กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 305.2 ก้มหน้ามองบ่อ เงยหน้ามองฟ้า
หลังจากผ่านเรื่องการลอบฆ่าอันเป็นคลื่นมรสุมในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ภายใต้การยืนกรานของเหมาเสี่ยวตงรองเจ้าขุนเขาก็ได้เริ่มมีการปิดภูเขา ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ นักเรียนหรือคนงานที่อยู่ด้านบนล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก รองเจ้ากรมพิธีการแห่งต้าสุยหรือเจ้าขุนเขาในนามค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ฮ่องเต้กลับให้การสนับสนุน อวี๋ลู่กทั้งยังส่งข้ารับใช้ใกล้ชิดหลายคนให้ไปแฝงตัวอยู่บริเวณโดยรอบภูเขาตงซานอย่างลับๆ รวมถึงยังบอกให้องค์ชายเกาเซวียนมาเข้าเรียนในสำนักศึกษาอย่างเป็นทางการด้วย
วันนี้เกาเซวียนมาตกปลาข้างทะเลสาบร่วมกับเพื่อนสนิทอย่างอวี๋ลู่อีกครั้ง
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ในที่สุดอวี๋ลู่ก็มอบความจริงใจให้แก่เกาเซวียนด้วยการบอกสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือสถานะของเขาที่เป็นรัชทายาทของอดีตราชวงศ์ก่อนอย่างราชวงศ์สกุลหลู อีกเรื่องหนึ่งก็คือวิถีวรยุของเขาคือขอบเขตเจ็ด
พอเกาเซวียนได้ยินเรื่องนี้ก็ร้องออกมาสองเสียง เสียงแรกคืออ้อ เสียงสองคือว้าว
ตอนนั้นดวงตาขององค์ชายต้าสุยเป็นประกายวาววับ เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในการเลือกคบสหายของตัวเอง
อวี๋ลู่ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ในเมื่อคนอื่นยื่นผลท้อให้ก็ควรจะยื่นผลหลีตอบแทน ด้านเกาเซวียนเองก็พูดถึงเรื่องราวน่าอายในตระกูลของตัวเองหลายเรื่องเช่นกัน เวลาที่อยู่กับสตรี คนโดยมากมักจะหวังให้ตัวเองดีงามพร้อมสรรพไปทุกเรื่อง แต่เมื่ออยู่กับบุรุษ คนที่ไม่สนใจข้อบกพร่องของตัวเอง ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ ก็แสดงว่าเขาต้องมองเห็นตนเป็นสหายแล้ว
คนสองคนที่อายุเท่ากัน คนหนึ่งถือเบ็ดตกปลาไม้ไผ่เขียวหนึ่งคัน รอให้ปลามากินเบ็ดอยู่เงียบๆ เกาเซวียนถามขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าเล่าให้ฟังว่าเป่าผิงเรียกประชุมใหญ่แห่งยุทธภพไม่ใช่หรือ? ข้าเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษานานขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่เคยเห็นเจ้าไปเข้าร่วมอีกเลย?”
“เป่าผิงจัดประชุมอยู่สามครั้ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เรียกประชุมพวกผู้ชายอีก คนอื่นคิดอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย”
เกาเซวียนชี้ไปทางเส้นทางเล็กๆ บนชายฝั่งแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลี่ไหวอยู่ตรงนั้น”
อวี๋ลู่ไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง
ไม่จำเป็นต้องมองก็รู้ได้ว่าหลี่ไหวต้องพาเด็กน้อยสองคนเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่ง คนหนึ่งคือลูกหลานตระกูลยากจนที่นิสัยร่าเริงและค่อนข้างจะเกเรเล็กน้อย อีกคนหนึ่งคือคุณชายที่เป็นหลานของตระกูลขุนนางซึ่งสืบทอดอำนาจกันมาหลายรุ่นหลายสมัย แต่กลับมีนิสัยขี้ขลาดเก็บตัว ไม่รู้ว่าคนทั้งสามมาจับกลุ่มอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ทุกวันตัวติดกันไม่ห่าง ว่ากันว่าภายใต้ข้อเสนอของเด็กบ้านยากจนคนนั้น เจ้าตัวน้อยทั้งสามยังตัดหัวไก่เผากระดาษเหลือง กราบไหว้กันเป็นพี่น้องอีกด้วย คำว่าหัวไก่ที่พูดถึงนี้ เอาเข้าจริงก็เป็นแค่นกกระจิบที่ไปจับมาจากบนต้นไม้ ส่วนกระดาษเหลืองก็คือหน้าหนังสือที่แอบฉีกมาจากตำราในหอเก็บหนังสือ หลังจากเรื่องแดงขึ้นมา คนทั้งสามยังถูกอาจารย์ที่สอนตีจนก้นลาย
คนทั้งสามที่อยู่ริมทะเลสาบใช้กิ่งไม้ในมือแทนดาบและกระบี่ เจ้าฟาดมาข้าฟาดกลับ วิ่งตะบึงผ่านไป แน่นอนว่าหลี่ไหวต้องเห็นอวี๋ลู่ที่นั่งตกปลาอยู่ริมชายฝั่งอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ เขาก็ยังไม่เอ่ยทักทายอวี๋ลู่
หากเป็นหลินโส่วอี บางทีหลี่ไหวอาจจะมาคุยด้วยคำสองคำ แต่สำหรับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยแล้ว หลี่ไหวไม่ค่อยสนิทสนมด้วยนัก
ปีนั้นในกลุ่มคนที่เดินทางไกลมาต้าสุยเพื่อขอเรียนต่อ หลี่ไหวกับหลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีเป็นทั้งเพื่อนร่วมห้องเรียน และยังเป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน ความสัมพันธ์จึงสนิทสนมมากกว่าอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย
ทุกวันนี้หลินโส่วอีไม่ค่อยไปที่หอเก็บหนังสือแล้ว ทุกวันนอกจากจะไปเรียน เวลามากกว่านั้นใช้หมดไปกับการฝึกตนในเรือนหลังเล็กที่ได้อยู่แยกเพียงลำพัง เรือนหลังนี้อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านคุณธรรมช่วยขอกับทางสำนักศึกษามาให้เขา ผู้เฒ่าเองก็เป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน เขายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือหลินโส่วอี ไม่เพียงแต่ช่วยอธิบายความลี้ลับหลายอย่างในตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่หลินโส่วอีนำติดตัวมาด้วย ยังเอาตำราลับตระกูลเซียนหลายเล่มที่ตระกูลของตนเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมาให้ที่เรือนเล็ก ให้หลินโส่วอีได้เปิดอ่านตามใจต้องการ หากอาจารย์ผู้เฒ่ามีเวลาว่างก็จะมาช่วยไขข้อข้องใจให้กับหลินโส่วอีที่เรือนเล็ก
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เรียกขานกันเป็นอาจารย์และศิษย์ แต่กลับมีพฤติกรรมเหมือนอาจารย์และศิษย์กันจริงๆ
นอกจากจะศึกษาหลักการในคัมภีร์และตำราต่างๆ ที่น่าเบื่อหน่ายแล้ว ความคิดส่วนใหญ่ของหลินโส่วอีก็ล้วนอยู่ที่การฝึกตน
จิตใจมุ่งมั่นอยู่กับมรรคา
……
ฤดูใบไม้ร่วงอากาศหนาวเย็น ในสำนักศึกษามีแม่นางน้อยอยู่คนหนึ่งที่แค่เปลี่ยนจากชุดกระโปรงสีแดงบางๆ มาเป็นชุดที่หนาขึ้นอีกนิด ส่วนชุดผ้าฝ้ายบุนวมนั้น ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเอามาใช้
นางยังคงมานั่งเหม่ออยู่บนต้นไม้สูงยอดภูเขาเพียงลำพังเป็นประจำ หรือไม่บางครั้งก็เอาขนมจุบจิบมากินแก้หิว บางครั้งเวลาที่เรียนวิชาซับซ้อน นางก็จะเอาหนังสือมานั่งท่องอยู่บนกิ่งไม้ เพื่อที่ว่าวันถัดไปจะได้ไม่ต้องถูกอาจารย์ลงโทษให้คัดตัวหนังสือ ยังดีที่ทุกครั้งพอนางมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็มักจะคัดบทความที่อาจารย์ต้องลงโทษให้คัดไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ตอนนี้ที่ห้องพักก็มีวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบไว้หลายปึก สะสมไว้ได้มากแล้ว
ดังนั้นนางที่อยู่ในสำนักศึกษาจึงมีฉายาว่า ‘แม่นางคัดตำรา’
วันนี้หลี่เป่าผิงนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งไม้ นับนิ้วมือคำนวณอย่างตั้งใจว่าตัวเองจากลากับอาจารย์อาน้อยมานานแค่ไหนแล้ว
นานขนาดนี้แล้ว ทำไมอาจารย์อาน้อยถึงยังไม่มาซักที?
สายตาของหลี่เป่าผิงหม่นแสงลงเล็กน้อย
ฮ่าๆ ในเมื่อผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ก็หมายความว่าขยับเข้าไปใกล้การได้พบเจอกันในครั้งหน้าแล้วใช่หรือไม่?
หลี่เป่าผิงอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง
ดังนั้นแม่นางน้อยชุดแดงจึงลุกขึ้นยืน กระโดดอยู่บนกิ่งไม้ พยายามให้ตัวเองมองไปได้ไกลๆ ไม่แน่ว่าโดยไม่ทันรู้ตัว อาจารย์อาน้อยอาจจะมาอยู่ที่ตีนเขาแล้วก็ได้
เสียงตุ้บดังขึ้น
หลี่เป่าผิงร่วงลงไปบนพื้นแล้ว ใบหน้ามอมแมมเนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น
ยังดีที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน รู้ดีว่าควรทำอย่างไรตนเองถึงจะตกลงมาไม่เจ็บ สุดท้ายหลี่เป่าผิงก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ร้าวระบมบวมช้ำไปทั้งตัวเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
แม่นางน้อยที่แสยะปากแยกเขี้ยวรีบหันไปมองรอบด้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครได้เห็นสภาพน่าอายของตนถึงได้เดินกะเผลกลงเขาไป
ตลอดทางมีคนไม่น้อยเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายนางก่อน หลี่เป่าผิงก็ตอบรับไปทีละคน
กลับมาถึงหอพัก เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงเริ่มคัดตำราอีกครั้ง หลี่เป่าผิงชำเลืองตามองไปยังสมบัติที่อยู่บนโต๊ะของตนแล้วยิ้มกว้างสดใส หึหึ คราวหน้าถ้าอาจารย์อาน้อยมาที่เมืองหลวงต้าสุย นางก็จะโดดเรียนได้สิบวัน หลังจบเรื่องหากอาจารย์มาคิดบัญชีด้วย นางก็จะยกภูเขาหนังสือลูกนี้ไปให้เขา
หลี่เป่าผิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองฉลาด มือหนึ่งจับพู่กันคัดหนังสืออย่างคุ้นเคย อีกมือหนึ่งชูนิ้วโป้ง ตาสองข้างเป็นประกาย จุ๊ปาก “พูดไม่เสียแรงที่เป็นผู้นำแห่งยุทธภพ เผด็จการน่าเกรงขามจริงๆ”
……
บนภูเขาลั่วพั่วเขตการปกครองหลงเฉวียน หลังจากได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เด็กชายชุดเขียวที่น้อยครั้งนักจะออกไปข้างนอกก็ไปที่เมืองเล็กเพื่อตอบจดหมายกลับด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จากนั้นก็ไปตามหาเว่ยป้อที่ตำหนักขุนเขาเหนือแห่งต้าหลีบนภูเขาพีอวิ๋นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
แต่พอกลับมาที่เรือนไม้ไผ่ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสังเกตเห็นว่าเขาดูไม่ค่อยร่าเริงนัก แม้จะไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร แต่ก็พอรู้ว่าเรื่องนั้นคงจะไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่
เด็กชายชุดเขียวไม่อยากเล่าให้นางฟัง เขาแค่ทอดถอนใจอยู่กับตัวเองริมหน้าผา แต่ไม่นานก็กลับมาฮึกเหิมกระปรี้กระเป่า เขาลงจากเขาไปที่เมืองเล็กอีกครั้ง แม้แต่ที่ว่าการอำเภอและจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาก็ยังแข็งใจแบกหน้าไปเยือน แต่ว่าตอนที่กลับมากลับมีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนเดิม ผ่านไปอีกสองวันก็ไปหาเจ้าเมืองอู๋ที่ที่ว่าการหลงเฉวียนซึ่งสร้างขึ้นใหม่นอกภูเขาใหญ่ทางทิศเหนือ
เด็กชายชุดเขียวยุ่งจนหัวหมุนอยู่หลายวัน ทำเอาเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่มองดูอยู่มึนงงไปหมด
แม้ว่าปกติเขาจะไม่ใช่คนที่เอาการเอางานอะไร แต่นางรู้ดีว่าเขาเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีตัวเองแค่ไหน อย่างเขาน่ะต้องเรียกว่าสายตามองสูงจนไม่เห็นหัวใคร เวลาปกติแม้แต่กับเว่ยป้อเองเขาก็ยังไม่ถูกชะตา อย่าเห็นว่าทุกครั้งเวลาเจอกับเทพภูเขาใหญ่เว่ย เขาจะคอยเลียแข้งเลียขาอยู่ตลอดเวลา เพราะพอประจบเสร็จแล้วหันหน้ากลับเมื่อไหร่เป็นต้องถมน้ำลายทิ้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนายอำเภอหยวน ผู้ตรวจการเฉาหรือเจ้าเมืองอู๋อะไรเลย
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอดไม่ไหวจึงถามไปหนึ่งคำ เขาก็พูดแค่ว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าจะเข้าใจกะผีอะไร จากนั้นก็ยกเก้าอี้ไม้ไผ่ไปนั่งอยู่ตรงริมหน้าผาเพียงลำพัง
ในที่สุดมีวันหนึ่งเด็กชายชุดเขียวก็กลับมาเดินอาดๆ อย่างมาดมั่นอีกครั้ง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกลัวเขาจะรังเกียจที่ตัวเองถามมากน่ารำคาญ จึงอดใจไว้ไม่เอ่ยถามอะไร แต่คราวนี้เด็กชายชุดเขียวอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ เป็นฝ่ายไปยกเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวมาไว้ใต้ชายคาด้วยตัวเอง นั่งไขว่ห้างแทะเมล็ดแตง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคิดในใจว่าสมองเขาคงไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนจนโง่ไปแล้วกระมัง?
เด็กชายชุดเขียวพูดด้วยรอยยิ้มฮึกเหิมว่า “เรื่องที่พี่เทพวารีไหว้วานให้ข้าทำ ข้าทำสำเร็จแล้ว! ส่งจดหมายไปให้ที่ศาลเทพแม่น้ำแคว้นหวงถิงแล้ว”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอึ้งตะลึง “เทพแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นต้องการให้เจ้าช่วยเรื่องอะไร?”
เด็กชายชุดเขียวยิ้มกว้าง “ก็ตอนนี้แคว้นหวงถิงเปลี่ยนเป็นแคว้นในอาณัติของต้าหลีแล้วใช่ไหมล่ะ พี่เทพแม่น้ำได้ยินว่าข้าอยู่ในต้าหลีมีชีวิตสุขสบายเจริญรุ่งเรือง เลยอยากจะขอให้ข้าช่วยเขาหาเส้นสาย นอกจากจะรับประกันว่าศาลเทพแม่น้ำของเขาจะไม่ถูกรื้อทิ้ง แล้วทางที่ดีที่สุดคือขอให้ต้าหลีมอบป้ายสงบสุขปลอดภัยให้แก่เขาหนึ่งแผ่น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะนับเป็นอะไรบ้าง นี่ข้าก็ทำสำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ?!”
ที่แท้เทพวารีของแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นก็ส่งจดหมายมาขอให้เขาช่วย ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะ เขียนบอกไปในจดหมายด้วยความมั่นใจว่าขอไห้พี่เทพวารีวางใจ เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง แค่รอฟังข่าวดีจากเขาก็พอ
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนินทาในใจว่า เรื่องเล็ก? แล้วที่ก่อนหน้านี้เจ้างุ่นง่านใจ ทำท่าทางน่าสงสารตั้งแต่เช้าจรดเย็นล่ะนับเป็นอะไร?
อีกอย่างเจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าตัวเองมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองอยู่ในหลงเฉวียนแห่งนี้? เพราะแม้แต่การตั้งใจฝึกตนของเจ้าก็ยังทำเพียงแค่เพื่อไม่ให้ถูกคนอื่นต่อยตายด้วยสองหมัดเท่านั้น
คาดว่าทุกครั้งที่ปลุกความกล้าลงไปจากภูเขาคงอกสั่นขวัญแขวนมากเลยกระมัง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามเบาๆ ว่า “เทพภูเขาเว่ยป้อเป็นคนจัดการปัญหาเรื่องนี้ให้เจ้าหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รอยยิ้มค่อนข้างจะฝืนใจ แต่ก็แสร้งพูดอย่างมาดมั่นว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้ากับเว่ยป้อมีความสัมพันธ์กันอย่างไร? สนิทกันถึงขนาดนี้แล้ว ทุกวันเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง แค่ช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้เว่ยป้อหรือจะกล้าพูดคำว่าไม่ ครั้งแรกที่ขึ้นไปเยือนตำหนักขุนเขาเหนือบนภูเขาพีอวิ๋นเป็นเพราะเหล่าเว่ยมีธุระต้องออกไปทำด้านนอก เจ้าไม่รู้อะไร เทพองค์อื่นในตำหนักบนภูเขาที่เป็นผู้ช่วยของเขาต่างก็เกรงใจข้ามาก ยกอาหารโต๊ะใหญ่มาเลี้ยงรับรองข้า ข้าบอกว่าไม่ต้อง พวกเขาก็ยังรั้งไม่ให้ข้าลงจากภูเขา เฮ้อ น่ากลุ้มใจจริงๆ …”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่ได้พูดอะไร
นางก็แค่ไม่อยากเปิดโปงคำคุยโวของเขาเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าเขาเป็นคนรักหน้าตาเสียยิ่งกว่าอะไร
เด็กชายชุดเขียวคุยโม้น้ำลายแตกฟอง หน้าบานเป็นกระด้ง เพียงแต่ว่าพูดมาถึงท้ายที่สุดกลับห่อเหี่ยวไม่สดชื่นเหมือนเก่า จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแทะเมล็ดแตงไปเงียบๆ
การพบกันครั้งที่สองเว่ยป้อตอบรับแล้วก็จริง เขาบอกว่าจะใช้สถานะขององค์เทพขุนเขาเหนือไปเปิดปากพูดกับราชสำนักต้าหลี ช่วยขอยันต์คุ้มกันกายสองแผ่นมาให้สหายเทพวารีแห่งแม่น้ำอวี้เจียงของเขา
เพียงแต่ว่าเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนเล็กน้อยเป็นการแลกเปลี่ยน
หินดีงูชั้นเยี่ยมก้อนหนึ่งที่เฉินผิงอันให้เขา
เด็กชายชุดเขียวเสียดายมาก แต่ไม่เสียใจ
แล้วจู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา ยื่นนิ้วชี้ไปทางทิศใต้พูดว่า “เด็กโง่ วันหน้าเมื่อไปถึงแม่น้ำอวี้เจียง ข้าจะพาเจ้าไปที่จวนของสหายเทพวารี ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่กินเนื้อชิ้นโต สอนให้เจ้ารู้ว่าข้าเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่นั่นมากขนาดไหน ขอแค่ข้าพาเจ้าไปด้วย ทุกคนก็จะต้องให้ความเคารพเจ้า”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่ได้เอ่ยอะไร
เพียงแต่พอนางเหลือบไปเห็นสีหน้าเบิกบานมีชีวิตชีวาของเขาโดยไม่ตั้งใจ ก็อดไม่ได้จึงพูดเบาๆ ว่า “ตกลง จำไว้ว่าไม่ต้องเอาปลาตัวใหญ่เนื้อชิ้นโตหรอก ข้าแค่กินอาหารหายากบนภูเขาตามฤดูกาลก็พอแล้ว”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะร่าเสียงดัง “เรื่องนี้จะไปยากอะไร ข้าแค่พูดคำเดียวก็ได้แล้ว”
จากนั้นคนทั้งสองก็เงียบไป
จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “หากนายท่านอยู่บนภูเขาด้วย ข้าก็คงวิ่งไปวิ่งมาน้อยลง ใช่ไหม?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอืมรับเบาๆ หนึ่งที
……
ภูเขาใหญ่ทางฝั่งทิศตะวันตก กิจการร้านเกี๊ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งยิ่งนานก็ยิ่งขายดี ผู้มีจิตศรัทธาชายหญิงที่มาจุดธูปกราบไหว้เทพภูเขาต่างก็ชอบมากินเกี๊ยวน้ำที่นี่หนึ่งถ้วยเพื่อให้อิ่มท้อง ได้ประโยชน์ทั้งคนซื้อและคนขาย ทว่ากิจการใหญ่ขึ้นแล้ว ร้านกลับยังเล็กเกินไป ดังนั้นต่งสุ่ยจิงจึงสร้างร้านขึ้นมาหนึ่งร้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้เป็นวันที่อากาศเลวร้ายฝนตกลมพัดก็ยังให้ลูกค้าเข้ามากินอาหารและรอให้ฝนหยุดตกไปพลางได้ อีกทั้งเด็กหนุ่มคนนี้ยังเป็นคนพูดง่าย ต่อให้ไม่ควักเงินซื้อเกี๊ยวน้ำ แค่เข้ามาในร้านหวังพักเท้า ก็ไม่เพียงแต่ไม่ไล่คนกลับ แถมยังบอกให้ลูกจ้างร้านสองคนที่เพิ่งจ้างมาใหม่นำชาร้อนกรุ่นมาให้ดื่มด้วยหนึ่งถ้วย
ค่าใช้จ่ายในร้านค่อนข้างมาก แต่ราคาเกี๊ยวน้ำทุกชามกลับไม่เคยเพิ่มราคา และรสชาติก็ไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นเหตุให้ขุนนางท้องที่ตำแหน่งใหญ่โตในเขตการปกครองหลงเฉวียนหลายคนต่างก็มาเยือนเพราะข่าวที่เล่าลือกันไป อย่างเจ้าเมืองอู๋ยวนที่หมวกขุนนางใหญ่ที่สุดที่พอได้มากินเกี๊ยวน้ำส่งกลิ่นหอมโชยเข้าจมูกแล้วก็ยังชื่นชมไม่ขาดปาก
ยามสนธยาของวันนี้ ในขณะที่ร้านกำลังจะปิดกิจการ หลังจากบอกให้ลูกจ้างหลายคนรับรองลูกค้าไม่กี่โต๊ะที่บางตา ต่งสุ่ยจิงจึงมีเวลาอู้งานอย่างที่หาได้ยาก เหน็ตเหนื่อยมาทั้งวัน ใช้แรงกายจนหมดสิ้น จึงมานั่งที่หน้าประตูร้าน ยกถ้วยชาขึ้นดื่มช้าๆ
ต่งสุ่ยจิงพลันลุกขึ้นยืน รีบดื่มชาที่เหลือให้หมดแล้วก้าวเร็วๆ ออกไป คนกลุ่มหนึ่งที่ลงมาจากภูเขา ในกลุ่มนี้มีใบหน้าหนึ่งที่เขาคุ้นเคย นางน่าจะติดตามผู้ใหญ่ในครอบครัวขึ้นเขามาจุดธูป เพิ่งลงมาจากภูเขาเวลานี้ ดูจากสีท้องฟ้าที่เย็นเต็มทีแล้ว คาดว่าคืนนี้น่าจะพักนอนอยู่ในเขตปกครองหลงเฉวียน
ส่งยิ้มทักทายเรียกผู้ใหญ่ที่มีอายุหลายคนว่าท่านลุงท่านน้าท่านอาท่านป้า จากนั้นก็มองไปยังเด็กผู้หญิงที่ตัวสูงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วถามว่า “สือชุนเจีย เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ตอนนี้แม่นางน้อยไม่ได้มัดผมแกละอีกแล้ว
—–