาได้จริงๆ นับแต่นี้จะได้เดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน
ลู่ไถสีหน้าเฉยเมย ประกบสองนิ้วกรีดเบาๆ จากบนลงล่างหนึ่งครั้ง
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนามว่าเจินเจียนแหวกอากาศออกไป ตรงดิ่งเข้าสังหารเด็กหนุ่มที่กำลังเจ็บปวดทรมาน
สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ตะโกนเสียงดังใส่ลู่ไถ “อย่านะ!”
ปลายกระบี่ของกระบี่บินเจินเจียนที่ห่างจากลำคอของเด็กหนุ่มอีกแค่นิ้วเดียวพลันหยุดชะงัก
ลู่ไถมองสตรีแต่งงานแล้วที่ร้องไห้น้ำตาอาบหน้า “เขาตายไปจะสบายมากกว่า วันนี้หากยังมีชีวิตเดินออกไปจากที่นี่ ถ้าเขาไม่เกิดใจเคียดแค้นทำร้ายเจ้าจนตาย จากนั้นร่วงลงสู่วิถีมาร กาลเวลาในภายภาคหน้า เขาก็อาจจะทำให้ตัวเองอัดอั้นจนตายเพราะต้องทนรับคำเหยียดหยามจากผู้อื่น”
สตรีแต่งงานแล้วเอาแต่ส่ายหน้า พูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมา “ขอร้องเซียนซืออย่าฆ่าเขา ขอร้องท่านอย่าฆ่าเขาเลย…”
บุรุษที่ถือแส้ปัดฝุ่นอยู่ในมือถามยิ้มๆ “ข้าแปลกใจนัก เจ้าบุกเข้ามาในค่ายกลแห่งนี้เงียบๆ ได้ยังไง?”
ลู่ไถมือหนึ่งถือพัด อีกมือหนึ่งวางบนเสาคาน ยิ้มตอบ “หากพูดกันถึงค่ายกล ดูเหมือนว่าจะไม่มีค่ายกลไหนที่ร้ายกาจกว่าค่ายกลที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลข้า เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่?”
บุรุษหัวเราะฮ่าๆ แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ขาดหายไปกลางคัน ทันใดนั้นร่างของเขาก็เริ่มสลับสับเปลี่ยนตำแหน่ง แส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะในมือที่สลักสองคำว่า ‘ขจัดทุกข์’ ส่งเสียงหวีดหวิวเหมือนเสียงลมหิมะดังเป็นระลอก ทุกครั้งที่เขาสะบัดแส้ก็จะต้องมีเส้นใยเส้นหนึ่งที่ทำมาจากหนวดหรือหางของสัตว์วิเศษในภูเขาแม่น้ำบางชนิดหลุดออกจากแส้ สาดยิงเข้าหาลู่ไถที่ยืนอยู่บนคาน
เส้นใยจากแส้ปัดฝุ่นจำแลงร่างกลายมาเป็นงูขาวที่หนาใหญ่เท่าแขนคน อีกทั้งยังมีปีกหนึ่งคู่ ทั่วร่างแผ่ไปเยียบเย็น เคลื่อนไหวว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ
—–