กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 299 ปล่อยหมัดไม่หยุด
ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะปล่อยหมัดแรกออกไป
บนศีรษะของผู้เฒ่าที่อยู่บนก้อนเมฆสวมกวานห้าขุนเขา เป็นภาพวาดจริงของขุนเขาทั้งห้า ตัวกวานส่องประกายแสงแวววาว มีเสียงต้นสนโบกสะบัด เสียงนกกระเรียนร้อง เสียงน้ำพุไหลรินตามขุนเขาดังลอยมาให้ได้ยินแว่วๆ
ผู้เฒ่าบังคับให้ทะเลเมฆเลื่อนลงไปด้านล่างอย่างมาดมั่นราวกับว่าในมือกุมกองกำลังทหารม้านับพันนับหมื่น และกำลังบุกพิชิตสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าหรี่ตามองไปทางสนามฝึกยุทธ์ของป้อมอินทรีบินแล้วหลุดหัวเราะพรืด เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งก็กล้าเป็นมดที่ริเขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่ ไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ ทารกผีที่ถือกำเนิดในหัวใจของฮูหยินเจ้าปราสาทผู้นั้น พวกเขาสองคนอาจารย์และศิษย์วางแผนมาเกือบสี่สิบปี ต้องทำสำเร็จให้จงได้ ความยากลำบากและเงินทองมหาศาลที่ทุ่มเทไประหว่างนี้ รวมไปถึงโอกาสประจวบเหมาะที่ลี้ลับ คนนอกไม่อาจมารับรู้ด้วยได้
จุดประสงค์แรกในการสร้างป้อมอินทรีบินแห่งนี้ไว้ในผืนป่าเกรงว่าคงถูกฝังลงหลุมตามเจ้าปราสาทรุ่นแรกไปนานแล้ว ทว่าผู้เฒ่ากลับรู้จุดประสงค์ที่ว่านั้น ตอนนั้นเซียนดินสองคนจากสำนักฝูจีและไท่ผิงซานซึ่งเป็นตระกูลเซียนสองแห่งที่ใหญ่ที่สุดของภาคกลางใบถงทวีปเกิดความขัดแย้งกัน ถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างรุนแรง ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองของสำนักฝูจีคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ฝึกตนของไท่ผิงซานที่ตนไปมีเรื่องด้วยจะเป็นถึงยักษ์ใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิดที่อำพรางตัวอย่างมิดชิดคนหนึ่ง!
ฝ่ายหลังรู้ว่าช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตกำลังจะมาถึง ตัวเองไม่มีหวังที่จะฝ่าทะลุขอบเขต หลังจากสั่งเสียเรื่องทุกอย่างเสร็จก็ออกจากภูเขา เริ่มเดินทางไปทั่วทิศ แม้ว่าจะเป็นคนที่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณต่างก็แห้งเหี่ยวโรยรา ทว่าถึงอย่างไรอูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า เขาเล่นงานจนผู้ฝึกตนโอสถทองสำนักฝูจีเกือบตายคาที่ ฝ่ายหลังเผ่นหนีไปตลอดทาง แต่ก็ยังถูกก่อกำเนิดของไท่ผิงซานตามมาทันที่แถบของป้อมอินทรีบินในปัจจุบัน ก่อกำเนิดของไท่ผิงซานยืนกรานว่าจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไป ไม่เห็นสำนักฝูจีอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะฆ่าผู้ฝึกตนโอสถทองของสำนักฝูจีคนนั้นให้ได้
ผู้ฝึกตนโอสถทองเห็นว่าไม่มีหวังที่จะรอด จึงเกิดความคิดสุดโต่งที่จะให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ดังนั้นจึงใช้เวทต้องห้ามอย่างหนึ่งของสำนักฝูจี เพราะตอนนั้นผู้ฝึกตนโอสถทองเป็นเหมือนม้าตีนปลายแล้ว ความหวังที่จะเชื้อเชิญเทพที่มีวิชาอภินิหารลึกล้ำซึ่งเป็นวิชาสืบทอดดั้งเดิมของสำนักจึงมีหวังไม่มากแล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้แก่นเลือดทั้งหมดเรียกมารยุคบรรพกาลตนหนึ่งที่มีบันทึกไว้ในตำราลับของสำนักฝูจีออกมา มารตนนั้นสูงกว่าหนึ่งจั้ง เกิดจากการรวมตัวกันของปราณชั่วร้าย ร่างกายเหมือนห่มเกราะหนักสีดำสนิทตัวหนึ่ง อันที่จริงหลังจากผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองเรียกมารตนนี้ออกมา ตัวเองก็ขาดใจตายไปแล้ว เนื้อหนังมังสาแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงอยู่กลางอากาศไปนานแล้ว
ใช่ว่าก่อกำเนิดแห่งไท่ผิงซานจะหนีไปจากตรงนั้นไม่ทัน แต่สุดท้ายเขาก็ยังเลือกที่จะต่อสู้กับมารจนถึงที่สุด ปล่อยสมบัติอาคมและวิชาอาคมเข้าใส่มารร้ายประหนึ่งสายฝนซัดสาด เนื้อหนังของผู้ฝึกตนเฒ่าปริแตก จิตวิญญาณแกว่งไกว จนกระทั่งโอสถทองระเบิดแตก เทพหยินที่ปล่อยออกจากช่องโพรงลมปราณมาต่อสู้ได้ตายไปก่อน ส่วนตัวผู้ฝึกตนก่อกำเนิดกลับยังต่อสู้อย่างเต็มคราบสาแก่ใจ สุดท้ายตายไปพร้อมกับร่างแยกของมารที่เยื้องกรายมายังโลกมนุษย์ตนนั้น
ศึกใหญ่อันน่าครั่นคร้ามนี้ทำให้ปราณหยินรอบรัศมีร้อยลี้ใต้ฝ่าเท้าคนทั้งสองมารวมตัวกัน จนแทบไม่เป็นรองสนามรบโบราณแห่งหนึ่งที่ฝังร่างและโครงกระดูกของทหารไว้หลายแสนคน
ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของไท่ผิงซานยังคงเป็นห่วงใต้หล้า กลัวว่าปราณหยินที่กระจายออกไปจะส่งผลกระทบต่อโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำในรัศมีพันลี้ใกล้เคียง จิตวิญญาณที่เหลืออยู่จึงฝืนประคับประคองตัวเองเอาไว้ จนได้ไปเจอกับนายพรานเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ขึ้นเขามาตัดไม้ จึงถ่ายทอดวิชาลับสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะอย่างหนึ่งและวิชาการโจมตีอีกอย่างหนึ่งให้แก่เด็กหนุ่ม คือวิชาดาบที่แกร่งกร้าวและเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของปราณหยาง ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดยังบอกให้นายพรานหนุ่มคนนั้นสร้างปราสาทหลังหนึ่งไว้ที่นี่ แตกกิ่งก้านสาขาออกไป อาศัยลูกหลานของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวให้กำเนิดคนรุ่นหลัง ใช้ปราณหยางกดทับปราณหยินกลุ่มนั้น ขณะเดียวกันลูกหลานสกุลหลวนที่ฝึกวิชาดาบอยู่ที่นี่ เนื่องจากมีปราณหยินที่มองไม่เห็นช่วยขัดเกลา จึงเป็นเหมือนหินลับมีดที่ดีที่สุดก้อนหนึ่ง การพัฒนาวิถีวรยุทธ์ของลูกหลานสกุลหลวนจึงมักจะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว และนี่ก็เป็นสาเหตุให้คนรุ่นหลังของป้อมอินทรีบินมีผู้มีพรสวรรค์มากมายถือกำเนิด จนกระทั่งป้อมอินทรีบินขึ้นสู่ฐานะผู้นำของยุทธภพ
หลังจากฝึกวรยุทธ์จนประสบความสำเร็จแล้ว ภายนอกเจ้าประมุขของป้อมหลายรุ่นซึ่งรวมถึงนายท่านผู้เฒ่าหลวนมักจะออกท่องยุทธภพโดยใช้ข้ออ้างว่าหวังสร้างชื่อเสียงให้แก่ป้อมอินทรีบิน แต่แท้จริงแล้วกลับแอบตามหาเซียนตามภูเขาและแม่น้ำอย่างลับๆ เพราะทุกคนต่างก็มีความคิดอยากกำจัดปราณหยินที่เข้มข้นเกินไปของป้อมอินทรีบินให้สิ้นซาก แต่ปีนั้นนายท่านผู้เฒ่าหลวนตายอย่างประหลาด หลวนหยางบุตรชายคนโตที่พรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ไม่โดดเด่นรับช่วงต่อตำแหน่งเจ้าประมุขอย่างฉุกละหุก เพียงไม่นานก็มีคนลัทธิมารของแคว้นเฉินเซียงร่วมมือกันมาโจมตีป้อมอินทรีบิน ดังนั้นสายสัมพันธ์ระหว่างเทพเซียนก่อกำเนิดและนายพรานบรรพบุรุษจึงขาดไปแล้ว ความสัมพันธ์มากมายที่บรรพบุรุษหลายคนสร้างขึ้นอย่างยากลำบากก็ไม่ได้รับการสืบทอด ยกตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์ควันธูประหว่างนายท่านผู้เฒ่าหลวนกับอาจารย์ของนักพรตหนุ่มหวงซ่าง หลวนหยางก็ไม่รู้ ถึงได้วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากสหายในเมืองหลวง แม้แต่การดำรงอยู่ของสิงโตหินสองตัวหน้าศาลบรรพชน ทุกคนในป้อมอินทรีบินล้วนไม่มีใครรู้ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ ถึงได้มีหายนะใหญ่เทียมฟ้าในครั้งนี้เกิดขึ้น
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงคือผู้ฝึกตนลัทธิมารที่มีชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยมในภาคกลางของใบถงทวีป เคยเป็นผู้อาวุโสขอบเขตโอสถทองอันดับหนึ่ง พลังการต่อสู้เลิศล้ำ ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระ แม้จะเจอกับผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองของสำนักฝูจีหรือไท่ผิงซาน ผู้เฒ่าก็ไม่คิดว่าตัวเองจะด้อยกว่า แต่หลังจากวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่เขาสังหารผู้ฝึกตนประตูมังกรสองคนของไท่ผิงซานครั้งนั้น เพียงไม่นานเขาก็เจอกับการไล่ฆ่าอย่างดุเดือดจากไท่ผิงซาน โอสถทองหนุ่มคนหนึ่งของไท่ผิงซานลงจากภูเขามาเพียงลำพัง ไล่สังหารเขาไกลเป็นหมื่นลี้ ทำเอาผู้เฒ่าสิ้นเหนือประดาตัว แม้แต่วัตถุฟางชุ่นที่เหลืออยู่ก็แตกสลาย สุดท้ายจำต้องสละตบะครึ่งหนึ่งและร่างกายแท้จริงถึงจะปิดฟ้าข้ามทะเล โชคดีหนีพ้นมาจากน้ำมือของผู้ฝึกตนหนุ่มที่เป็นดั่งองค์เทพแห่งสรวงสวรรค์คนนั้นมาได้
ผู้เฒ่าที่ความเคียดแค้นสุมใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะแก้แค้นไท่ผิงซาน ด้วยเหตุนี้จึงมีแผนการเล่นงานป้อมอินทรีบินที่ยืดยาวมานานหลายสิบปีครั้งนี้ อันดับแรกผู้เฒ่าที่ขอบเขตถดถอยสู่ประตูมังกรได้ลงมือทำลายสะพานอมตะของฮูหยินเจ้าปราสาทที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนให้ปริแตกมาตั้งแต่ตอนที่นางยังเด็ก การปริแตกนี้ลามไปอย่างต่อเนื่อง เกิดร่องลึกนับร้อยนับพัน มีเพียง ‘ช่วงสะพาน’ ตรงหัวใจเท่านั้นที่ยังคงสมบูรณ์แบบไร้ความเสียหาย ทำให้นางเป็นเหมือนเครื่องกระเบื้องใบหนึ่งที่รับเอาปราณหยินใต้ดินมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปราณหยินพวกนั้นยังตรงเข้าไปรวมตัวกันยัง ‘ตาน้ำพุ’ ในหัวใจของนาง สุดท้ายภายใต้การชักนำจากเวทลับของผู้เฒ่า ทารกผีที่หิวโหยตนนั้นจึงถือกำเนิดขึ้นมา
หากทำสำเร็จ ทารกผีแหวกหัวใจออกมาได้ เขาก็จะหาแคว้นเล็กๆ ห่างไกลจากสายตาของคนบนภูเขาสักสองสามแห่ง ผู้เฒ่าที่จะดีจะชั่วก็เป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรย่อมสามารถขึ้นเป็นราชครู หรือไม่ก็หาหุ่นเชิดสองสามคนในราชสำนัก หรืออาจถึงขั้นควบคุมกษัตริย์ของแคว้นเล็กอย่างลับๆ ให้พวกเขาเปิดฉากทำสงครามใหญ่หลายๆ ครั้งเพื่อเลี้ยงทารกผีให้อิ่ม หนึ่งร้อยปีให้หลัง ทารกผีเลื่อนเป็นเซียนดิน ต่อให้เป็นไท่ผิงซานที่มีรากฐานลึกล้ำ แม้จะไม่ถึงขั้นล่มสลายเพราะการโจมตีของมัน แต่ก็ต้องสามารถทำให้ไท่ผิงซานบาดเจ็บเสียหาย สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมากได้แน่นอน
บุญคุณความแค้นของผู้ฝึกตนบนภูเขา เวลาหนึ่งร้อยปีไม่ถือว่านานเลยจริงๆ
ส่วนข้อที่ว่าช่วงเวลาระหว่างบุญคุณความแค้นนี้จะมีคนธรรมดาล่างภูเขาตายไปมากน้อยเท่าไหร่ บางคนกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าบนก้อนเมฆผู้นี้ แล้วก็มีคนที่ใส่ใจเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของไท่ผิงซานท่านนั้น
ทว่าเทพเซียนพสุธาที่มีความเห็นอกเห็นใจต่อมนุษย์โลกเช่นเขาก็ยังไม่อาจเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้ ถึงเวลาก็ได้แต่รอคอยความตาย เห็นได้ชัดว่ามหามรรคาไร้น้ำใจ ไม่แบ่งแยกว่าใครดีใครเลว
ส่วนผู้เฒ่ากวานสูง หลังจากเด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธ์ปล่อยหมัดออกมาสามครั้ง เขาก็ยังรู้สึกว่าน่าขำมากอยู่ดี ต่อให้พลังอำนาจจะโชติช่วงมากแค่ไหน แต่หากไม่มีขอบเขตที่สูงพอช่วยประคับประคอง ก็เป็นเหมือนหอเรือนกลางอากาศที่มองดูเหมือนงดงามเท่านั้น ทว่าผู้เฒ่ารู้สึกน้ำลายสออยากได้ชุดคลุมอาคมที่ส่องแสงทองอร่ามบนร่างของเด็กหนุ่มมากจริงๆ นี่เรียกว่าเป็นเรื่องน่าตกตะลึงระคนยินดีที่ใหญ่เทียมฟ้าอย่างแท้จริง ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเจอกับลูกนกหัดบินในยุทธภพที่มีอาวุธล้ำค่าติดกาย อีกทั้งยังไม่รู้จักทะนุถนอมชีวิตเช่นนี้
ของดี เป็นของดีจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจเป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนของแท้ชิ้นหนึ่ง
หรือว่าฮวงจุ้ยพลิกหมุนย้อนกลับ จึงได้เวลาที่ตนจะเจริญรุ่งเรืองบ้างแล้ว? ไม่ต้องเป็นหนูที่ขุดรูอยู่ตามดิน อีกทั้งยังจะได้คืนวันแห่งเกียรติยศอย่างในอดีตกลับคืนมาเร็วกว่ากำหนดด้วย?
ส่วนข้อที่ว่าเด็กหนุ่มชุดทองจะใช่ลูกหลานตระกูลเซียนหรือไม่ ผู้เฒ่าหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้ ขนาดไท่ผิงซานเขายังกล้าฉีกหน้า หนี้สินมากก็ไม่กลัวทับตัวตาย!
เมื่อเมฆดำลดต่ำลงมา คนของป้อมอินทรีบินก็เริ่มมึนหัวตาลาย คนแก่ เด็กและสตรีบางคนที่ร่างกายอ่อนแอ ปราณหยางไม่มากพอเริ่มอาเจียนกันแล้ว ตรอกเล็กตรอกใหญ่ บ้านหลังสูงบ้านหลังเตี้ยมีเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย ชายฉกรรจ์หลายคนที่ฝึกวรยุทธ์ของป้อมอินทรีบินแหงนหน้าเหม่อมองทะเลเมฆสีดำทะมึนที่กดทับลงมาเหนือศีรษะด้วยสายตาเหม่อลอย รู้สึกเพียงว่าแขนขาทั้งสี่คล้ายถูกบดขยี้เป็นผุยผง ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มบางคนที่จิตใจไม่มั่นคงก็ยิ่งไร้ความคิดจะต้านทาน ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ต่อให้วันนี้มีโอกาสผ่านพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ อนาคตวิถีวรยุทธ์ก็ย่อมขาดลงกลางคันเพราะสาเหตุนี้
และเมื่อความเคลื่อนไหวที่รุนแรงเหมือนแผ่นดินไหวเกิดขึ้นก็มีคนค้นพบว่าตรงสนามฝึกยุทธ์มีฝุ่นฟุ้งตลบ เกิดเป็นภาพงดงามจับตาที่แสงสีทองพร่างพราวอร่ามจ้า พายุหมัดแต่ละลูกประหนึ่งสายรุ้งที่เพิ่มพละกำลังความแข็งแกร่งมากขึ้นทุกขณะ ตอนแรกมีขนาดใหญ่เท่าแขนคน ใหญ่เท่าปากถ้วย แล้วก็ใหญ่เท่าปากบ่อน้ำ ยังคงทบทวีขึ้นเรื่อยๆ พลังอำนาจดุจผ่าลำไม้ไผ่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับว่ามีคนกำลังออกหมัดต่อยทะเลเมฆผืนนั้น
แล้วก็มีคนอดคิดแบบนี้ไม่ได้ว่า ‘คนผู้นั้นต้องอาศัยว่ามีวรยุทธ์สูงส่งแน่นอน ถึงได้กล้าออกหมัดเช่นนี้’
บนสนามฝึกยุทธ์
เฉินผิงอันไม่ได้ยืนอยู่เดิมทุกครั้งที่ปล่อยหมัดขึ้นฟ้า ทุกครั้งหลังจากออกหมัดเขาจะขยับเปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เดินนิ่งหกเก้าของหมัดเขย่าขุนเขาบวกกับปราณกระบี่สิบแปดหยุด แล้วก็ใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่รวมกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
หลังจากออกหมัดครั้งที่สิบ พลังอำนาจของหนึ่งหมัดก็สามารถข่มทับความเคลื่อนไหวของพื้นดินที่ถูกเท้ากระทืบไปได้อย่างสิ้นเชิง
พายุหมัดแล่นฉิวขึ้นไปบนฟ้าพร้อมหอบเอาเสียงลมและเสียงฟ้าผ่าไปด้วย กระเบื้องหลังคาบ้านทุกหลังรอบสนามฝึกยุทธ์ลั่นเปรี๊ยะๆๆ จากในสู่นอก ระเบิดแตกไล่มาทีละชั้น
ผนังรอบด้านที่มีเฉินผิงอันเป็นจุดศูนย์กลางปรากฎรอยปริร้าวยุ่งเหยิงเหมือนใยแมงมุมจำนวนมาก
บนพื้นหินสีเขียวของสนามประลองยุทธ์กลายเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่นานแล้ว ถูกเขาเหยียบให้เกิดหลุมตื้นลึกไม่เท่ากันสิบหลุม
เก้าหมัดแรกที่แม้ว่าพลังอำนาจของแต่ละหมัดจะทบทวีขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกครั้งก็ได้แค่ทะลวงทะเลเมฆให้เป็นรูโหว่ได้เท่านั้น ทว่าหมัดที่สิบกลับพุ่งชนเบาะที่ผู้เฒ่ากวานสูงนั่งโดยตรง แม้ว่าผู้เฒ่าจะตกใจเล็กน้อย และมองเด็กหนุ่มคนนี้เป็นบุคคลที่ต้องสังหารให้ได้ อีกทั้งยังต้องฆ่าเป็นคนแรกด้วย แต่เผชิญหน้ากับพลังหมัดอันน่าครั่นคร้ามนี้ เขาก็ยังไม่รู้สึกว่ารับมือได้ยาก กลับกันยังเกิดใจอยากเอาชนะ ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็นหนึ่งครั้งแล้วยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา แสงสีเขียวมรกตลูกใหญ่ผุดขึ้นกลางฝ่ามือส่องแสงสว่างไสว ครั้นจึงพลิกฝ่ามือตบลงไปข้างล่าง ปล่อยแสงสีเขียวปะทะเข้ากับพายุหมัดที่แหวกทะลวงทะเลเมฆเข้ามาพอดี
เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว เบาะรองนั่งสั่นคลอนน้อยๆ ทว่าทะเลเมฆที่อยู่ด้านใต้ผู้เฒ่ากวานสูงกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง
พายุหมัดจากสนามฝึกยุทธ์กับแสงสีเขียวสว่างจ้าที่ล้อมวนฝ่ามือผู้เฒ่าระเบิดแตกพร้อมกัน กลายมาเป็นสะเก็ดดาวนับพันนับหมื่น พายุหมัดสลายหายเข้าไปในทะเลเมฆที่อยู่ใกล้เคียง เป็นเหตุให้ทะเลเมฆสีดำสนิทที่เดิมทีหนักอึ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายคล้ายแท่นฝนหมึกที่ด้านในมีน้ำหมึกถูกฝนลงไปชั้นหนึ่งแล้วมีสะเก็ดผงสีทองปลิวตกเข้าไป เกิดเป็นเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ เหมือนเสียงเผาไหม้
ผู้เฒ่าสะบัดข้อมือ มองผ่านช่องโพรงทะเลเมฆที่ถูกหมัดต่อยทะลุเป็นรู ไล่สายตาไปตามลำแสงที่พุ่งทะลุจากทะเลเมฆเบื้องใต้ขึ้นสูงเหนือศีรษะ หลุบตาต่ำมองไปยังสนามฝึกยุทธ์ที่ห่างไปแค่สามสิบจั้งแล้วหัวเราะด้วยเสียงน่าสะพรึงกลัว “เจ้าตัวดี อายุน้อยๆ เพียงเท่านี้ หากอยู่ล่างภูเขาก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่ครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่งได้แล้ว แต่ดันไม่อยู่ในวรยุทธ์ของเจ้าให้ดี ดึงดันตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าผู้อาวุโส ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
ระหว่างที่พูดผู้เฒ่าสวมกวานสูงก็ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันแล้วกรีดเบาๆ ไปยังบริเวณใกล้เคียงกับกวานสูงที่วาดภาพขุนเขาทั้งห้าเอาไว้ ดึงสัจธรรมจากขุนเขาบูรพาลูกหนึ่งในยุคบรรพกาลออกมาหนึ่งเสี้ยว มันพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ตอนแรกที่ออกห่างจากห้าขุนเขายังเป็นยอดเขาจิ๋วขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ รอจนร่วงไปถึงปลายเท้าของผู้เฒ่า ขนาดกลับไม่เป็นรองเบาะใบนั้นแล้ว หลังจากลอดผ่านช่องโพรงทะเลเมฆไปได้ก็ขยายหญ่เท่าโต๊ะตัวหนึ่ง ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังอย่างสาสมใจถึงขีดสุด “ทำตัวเป็นเต่าหดหัว อดทนมาตั้งหลายปี สวรรค์ไม่ละเลยคนมีความตั้งใจจริงๆ ในที่สุดโชคก็เข้าข้างข้าผู้อาวุโส ขอแค่บดขยี้เลือดเนื้อและลมปราณของเจ้าได้อย่างสิ้นซาก ไม่เพียงแต่ทารกผีจะแหวกด่านหัวใจเผยกายบนโลกได้ในเสี้ยววินาที ยังสามารถเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตชมมหาสมุทรได้โดยตรงด้วย!”
บนสนามฝึกยุทธ์ เฉินผิงอันมองเห็นขุนเขาดิ่งลงมาจากท้องฟ้าก็ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ตอนที่เจียวหลงทะเลเมฆตรงบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนนครมังกรเฒ่ากระโจนเข้าใส่ อานุภาพไม่ด้อยกว่าวิชาอภินิหารตระกูลเซียนนี้เลยสักนิด เขาก็ยังปล่อยหมัดต่อยพวกมันกลับไปไม่ใช่หรือ?
ลมปราณผุดพุ่งแผ่ไพศาล
ปณิธานหมัดหนาข้นเปี่ยมล้น ยืนหยัดในหนึ่งหมัดทำลายหมื่นอาคม
ชุดคลุมอาคมสีทองโบกสะบัดพัดไปตามสายลม ยิ่งขับดันให้เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงดูเหมือนเทพเซียนบนภูเขาเป็นครั้งแรกในชีวิต
—–