กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 298.2 ออกหมัด
สำหรับงูขาวสิบกว่าตัวนั้น ลู่ไถไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาตบพัดไม้ไผ่ปิดดังเพี๊ยะ แล้วเริ่มเอามันมาทำเป็นพู่กัน วาดยันต์ลงไปบนเสาคาน ภายใต้ ‘ปลายพู่กัน’ ที่ก็คือปลายพัดไม้ไผ่มีตัวอักษรและภาพวาดสีเงินเก่าแก่โบราณไหลพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นตัวอักษรที่เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตก็เริ่มเดินไปทั่วทิศตามคาน เสาใหญ่ บนพื้น แทรกซอนกลบทับเข้าไปในยันต์สีชาดทุกตัวที่มีอยู่แต่เดิมก่อนหน้านี้
ถือสิทธิแสดงบทบาทเจ้าบ้านแทนเสียเอง
ส่วนเส้นใยงูขาวที่ออกมาจากแส้ปัดฝุ่น ขอแค่ขยับเข้าใกล้ลู่ไถในระยะสองจั้งก็จะแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปเอง
บุรุษมองไม่ออกสักนิดว่านี่คือวิชาอะไรกันแน่ และนี่ต่างหากที่เป็นจุดที่น่ากลัวมากที่สุด
แต่เรื่องที่น่ากลัวกว่านี้เพิ่งจะปรากฏ คุณชายชุดเขียวที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าอิสตรีเปิดเผยความลับสวรรค์ด้วยการยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ค่ายกลขนาดเล็กที่ข้าจัดวางเมื่อครู่นี้มักจะมีอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล สามารถสกัดกั้นเวทคาถาทั้งหมดของคนนอกได้ ส่วนตัวเองที่อยู่ภายในก็เป็นดั่งอริยะ ฟังดูแล้วร้ายกาจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
ในใจของบุรุษสั่นสะเทือนไม่หยุด ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็หยุดส่ายแส้ปัดฝุ่นในมือ เอามันวางทาบลงบนแขนหนักๆ “เซียนซือท่านนี้ เจ้าไม่เพียงแต่ได้รับการสั่งสอนจากตระกูลอย่างลึกซึ้งกว้างไกล ตัวเองยังเปี่ยมไปด้วยวิชาอภินิหาร ข้านับถือ! ขอแค่เซียนซือยินดีเข้าใจและให้การสนับสนุน ข้ากับอาจารย์ยินดีมอบความจริงใจที่มากพอให้ ยกตัวอย่างเช่นความลับทั้งหมดในป้อมอินทรีบินล้วนจะตกเป็นของเซียนซือทั้งสองท่าน และข้ายังสามารถตัดสินใจโดยพลการ มอบค่าตอบแทนเป็นการส่วนตัวให้เจ้าอีกก้อนหนึ่ง เมื่อกลับไปจะขออาวุธวิเศษระดับสูงชิ้นหนึ่งจากอาจารย์มาให้เจ้า เซียนซือเห็นว่าอย่างไร?”
ลู่ไถตอบไม่ตรงคำถาม “อาจารย์ของเจ้าคือขอบเขตโอสถทอง?”
บุรุษพยักหน้ารับเบาๆ “เพื่อแสดงความจริงใจ ข้ายินดีบอกนามของอาจารย์ให้เจ้าทราบ เขาก็คือคนที่สังหารผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรสองคนของไท่ผิงซาน…”
ลู่ไถรีบโบกมือ “หยุดเลยๆ เจ้านี่มันมีเจตนาอุบาทว์จริงๆ!”
บุรุษทำหน้ามึนงงไม่เข้าใจ “เหตุใดเซียนซือถึงกล่าวเช่นนี้?”
ลู่ไถถอนหายใจ “ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตโอสถทองน้อยๆ คนหนึ่งของใบถงทวีป ถูกขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างเจ้าเอามาทำเป็นจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือ ขู่ให้ข้าตกใจกลัวตายไม่ได้หรอก แต่ถ้าจะให้ข้าหัวเราะขำตายน่ะพอได้ เจ้าเกือบจะทำสำเร็จอยู่แล้วเชียว”
จากนั้นลู่ไถก็กุมท้องหัวเราะก๊าก
แน่นอนว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังจะมีตบะขอบเขตโอสถทองจริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สีหน้าบุรุษหนักอึ้ง
มารดามันเถอะ ดันมาเจอกับพวกสมองมีรูเสียได้
ประเด็นสำคัญก็คือเจ้าคนที่จะเป็นบุรุษก็ไม่ใช่ เป็นสตรีก็ไม่เชิงผู้นี้ยังมีตบะลึกล้ำมาก ลึกล้ำจนถึงขั้นที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง
ลู่ไถหุบยิ้ม เช็ดน้ำตาที่หางตา ดูท่าแล้วจะตลกขบขันมากจริงๆ “นอกจากพวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์ที่กำลังเลี้ยงทารกผีแล้ว ยังมีพันธมิตรเป็นยอดฝีมือคนอื่นอีกไหม?”
ในใจของบุรุษตกตะลึงสุดขีด ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “การกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรมแบบนี้ คนล่างภูเขารู้สึกว่าสำนักฝูจีอยู่ห่างไปไกลเป็นพันลี้ ไกลมากๆ แต่ในสายตาของข้า ไม่ได้ถือว่าไกลขนาดนั้น เจ้าคิดว่าแค่คนสองคนก็กล้าวางแผนใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ? จะสามารถควบคุมแผนการครั้งนี้ได้ไหวหรือไง?”
ลู่ไถร้องอ้อหนึ่งที “ดูท่าพวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์คงอยากฮุบผลประโยชน์ไว้เพียงลำพังสินะ?”
บุรุษแสร้งทำสีหน้าสุขุมไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับด่ามารดาอีกฝ่ายไม่หยุด
ลู่ไถเอ่ยสัพยอก “รู้สึกกระอักกระอ่วนมากเลยใช่ไหมล่ะ ค่าตอบแทนที่ข้าต้องการ พวกเจ้าไม่มีทางนำมามอบให้ได้ แต่พวกเราที่เป็นคนนอกสองคนตีกันเอาเป็นเอาตาย จะทำลายแผนการที่ถูกวางไว้อย่างยากลำบากมาหลายสิบปีได้งั้นหรือ?”
ถูกพูดแทงใจดำ สีหน้าของบุรุษก็แผ่ปราณสังหารออกมาทันที “เจ้าตัดสินใจแล้วจริงๆ หรือว่าจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ไม่กลัวว่าจะพินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่ายงั้นรึ?”
โทสะอัดแน่นอยู่ในอกของบุรุษ “เป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง ข้ากับอาจารย์มิอาจมอบผลประโยชน์ที่มากพอให้พวกเจ้าสองคนได้ แต่จะว่าไปแล้ว การที่พวกเจ้ายื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้จะได้รับประโยชน์อะไร? ทารกผีถูกฟูมฟักหล่อเลี้ยงขึ้นมาจากวิชาลับเฉพาะของอาจารย์ข้าจริง ใต้หล้านี้มีอยู่ตนเดียว แล้วนับประสาอะไรกับที่ทารกผียอมรับนายตั้งนานแล้ว ถอยไปพูดหมื่นก้าว เจ้าโชคดีช่วงชิงมันไปได้ แต่จะเลี้ยงได้รอดอย่างนั้นรึ?!”
ลู่ไถหมุนพัดไม้ไผ่ ใช้ปลายด้านล่างเคาะคานเบาๆ ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์สุดขีด “จะไม่อนุญาตให้ข้ากระทำความดีแสดงคุณธรรมน้ำมิตรบ้างเลยรึ”
บุรุษโกรธจนแทบระเบิด ริมฝีปากสั่นระริก หากไม่เป็นเพราะสตรีแต่งงานแล้วที่ในหัวใจมีทารกผีอยู่ตรงนี้ด้วย หากเกิดความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตหลังถือกำเนิดของทารกผี จะทำลายแผนใหญ่ร้อยปีในอนาคตของอาจารย์ หากไม่เป็นเพราะมีความกังวลในหลายๆ เรื่อง เขาก็อยากจะทุ่มสุดความสามารถที่มี ต่อสู้ตัดสินให้รู้เป็นรู้ตายกับเจ้าหมอนี่สักครั้ง
ลู่ไถพูดเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ “ตอนนี้ไม่รู้สึกว่าเบื่อหน่ายอีกแล้วใช่ไหม? จะขอบคุณข้ายังไงดีล่ะ?”
คราวนี้กลายเป็นว่าบุรุษหน้าเขียวคล้ำ ไม่ได้ดีไปกว่าคนสกุลหลวนของป้อมอินทรีบินที่ถูกเวทลับควันพิษสักเท่าไหร่
ลู่ไถพลันหมดสนุก หุบพัด เทยาสีขาวหิมะหลายเม็ดจากชายแขนเสื้อมาไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นก็โยนเข้าไปตามกระถางไฟที่ใช้เผากิ่งสนกิ่งไป่ ใช่ว่าบุรุษถือแส้ปัดฝุ่นจะไม่อยากขัดขวาง แต่หลังจากกระบี่บินที่ใหญ่จนน่าเหลือเชื่อเล่มนั้นปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งแล้วร่วงดิ่งลงมาจากอากาศเบื้องบนครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่ทันสัมผัสพื้นก็ลอยขึ้นใหม่ ทำเอาเขาที่วุ่นอยู่กับการหลบเลี่ยงรู้สึกเปลืองแรงอย่างมาก
จากนั้นปราณสังหารที่แท้จริงก็พุ่งพรวดเข้ามา
บุรุษถือแส้เกือบจะโดนเล่นงานจึงร้องคำรามอย่างเดือดดาล แส้ปัดฝุ่นเหลือแค่ด้ามยาวที่สลักคำว่า ‘ขจัดทุกข์’ เท่านั้น เส้นใยสีขาวหิมะทั้งหมดล้วนหลุดออกจากด้าม กลายเป็นงูขาวมีปีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินว่ายวนอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังอื้ออึงบาดแหลมแสบแก้วหู โอบล้อมปกป้องเขาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา
บุรุษลูบคลำข้างแก้มของตัวเองที่ถูกบาดลึกจนเป็นร่องเลือดเห็นถึงกระดูก หากไม่เป็นเพราะเบี่ยงหน้าหลบได้เร็วพอ เกรงว่าคงถูกกระบี่นั้นแทงทะลุศีรษะไปแล้ว
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม!
อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านค่ายกล!
คำพูดคำจาวางโตไม่มีละอาย กล่าวว่าค่ายกลของตระกูลตัวเองเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า!
ลู่ไถหลุดหัวเราะพรืด “พาตัวมาติดร่างแหเอง โทษคนอื่นไม่ได้นะ”
บนเสาใหญ่ ตัวอักษรสีเงินเหล่านั้นส่องประกายแสงระยิบระยับ จากนั้นก็ร้อยเรียงเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ถักทอให้ห้องโถงใหญ่กลายเป็นตาข่าย
ส่วนเส้นด้ายที่ถักทอแหดักปลานี้ก็คือตัวอักษรและภาพวาดทั้งหลายที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ในแหจับปลา นอกจากบุรุษที่ไม่ทันระวังถูกกักตัวอยู่ภายในแล้ว ยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของลู่ไถอย่างเจินเจียนและม่ายกวาง
ลู่ไถพลิ้วกายลงมาจากคานด้านบน ไม่สนใจกรงขังแห่งนั้น เขาเดินเข้าหาฮูหยินเจ้าปราสาทที่ใบหน้าไร้สีเลือด ดวงตาทั้งคู่ของสตรีแต่งงานแล้วไร้ชีวิตชีวา เหงื่อแตกท่วมร่าง ตรงเก้าอี้ที่นางนั่งยังมีกลิ่นคาวจางๆ ลอยออกมา
เดินผ่านข้างกายสตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กลางห้องโถง สตรีแต่งงานแล้วที่วิถีวรยุทธ์แอบเลื่อนสู่ขอบเขตสี่อย่างลับๆ ผู้นี้สามารถขยับร่างกายได้เป็นปกติแล้ว นางกำลังโอบเด็กหนุ่มที่ใบหน้าแห้งตอบ สีหน้าทึ่มทื่อเลื่อนลอยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ลู่ไถโยนไข่มุกเหล่านั้นลงไปในกระถางไฟ ควันสีขาวหิมะจึงคลุ้งกระจายไปรอบด้านเป็นระลอก พอทั้งเด็กและผู้ใหญ่แห่งป้อมอินทรีบินสูดดมเข้าไป สีหน้าก็ค่อยๆ กลับมาแดงปลั่ง ทว่าถึงแม้ร่างกายของทุกคนจะไม่เป็นอะไร แต่พลังจิตกลับถูกเผาผลาญไปอย่างหนัก อายุขัยเกิดความเสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้
สตรีแต่งงานแล้วพลันหันหน้ามาถามเอาผิดกับแผ่นหลังของลู่ไถ “ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าต้องพูดเรื่องพวกนั้น เจ้าเองก็เป็นตัวการชั่วร้ายเหมือนกัน!”
ลู่ไถหันหน้ากลับมามองนางแล้วยิ้มบางๆ ถามว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นให้ข้าสังหารพวกเจ้าสองคนเสียตั้งแต่ตอนนี้ไปเลยดีไหม ให้หมดเรื่องกันไป จะได้ไม่ต้องทุกข์ไม่ต้องกังวลอีก?”
สตรีแต่งงานแล้วที่กอดเด็กหนุ่มรีบก้มหน้าลง ไม่กล้ามองลู่ไถอีก
ลู่ไถเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินเจ้าปราสาท เอามือสองข้างไพล่หลัง ก้มตัวลงมองนาง “ตอนนี้พลังต้นกำเนิดแห่งชีวิตของเจ้าแทบไม่เหลืออยู่เลย ถึงอย่างไรก็ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าเจ้าจะเลือกตายอย่างมีคุณค่า หรือเลือกที่จะตายเพราะถูกคนอื่นกำจัดแล้ว”
ในการมองเห็นของลู่ไถ ใบหน้างามพิสุทธิ์ของสตรีแต่งงานแล้วปริร้าวแตกระแหงเป็นร่องลึก แผ่กลิ่นอายแห่งความตายสีดำออกมาเป็นเส้นๆ ดวงตาคลอประกายน้ำชุ่มฉ่ำในสายตาของคนปกติก็ยิ่งกลายมาเป็นสีดำสนิททั้งดวง
สตรีแต่งงานแล้วที่มีชีวิตสูงศักดิ์อยู่ดีกินดีผู้นี้ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ ทำสีหน้าเลื่อนลอยไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “เลิกเสแสร้งได้แล้ว ข้ารู้ว่าวิญญาณของเจ้ากลับเข้าร่างแล้ว ฉวยโอกาสตอนนี้ที่เจ้ามีสติก่อนตาย และยังมีพละกำลังเหลือพอให้ตัวเองได้เลือก ข้าจะเคารพการตัดสินใจของเจ้า ผ่านไปอีกครึ่งก้านธูป ร่างเจ้าจะไม่ใช่ของเจ้าอีกต่อไป ถึงเวลานั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าอีก”
หลวนหยางกำลังจะลุกขึ้นพูด แต่ลู่ไถกลับโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เขาจึงถูกผนึกความรู้สึกทั้งห้า นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม กลายมาเป็นเหมือนหุ่นเชิดตนหนึ่งในเสี้ยววินาที เพียงแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการอ้อนวอน
สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ พึมพำว่า “ไม่ต้องตายได้ไหม?”
ลู่ไถถอนหายใจ จู่ๆ ก็หาคำพูดมาโต้ตอบอีกฝ่ายไม่ออก
เงียบงันไปนาน ลู่ไถหันกลับไปทางประตูใหญ่ เอนกายพิงเก้าอี้ที่สตรีแต่งงานแล้วนั่งอยู่ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็มีชีวิตอยู่ต่ออีกสักครู่หนึ่งแล้วกัน”
……
นอกหอหลักของป้อมอินทรีบิน
ผู้เฒ่าแต่งกายมอซอมองไก่ตัวผู้ที่กินข้าวเหนียวและน้ำพุสะอาดตายคาที่ไปกับตาของตัวเอง
วันนี้หลวนฉางกับหลวนซูก็ติดตามมาอยู่ข้างกายของนักพรตหวงซ่างและเถาเสียหยางโดยบังเอิญพอดี เพราะสองพี่น้องไม่ต้องการหลบอยู่ใน ‘รังที่สุขสงบ’ อย่างหอหลัก ไม่อยากจะหลบอยู่ภายใต้ปีกปกป้องของ ‘เซียนซือไท่ผิงซาน’ ผู้นั้น ในเมื่อผู้เฒ่ายังเดินอยู่ภายนอก พวกเขาสองพี่น้องก็อยากจะให้ความช่วยเหลือด้วยอีกแรง
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองทะเลเมฆสีดำที่กดทับลงมาอย่างต่อเนื่องแล้วกัดฟัน คราวนี้คงต้องเรียกสมบัติก้นกรุออกมาใช้แล้ว เขาจึงนำถ้วยสีขาวใบใหญ่สองใบออกมาถือไว้ในมือข้างละใบ แล้วหันไปพูดกับคู่พี่น้องว่า “ข้าต้องยืมเลือดจากพวกเจ้าสองคนสักสองสามหยด ถึงจะสามารถเชื้อเชิญสิงโตหินสองตนหน้าประตูศาลบรรพชนสกุลหลวนของพวกเจ้าได้ นี่คือวัตถุพิทักษ์เรือนที่ในปีนั้นท่านปู่ของพวกเจ้าขอมาจากยอดฝีมือคนหนึ่ง คือท่าไม้ตายที่แท้จริงของป้อมอินทรีบิน”
ผู้เฒ่าชูมือสองข้างขึ้นสูง กล่าวเสียงหนัก “เร็วเข้า! จากนั้นพวกเราต้องรีบไปที่ศาลบรรพชน! ช้ากว่านี้จะไม่ทันกาลแล้ว!”
หลวนฉางหลวนซูหันมามองหน้ากัน จากนั้นก็ใช้มีดกรีดฝ่ามืออย่างไม่ลังเล แล้วแยกกันบีบเลือดใส่ถ้วยขาวกลางฝ่ามือของนักพรตเฒ่า
ผู้เฒ่าพลิกข้อมือ ถ้วยขาวสองไปก็หายวับไป “ตลอดทางนี้อาจจะเจอกับภูตผีเข้ามาขัดขวาง ข้าอาจจะไม่มีเวลาได้ดูแลพวกเจ้า พวกเจ้าสี่คนต้องดูแลตัวเองให้ดี หรืออาจยังต้องช่วยเปิดทางให้ข้า ตายไปแล้วอาจไม่มีคนช่วยเก็บศพให้พวกเจ้า ดังนั้นจะไปหรือไม่ไป ตอนนี้พวกเจ้าจงตัดสินใจให้ดี”
สองพี่น้องและสองเพื่อนรักพยักหน้ารับพร้อมกัน
ผู้เฒ่าจึงตวาดเบาๆ “ไป!”
เป็นอย่างที่ผู้เฒ่าคาดการณ์ไว้ วัตถุหยินที่หลบซ่อนตามตำแหน่งต่างๆ ของป้อมอินทรีบินเหมือนจะรู้จุดประสงค์ของผู้เฒ่า จึงพากันกรูออกมา ไม่แอบอำพรางตนอีกต่อไป
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งพลันปรากฏตัวบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง เขายืนอยู่บนชายคาที่ตวัดงอน กำลังทอดสายตามองไปยังทิศไกล ตำแหน่งที่มองไปก็คือจุดที่กลุ่มของผู้เฒ่ากระโดดขึ้นบนหลังคาแล้ววิ่งตะบึงไปทางศาลบรรพชน
ปลายนิ้วของสองมือเฉินผิงอันต่างก็คีบยันต์ไว้แผ่นหนึ่ง ก่อนที่เขาจะปล่อยออกเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ชูอี สืออู่!”
แสงกระบี่สองเส้นพายันต์สองแผ่นพุ่งไปยังศาลบรรพชนตระกูลหลวนอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็พากันนำยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไปปักตรึงบนเสาสองต้น
ประกายแสงสีทองเจิดจ้าสองกลุ่มระเบิดขึ้นบนเสาคานทันที หลังจากนั้นแสงสองเส้นก็กลับมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก่อนที่ยันต์กระดาษเหลืองอีกสองแผ่นจะถูกพวกมันพาไปบนหลังคาสองแห่งที่อยู่ห่างจากเบื้องหน้าของกลุ่มผู้เฒ่าไปไม่ไกล
การไปกลับครั้งสุดท้าย ชูอีกับสืออู่ได้พายันต์สยบปีศาจอีกสองแผ่นไปเปิดทางให้ผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรก
เฉินผิงอันใช้ยันต์สยบปีศาจหมดแล้ว จึงไม่ได้ไปจับตามองความเคลื่อนไหวที่ศาลบรรพชนอีก
เดินทางอยู่ในยุทธภพ กำจัดปีศาจปราบมาร ความเป็นความตายล้วนต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง
ทำชั่วเป็นเช่นนี้ ทำความดีก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
เมฆดำเหนือศีรษะกำลังจะกดทับลงบนนคร
ราวกับว่าม่านฟ้าลดตัวลงต่ำจนคนรู้สึกว่าแค่เอื้อมมือไปก็คว้าถึง แค่พวกชาวบ้านพูดเสียงดังหน่อยก็อาจได้ยินไปถึงหูของเซียนที่อยู่บนสวรรค์
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป
คนในยุทธภพของป้อมอินทรีบินมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์เหนือเมฆดำ แต่เขามองเห็น
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงที่ไม่รู้ว่าตบะลึกล้ำหรือตื้นเขินท่านหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะสีแดง ปากท่องคาถาบังคับให้ทะเลเมฆสีดำที่ปกคลุมทับขอบเขตของป้อมอินทรีบินค่อยๆ กดทับลงมา เวลาสำคัญมาถึงแล้ว ผู้เฒ่าจะใช้เลือดชำระล้างป้อมอินทรีบิน ดึงเอาแก่นเลือดเนื้อทั้งหมดมาหล่อเลี้ยงทารกผีที่จะแหวกหัวใจถือกำเนิดตนนั้น
เฉินผิงอันเริ่มกระโดดไปตามหลังคาแห่งต่างๆ ร่างของเขาพุ่งไปด้วยความเร็วสุดขีด เนื่องจากสวมชุดคลุมสีขาวจึงเหมือนลากเอารุ้งสีขาวหิมะตามหลังไปด้วย
สุดท้ายเขาพลิ้วกายลงบนสนามประลองยุทธ์ของป้อมอินทรีบิน นอกจากเฉินผิงอันแล้วก็ไม่มีใครอีก
เฉินผิงอันกระทืบเท้าเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย ตั้งท่าหมัดโบราณที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจอันไพศาล
กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่
จินหลี่ชุดคลุมอาคมบนร่างของเฉินผิงอันที่ถูกร่ายเวทอำพรางตาไว้ บัดนี้ก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้วเช่นกัน
ชุดคลุมยาวสีทองที่มีเจียวหลงว่ายวน
เฉินผิงอันหลับตาลง ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างเฮือกนั้นไหลเวียนอย่างรวดเร็วตามการโคจรของปราณกระบี่สิบแปดหยุด ประหนึ่งน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร
เฉินผิงอันพลันลืมตาโพลง ยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบลงไปแรงๆ
ไม่เพียงแต่สนามประลองยุทธ์ทั้งแห่งที่สั่นสะเทือน อาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนชั้นวางไม้ก็ร่วงกราวลงมาด้วย ถนนหลายเส้นในบริเวณใกล้เคียงล้วนเกิดฝุ่นคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว
หนึ่งหมัดถูกปล่อยขึ้นฟ้าไปก่อน
หลังจากนั้นก็ปล่อยหมัดออกไปอีกรัวๆ
เป็นกระบวนท่าของไอเมฆเหนือบึงใหญ่ แต่ปณิธานหมัดกลับเป็นของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า!
ผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ไม่เคยสอนวิชาหมัดแบบนี้ให้เฉินผิงอัน
ทุกครั้งที่เฉินผิงอันปล่อยหมัดออกไปจะต้องอาศัยแรงส่งจากการกระทืบเท้าด้วย
พื้นดินสั่นสะเทือนส่งเสียงดังครืนครั่น แทบไม่ต่างจากวัวดินพลิกตัว
ผู้เฒ่าเคยบอกว่าเมื่อปล่อยกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ออกไป ครั้งแรกที่หมัดนี้ปรากฏขึ้นบนโลกก็สามารถต่อยให้ม่านฝนบนท้องฟ้าถอยกลับขึ้นไปหนึ่งร้อยจั้ง ไม่กล้าแตะต้องโลกมนุษย์อีก
เฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากให้เมื่ออยู่ต่อหน้าหมัดของข้า ทะเลเมฆอึมครึมในเวลานี้ล้วนต้องกลิ้งกลับขึ้นไปบนฟ้า เหมือนม่านน้ำฝนที่กดทับลงมาเหนือศีรษะของผู้เฒ่าในเวลานั้น!
โดยที่ไม่ทันรู้ตัวการกระทำของเขากลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
—–