กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 305.1 ก้มหน้ามองบ่อ เงยหน้ามองฟ้า
เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าการเดินทางในยุทธภพครั้งนี้ต้องใช้เวลานานถึงครึ่งปี หาใช่ว่าเส้นทางการตามหาอารามกวานเต๋ายาวไกลเกินไป แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันอาศัยการชี้นำจาก ‘ปราณยาว’ ที่สะพายอยู่ด้านหลัง เดินวนไปวนมาอยู่ในนครใหญ่โตแห่งหนึ่งเป็นเวลานานถึงสามเดือนเต็ม แต่ก็ยังหาอารามกวานเต๋านั่นไม่เจอ เมื่ออยู่ในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนี้ เฉินผิงอันสอบถามทั้งคนเดินเท้า พ่อค้าแผงลอย ชาวยุทธ์ในยุทธภพ หัวหน้าหน่วยคุ้มกัน หรือแม้กระทั่งขุนนางในที่ว่าการต่างๆ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยได้ยินชื่อของอารามเต๋าแห่งนี้มาก่อน เฉินผิงอันพลิกเปิดตำราประวัติศาสตร์ อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ และผลงานส่วนบุคคลหลากหลายชนิด แต่ก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆ ผลเก็บเกี่ยวเดียวที่ได้รับมาก็คือเฉินผิงอันพอจะพูดภาษาทางการของแคว้นหนันเยวี่ยนได้บ้างแล้ว
แล้วก็เป็นอย่างนี้ไปตั้งแต่ปลายฤดูใบไม้ร่วงจนถึงวันที่หิมะเท่าขนห่านตกหนัก เดินไปจนถึงสายฝนโปรยปรายในฤดูใบไม้ผลิ รอจนกระทั่งหน้าร้อนมาเยือน เฉินผิงอันก็พอจะแน่ใจได้แล้วว่าทางเข้าของอารามเต๋าอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ เพียงแต่ว่ายังหาประตูเข้าไม่เจอ
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่มีจิตใจหนักแน่นเด็ดเดี่ยวก็ยังเริ่มสั่นคลอนและหงุดหงิดบ้างแล้ว
ช่วงระยะเวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันได้พบเห็นอะไรแปลกๆ มากมาย เคยเห็นชุดกระโปรงสีเขียวตัวหนึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศยามค่ำคืน มันเหมือนสาวงามที่กำลังร่ายระบำ ชายแขนเสื้อพลิ้วสะบัดราวสายน้ำไหล
และยังเคยเจอกับหลวงจีนที่พบเห็นได้ไม่ง่ายในแจกันสมบัติทวีป ในแคว้นหนันเยวี่ยนศาสนาพุทธได้รับความนิยมอย่างมาก ทุกสถานที่จะต้องมีวัดวาอารามตั้งอยู่ เฉินผิงอันรู้ว่าพระสงฆ์ทั้งหลายให้ความสำคัญกับเรื่องการห่มจีวร รวมไปถึงความแตกต่างมากมายระหว่างพระสงฆ์ผู้ท่องพระคัมภีร์ พระสงฆ์ผู้อธิบายพระคัมภีร์ พระสงฆ์ผู้ถ่ายทอดพระธรรมและพระผู้ปกปักษ์รักษาศาสนาพุทธ มีครั้งหนึ่งที่ออกไปผ่อนคลายอารมณ์นอกเมืองหลวง เขาได้ติดตามหลวงจีนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับคำสั่งจากราชสำนักให้ไปเยือนสนามรบที่มีการรบราฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดอยู่ไกลๆ เฉินผิงอันเห็นกับตาตัวเองว่าเมื่อพระสงฆ์ผู้ท่องพระคัมภีร์หลายร้อยท่านนั่งลงบนเบาะดอกบัว พวกเขาจะถอดรองเท้าหุ้มแข้งออก เปลือยเท้าเดินก้มหน้าพนมมือ ระหว่างที่เท้าทั้งสองข้างก้าวเดิน รวมไปถึงระหว่างที่ริมฝีปากขยับเปิดและปิดก็จะมีดอกบัวสีขาวหิมะหลายดอกผุดขึ้นมา พระสงฆ์ทุกรูปล้วนถือลูกประคำหนึ่งวงไว้ในฝ่ามือ หากมีผีร้ายเข้ามาก่อกวนก็จะถูกแสงสีทองที่แผ่ออกมาจากลูกประคำโจมตีให้ถอยร่นออกไป
แสงสีทองของลูกประคำสว่างเจิดจ้าส่งให้ภาพลักษณ์ของหลวงจีนยิ่งเคร่งขรึมสง่างาม แต่ละย่างก้าวล้วนมีดอกบัวผลิบาน
ชักนำให้วิญญาณที่มีแรงอาฆาตคาดท่วมเทียมฟ้าหลายหมื่นตนเดินตามพวกเขาไปยัง ‘ด่านประตูผี’ อันเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับโลกแห่งความตาย
สุดท้ายเฉินผิงอันก็นั่งอยู่ห่างๆ สิบนิ้วพนมเข้าหากัน ก้มหน้าลงต่ำไม่พูดไม่จาเลียนแบบหลวงจีนเหล่านั้น
หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวง เฉินผิงอันก็ยังหาอารามกวานเต๋าไม่เจอ และในขณะที่เฉินผิงอันกัดฟันเตรียมจะแอบเข้าไปยังวังหลวงนั้นเอง วันนี้พระอาทิตย์ร้อนแรงส่องแสงอยู่กลางนภา เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ก้มหน้ามองลงไปเห็นว่าบ่อน้ำแห่งนี้ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง มืดสนิทไร้แสงสว่าง
เฉินผิงอันมองอยู่ครู่หนึ่ง
เพียงแต่ว่าก็ยังมองอะไรไม่ออกอยู่ดี จึงดึงสายตากลับแล้วเตรียมจะออกไปเดินเตร่ข้างนอกอีกครั้ง
หันกลับมามองบ่อน้ำแวบหนึ่งก็รู้สึกว่าเมื่อครู่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายจะค่อนข้างเย็นสบายกว่า
……
หลังจากต่อสู้ไปกับไช่จิงเสินที่คนต้าสุยให้ความเคารพนับถือ ชุยตงซานก็ได้รับตำแหน่งบรรพบุรุษตระกูลไชมาฟรีๆ ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาอย่างสุขสบายยิ่งบวกกับที่เนื้อหนังมังสาอันเป็นเปลือกนอกนี้ของชุยตงซานมีไฝแดงกลางหว่างคิ้ว หน้าตาหล่อเหลาท่วงท่าสง่างาม เขาจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอย่างยิ่ง
ชุยตงซานสามารถเดินไปไหนมาไหนในสำนักศึกษาซานหยาได้ตามใจชอบ ข้างกายจะต้องมีสาวใช้คนหนึ่งนามว่าเซี่ยเซี่ยติดตามมาด้วยเสมอ วันนี้คนทั้งสองไปฟังบทเรียนวิชาหลักการในคัมภีร์ที่อาจารย์เฒ่าคนหนึ่งเป็นผู้สอน ฟังไปได้แค่ครึ่งเดียว ชุยตงซานที่เดิมทีนอนฟุบอยู่บนขอบหน้าต่างด้านนอกก็หลับไปซะแล้ว เซี่ยเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างกายไม่กล้ารบกวนความฝันของคุณชายตัวเอง เป็นเหตุให้นักเรียนในห้องต้องพากันกลั้นยิ้มอย่างยากลำบาก อาจารย์ผู้เฒ่าคิดอยากจะหยิบไม้บรรทัดมาฟาดให้ชุยตงซานหัวโนเป็นซาลาเปา แต่พอคิดได้ว่าขนาดไช่จิงเสินก็ยังพาคนทั้งตระกูลหนีออกไปจากเมืองหลวง อาจารย์ผู้เฒ่าก็ได้แต่ข่มกลั้นความโมโหไว้ในใจ เดี๋ยวกลับไปจะต้องไปพูดกับรองเจ้าขุนเขาเหมาเสี่ยวตงสักหน่อย จะไม่อนุญาตให้ชุยตงซานเข้ามาใกล้คาบเรียนของตนอีกแล้ว
หลังจากที่สะดุ้งโหยงคล้ายตื่นจากฝันร้าย ชุยตงซานก็ลืมตาขึ้น เหม่อลอยอยู่พักใหญ่กว่าจะคืนสติ แล้วจึงเดินอาดๆ พาสาวใช้เซี่ยเซี่ยกลับไปที่พักด้วยกัน
รอจนเซี่ยเซี่ยปิดประตูบ้าน ชุยตงซานก็ถอดรองเท้าหุ้มแข้งก้าวข้ามผ่านธรณีประตู สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ไอหมอกก็ลอยอวลขึ้นมา สุดท้ายกลายเป็นภาพแผนที่ของแจกันสมบัติทวีป
ชุยตงซานยกมือข้างหนึ่งกอดอก อีกข้างหนึ่งบีบปลายคางของตัวเอง เขาขยับมายืนตรงต้าสุยที่อยู่เหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป ก่อนจะไล่เส้นสายตามองไปทางทิศใต้ ข้ามผ่านแคว้นหวงถิง อาณาเขตของต้าสุยไปหยุดอยู่ที่แถบสำนักศึกษากวานหู แคว้นไช่อีและแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลาง สุดท้ายอยู่ๆ เขาก็นอนคว่ำลงไปบนพื้น กวาดตามองซ้ายมองขวา
เซี่ยเซี่ยนั่งพิงอยู่ตรงกรอบธรณีประตูด้านนอก แผนที่แผ่นนี้ใหญ่โตจนเกือบจะยึดครองพื้นที่ของทั้งห้อง หากนางเข้าไปต้องโดนด่าแน่นอน หรืออาจจะโดนตีด้วยซ้ำ
ชุยตงซานนอนฟุบคว่ำอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา แต่ปากก็ถามเหมือนชวนคุยว่า “เจ้าว่าตอนนี้ในอาณาเขตของต้าสุย ในราชสำนัก ยุทธภพ บนภูเขา ล่างภูเขา มีใครกล้าด่าฮ่องเต้ว่าเป็นทรราชที่ไม่ยอมทำสงครามแต่ดันขอร้องศัตรู ยอมแบ่งพื้นที่ของแคว้นให้ศัตรูเพียงเพราะหวังความปรองดองหรือไม่?”
เซี่ยเซี่ยตอบตามสัตย์จริง “ข้าไม่รู้เรื่องราวภายนอก แต่หากเป็นในสำนักศึกษา เหล่าอาจารย์ที่ถือกำเนิดในต้าสุยส่วนใหญ่ก็แค่ขมวดคิ้วถอนหายใจ แต่กลับไม่เคยได้ยินว่ามีใครด่าทอหยาบคาย”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืนยิ้มตาหยีกล่าวว่า “บัณฑิตมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ด่ากษัตริย์ ด่าแค่ขุนนางกังฉิน ขันทีที่กุมอำนาจ ปีศาจจิ้งจอก พระญาติฝ่ายภรรยา ด่าฟ้าด่าดิน ด่าพ่อด่าแม่…แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดที่ตายตัว คนที่กล้าด่าฮ่องเต้ย่อมต้องมีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคนที่ด่าได้ดี ด่าถูกจุดนั้นมีน้อยมาก”
เซี่ยเซี่ยชินกับการอยู่ร่วมกับชุยตงซานแล้วจึงตอบอย่างขอไปทีว่า “คุณชายปราดเปรื่อง”
นางตอบอย่างขอไปทีจริงๆ เป็นการตอบประเภทที่ว่าไม่คิดจะเก็บอารมณ์สักนิดเดียว อย่าว่าแต่ราชครูต้าหลีที่เป็นดั่ง ‘ปีศาจด้านภาษา’ (เปรียบเปรยถึงนักประพันธ์หรือผลงานที่มีอิทธิพลต่อแนวความคิดดั้งเดิมของสังคม) ‘จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์’ เลยขนาดคนอย่างหลี่ไหวที่ไม่สนใจอะไรก็ยังมองออกได้ในปราดเดียว
แต่ชุยตงซานกลับไม่ถือสาเรื่องนี้
ชุยตงซานยกมือสองข้างเท้าเอว อ้าปากกว้างแล้วสูดแรงๆ หนึ่งครั้ง ไอหมอกที่เป็นภาพแผนที่แผ่นนั้นก็หายพรวดเข้าไปในท้องของเขา
จากนั้นชุยตงซานก็ยกมือสองข้างขึ้นทำท่าอ้าปากกว้างกางกรงเล็บคล้ายพยัคฆ์คำราม
ทำเอาเซี่ยเซี่ยที่มองดูอยู่ถึงกับปากกระตุก
ชุยตงซานชายแขนเสื้อตัวเองพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “สมกับคำว่ากลืนปราณหมื่นลี้ดุจดังพยัคฆ์จริงๆ ร้ายกาจๆ”
สาวใช้เซี่ยเซี่ยได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองไม่กล้ากรอกตามองบน
นางพลันหันไปมองทางกำแพงสูงของบ้าน ไม่ว่าในราชสำนักต้าสุยจะมีกระแสคลื่นใต้น้ำไหลรุนแรงอย่างไร ทว่าภูเขาตงซานและสำนักศึกษาแห่งนี้กลับมีวันเวลาที่สันติสงบสุข
แต่บัดนี้กลับมีแสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งมาถึงด้านนอกเรือน
เงียบกริบและไวดุจสายฟ้าแลบ
แม้ว่าจะเล็กบางมาก ถึงขั้นบางกว่าผมสีนิลหนึ่งเส้นของหญิงสาวเซี่ยเซี่ยด้วยซ้ำ แต่เมื่อเส้นสีทองเส้นนี้ปรากฏขึ้นมาอากาศ บรรยากาศในเรือนก็เปลี่ยนจากความเย็นสบายของปลายฤดูใบไม้ร่วงเป็นร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนรู้สึกราวกับอยู่กลางแสงแดดแผดเผา
เซี่ยเซี่ยปากอ้าตาค้าง ปรับตัวไม่ทันเลยสักนิด
ในหัวสมองของนางว่างเปล่า แม้ว่าอุณหภูมิในบ้านจะร้อนระอุ แต่เซี่ยเซี่ยกลับรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัว นางหันหน้ากลับไปมองอย่างแข็งทื่อก็เห็นเพียงว่าหว่างคิ้วของชุยตงซานถูกแสงสีทองเส้นนั้นทะลุผ่านไปพอดี เขาหงายหลังล้มตึงลงบนพื้นแล้ว
ต้องเป็นการลอบฆ่าจากเทพเซียนพระสุธาท่านหนึ่งแน่นอน!
น้ำเสียงแก่ชราที่เต็มไปด้วยความสะใจดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ “ปีศาจที่สร้างความวุ่นวายให้แก่บ้านเมือง ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!”
ห่างออกไปไกลยิ่งกว่ามีเสียงของเหมาเสี่ยวตงรองเจ้าขุนเขาที่เป็นดั่งเจ้าของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้แผดเสียงคำรามอย่างเดือดดาล “บังอาจมาลอบฆ่าคนในสำนักศึกษาของข้ารึ?!”
สีหน้าเซี่ยเซี่ยอึ้งค้าง ยังคงอยู่ในท่านั่งเอนพิงกรอบประตู นางเหม่อมองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ล้มแล้วไม่ลุกขึ้นมาอีก ตายทั้งอย่างนี้นะหรือ?
ไหล่ถูกคนตบเบาๆ เซี่ยเซี่ยพลันสะดุ้งคืนสติ ร่างกายหดเกร็ง ขณะเดียวกันกับที่หันไปก็เตรียมจะใช้หลังมือฟาดอีกฝ่าย
แต่เซี่ยเซี่ยก็ต้องรีบเก็บมืออย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ
ที่แท้ชุยตงซานมายืนอยู่ตรงหน้านาง กำลังค้อมเอวมองประสานสายตากับนาง เขาหรี่ตาลงมือ หนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยื่นนิ้วชี้มาจิ้มบนหน้าผากของเซี่ยเซี่ยเบาๆ ผลักให้นางล้มหงายเข้าไปในห้อง แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ก็คือร่างของเซี่ยเซี่ยนอนหงายอยู่บนพื้นแล้ว ทว่าดวงวิญญาณที่ล่องลอยกลับยังอยู่ที่เดิม นางถูกชุยตงซานใช้เวทลับป่าเถื่อนบังคับให้ร่างและวิญญาณแยกออกจากกัน วิญญาณเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ ไม่อาจทนรับการทำลายจากปราณหยางได้จึงใกล้จะแหลกสลายเต็มที่
ชุยตงซานมองประเมินดวงวิญญาณของเซี่ยเซี่ย สุดท้ายเขาก็ค้นพบความผิดปกติในช่องโพรงลมปราณบางแห่งของนาง จึงพูดยิ้มๆ ว่า “คิดจะมาเล่นไล่จับกับข้า อ่อนหัดไปหน่อยไหม?” จากนั้นเขาก็ประกบนิ้วสองข้างเป็นท่าคีบเหมือนเวลาคีบเม็ดหมาก ดึงเอาแสงสีเขียวเข้มเส้นหนึ่งออกมาจากดวงวิญญาณของเซี่ยเซี่ย แล้วบีบมันให้ระเบิดแตกอยู่ในร่องนิ้ว ร่างกายที่สูญเสียความรู้สึกเพราะจิตวิญญาณถูกอยู่ดึงไปเหมือนปลาบนเขียงที่กระตุกดีดเด้งอย่างแรง
ชุยตงซานฟาดฝ่ามือตบลงไป ‘บนใบหน้า’ ดวงวิญญาณของเซี่ยเซี่ย ด่ายิ้มๆ ว่า “นังคนมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ไสหัวกลับไปได้แล้ว”
ดวงจิตกลับคืนสู่ตำแหน่ง เซี่ยเซี่ยค่อยๆ ฟื้นคืนสติ นางปวดหัวจนแทบระเบิด ดิ้นรนลุกขึ้นนั่ง มือหนึ่งยันพื้น อีกมือหนึ่งกุมศีรษะ เจ็บปวดจนน้ำตาไหลอาบหน้า
ชุยตงซานก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตู ก้มตัวลงไปหยิบยันต์หุ่นเชิดแทนตัวที่ระดับสูงมากในห้องแผ่นนั้น ใช้นิ้วขยี้ให้เป็นเถ้าธุลี แล้วจึงหันหน้ามาพูดยิ้มๆ “เหมาเสี่ยวตง เรื่องแบบนี้เจ้าก็ทนได้หรือ?! คนอื่นเค้ามาขี้มาเยี่ยวในบ้านของเจ้าแล้ว!”
ระหว่างที่กำลังไล่สังหาร เสียงแค่นหัวเราะเย็นชาของเหมาเสี่ยวตงดังแว่วเข้ามาในเรือนหลังเล็ก “ใช่ เจ้าก็คือขี้กองนั้น!”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “ข้าเดินไปเดินมาอยู่ทุกวัน ถ้าอย่างนั้นสำนักศึกษาซานหยาของพวกเราก็เป็นห้องน้ำน่ะสิ?”
เซี่ยเซี่ยไม่พูดอะไรสักคำ
ชุยตงซานก็คร้านที่จะอธิบายให้นางฟังถึงอันตรายและความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ เขานั่งขัดสมาธิขมวดคิ้วครุ่นคิดจริงจัง
เหตุใดสำนักศึกษากวานหูถึงยอมอดทนข่มกลั้นถึงเพียงนี้
การที่กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีเครื่อนพลลงใต้มาได้อย่างราบรื่น ไม่สอดคล้องกับการคาดการณ์ในปีนั้นของเขาอย่างยิ่ง ตามการคาดการณ์เดิม อย่างน้อยก็ต้องผ่านสงครามใหญ่ที่ยากลำบากสี่ครั้ง ครั้งหนึ่งคือรบกับราชวงศ์บนโลกมนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงกับภาคกลาง ครั้งหนึ่งคือแตกหักกับสำนักศึกษากวานหู อีกครั้งหนึ่งคือรบกับราชวงศ์ป๋ายซวงของทักษิณแจกันสมบัติทวีป ส่วนอีกครั้งหนึ่งก็คือรบกับกองกำลังบนภูเขาทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป
หรือว่านอกจากสำนักโม่ของต้าหลีแล้ว ในแจกันสมบัติทวีปยังมีกองกำลังอื่นที่แอบเดินทางกันเข้ามาอีกมาก?
น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้ตนไม่ใช่ราชครูของต้าหลีแล้ว จึงไม่อาจรับรู้ข่าววงในมากมายของบนยอดเขา แม้แต่ข้อที่ว่าคนที่เล่นหมากกระดานนี้คือใคร วิธีการเล่นเป็นอย่างไร ทุกอย่างก็ล้วนอาศัยการคาดเดาเอาทั้งนั้น
จู่ๆ ชุยตงซานก็ถามขึ้นว่า “เคยคิดจะไปลงหลักปักฐานอยู่ที่หลงเฉวียนต้าหลีบ้างหรือไม่?”
เซี่ยเซี่ยส่ายหน้า “ไม่เคย”
เหมาเสี่ยวตงผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในบ้าน “คือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ไม่รู้ที่มาคนหนึ่ง เขาหนีไปได้แล้ว”
ชุยตงซานไม่สนใจเลยสักนิด พูดยิ้มๆ ว่า “ครั้งนี้ก็เป็นแค่การหยั่งเชิงเท่านั้น เจ้าระวังพวกอาจารย์และลูกศิษย์ในสำนักศึกษาให้ดีเถอะ บนโลกมักจะมีคนดีที่คิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ คนเหล่านี้มักจะคิดว่าเรื่องราวทางโลกควรโคจรไปตามความคิดของพวกเขา หากสำนักศึกษาตั้งตนเป็นศัตรูกับเมืองหลวงต้าสุยขึ้นมา พันธมิตรภูเขาที่ลงนามกันไปสองครั้งระหว่างสกุลเกาและสกุลซ่งก็อาจจะถูกยกเลิกด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้”
เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “จะให้ปิดภูเขาจริงๆ หรือ?”
ส่วนเรื่องลอบฆ่าในวันนี้จะเป็นความคิดของภูเขาบางแห่งในต้าสุย หรือเป็นคนที่มีแค้นส่วนตัวกับ ‘ชุยฉาน’ ความต่างก็ไม่มากนัก เพราะความเป็นไปได้ที่ชุยตงซานพูดถึงไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นกันได้เลย
ชุยตงซานหัวเราะเสียงเย็น “ทำไม รู้สึกเสียหน้าอย่างนั้นหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงที่ตัดสินใจได้แล้วหมุนตัวจากไปทันที
ชุยตงซานพูดยิ้มๆ “เหมาเสี่ยวตง ถ้าเจ้าพูดว่าตัวเองคือขี้กองหนึ่ง หากเกิดเรื่อง ข้าจะยื่นมือช่วยเหลือสำนักศึกษา”
เหมาเสี่ยวตงหันหน้ากลับมาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าคือขี้กองหนึ่ง”
ชุยตงซานกล่าวอย่างขุ่นเคือง “หากข้าพูดว่าตัวเองคือขี้สองกอง จะเอาคำพูดก่อนหน้านี้คืนมา จากนั้นก็นั่งดูไฟชายฝั่งอย่างสบายอารมณ์ได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปากทิ้งสองคำว่า ‘ไม่ได้’ เอาไว้แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที ทิ้งตัวไปด้านหลัง ร่างกระแทกพื้นดังตึง นิ้วทั้งสองข้างประกบกันวางตั้งไว้ด้านหน้า ปากก็ท่องว่า “จงรีบมารับคำสั่ง ณ บัดนี้” จากนั้นก็กลิ้งตัวเข้าไปในห้องด้วยท่านั้น
เซี่ยเซี่ยแอบปาดเหงื่อบนหน้าผากเบาๆ
ชุยตงซานหยุดการกระทำที่เหมือนเด็กลง เขานอนตัวแข็งทื่อเหมือนศพอยู่บนพื้น แต่กลับพูดด้วยภาษาที่เหมือนเด็กยิ่งกว่า “อาจารย์ เมื่อไหร่ท่านจะกลับมา ศิษย์ถูกคนรังแกแล้ว”
เซี่ยเซี่ยระอาใจอย่างยิ่ง
ชุยตงซานโงหัวขึ้นมาถามว่า “คิดว่าคุณชายของเจ้าอย่างข้ากำลังทำตัวน่าตลกใช่ไหม?”
เซี่ยเซี่ยลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ
ชุยตงซานพลิกตัวนอนตะแคงข้าง เอามือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ พูดกลั้วหัวเราะ “หากมีเฉินผิงอันอยู่ด้วย ไม่ว่าตบะของเขาจะสูงหรือไม่ ข้าแค่ออกแรงก็พอแล้ว ถ้าทำถูกก็ไม่โดนด่า หรือทำผิดก็แค่โดนด่า ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย ส่วนเจ้าเองก็จะโดนข้าตีน้อยลง เจ้าคนแล้งน้ำใจอย่างอวี๋ลู่แค่ดูเรื่องสนุกก็พอ หลินโส่วอีก็สามารถตั้งใจฝึกตนได้อย่างเดียว หลี่ไหวเป็นเด็กขี้ขลาดก็ยิ่งมีเหตุผลให้ขี้ขลาดเข้าไปอีก เพราะถึงอย่างไรก็มีเฉินผิงอันคอยปกป้องเขา”
“เอาเป็นว่าไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรในใจ ทุกอย่างก็ล้วนมีอาจารย์ของข้าคอยแบกรับให้”
ชุยตงซานรู้สึกขี้เกียจจึงไม่พูดอะไรอีก
เซี่ยเซี่ยรู้สึกสงสัยใคร่รู้จึงเผยท่าทางเหมือนแม่นางน้อยที่ชื่นชอบสวมชุดสีแดงออกมา
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งครั้ง “คาดว่าคงมีแต่เสี่ยวเป่าผิงกระมังที่รู้สึกสงสารอาจารย์ของข้า”
ชุยตงซานร้องโอ้ยหนึ่งทีแล้วเริ่มกลิ้งตัวไปมาอีกครั้ง มือข้างหนึ่งกุมไว้ตรงหัวใจ ปากพร่ำพูดว่า “พอคิดถึงเรื่องนี้ข้าก็เจ็บปวดหัวใจจะตายอยู่แล้ว”
—–