กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 308.3 ใต้เปลือกตา ใต้ฝ่าเท้า
หลิวจงคนลับมีดคือยอดฝีมือระดับขั้นสูงสุดของลัทธิมารสมชื่อ เขาชื่นชอบการสังหารผู้คน ชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยมเลื่องระบือไปทั่ว อยู่ในอันดับที่เจ็ด
ส่วนโจวเฝย บิดาของโจวซื่อก็ยิ่งเป็นมารร้ายตัวเป้งที่คนของฝ่ายธรรมะจำนวนนับไม่ถ้วนอยากจะฉีกหนังแล่เนื้ออย่างแท้จริง วรยุทธ์ของเขาสูงส่งมาก ทว่าคุณธรรมกลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เขาสร้างตำหนักคลื่นวสันต์แห่งหนึ่งขึ้นมาเพื่อรวบรวมสาวงามในใต้หล้า นอกจากบุตรชายไม่กี่คนแล้ว คนหลายร้อยคนของตำหนักคลื่นวสันต์ก็ไม่มีบุรุษอยู่อีก ด้วยเหตุนี้โจวเฟยจึงคุยโวโอ้อวดว่าตนคือ ‘ราชาบนภูเขา เทพเซียนแห่งพื้นพสุธา’
แต่โจวเฟยที่ผู้คนเอือมระอาผู้นี้กลับอยู่ในอันดับที่สี่ อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าวิชาเหิงเลี่ยน (วิชาที่เน้นด้านการกลั้นลมหายใจเข้าออก แล้วใช้ต้านรับการทุบต่อยตี คล้ายคลึงกับอิ้งชี่กง มวยไทย) ของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้า ตอนที่ลู่ฝ่างยังหนุ่มเคยใช้กระบี่ประจำกายที่ชื่อว่า ‘เสามังกรวน’ แทงทะลุร่างกายของโจวเฝยได้สำเร็จสามครั้ง แต่โจวเฝยก็ยังปลอดภัยไม่เป็นอะไร พลังการต่อสู้เสียหายน้อยนิดจนแทบไม่ต้องนำมาคิดคำนวณก็ได้ หลังจากนั้นลู่ฝ่างก็เป็นฝ่ายถอยออกไปเอง
ลู่ฝ่างที่พกกระบี่บุกเข้าไปในตำหนักคลื่นวสันต์เพียงลำพังก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลให้กับการกระทำที่ใช้อารมณ์ของตัวเองเช่นกัน ระยะเวลาสามปีที่เขาออกจากสำนักไปท่องเที่ยว คนหกร้อยคนในสำนักถูกโจวเฝยที่ไม่มีมาดของยอดฝีมือแม้แต่น้อยค่อยๆ ทรมานจนตายด้วยน้ำมือของเขา เล่าลือกันว่าอาจารย์แม่และศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงหลายสิบคนของลู่ฝ่าง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นสาวใช้อยู่ในตำหนักคลื่นวสันต์
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดลู่ฝ่างที่หลังกลับจากหาประสบการณ์แล้วได้ยินข่าวร้ายไม่ได้ขึ้นเขาไปท้าทายโจวเฝยอีกครั้ง ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในความลับที่ใหญ่ที่สุดไม่กี่เรื่องของยุทธภพ เมื่อเอามารวมกับคำถามที่ว่า มารร้ายใหญ่ที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้นั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินงดงามมากแค่ไหน อวี๋เจินอี้จะมีชีวิตอยู่ได้กี่ปี จึงกลายมาเป็นสี่ความลับใหญ่แห่งใต้หล้า
จากเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไปถึงภูเขากู่หนิวนอกเมือง บนทางเส้นนี้มักมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเสมอ
มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เดินทางไกลมาเป็นหมื่นลี้พาตัวเองที่มีกลิ่นเหล้าคลุ้งตลบเข้าเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมาได้ก็เหมือนปลาได้น้ำ วันๆ เอาแต่ดื่มสุราเมาหัวราน้ำอยู่ในร้านเหล้าข้างถนน สุดท้ายจำต้องเอากระบี่ประจำตัวมาจำนำไว้ในร้านเหล้าด้วยราคาห้าตำลึงเงิน เถ้าแก่ร้านที่เป็นหญิงแต่งงานแล้วเห็นแก่เรือนกายของเขาที่ตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ ตอนที่เขาหลับสามารถฉวยโอกาสลูบคลำได้ หาไม่แล้วแค่จ่ายให้สามตำลึงเงินก็ถือว่าเป็นราคาที่สูงเทียมฟ้าแล้ว
บนยอดเขากู่หนิว คนผู้หนึ่งที่มีใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ ร่างกายเหมือนเด็กน้อย วันๆ ไม่มีอะไรทำก็เอาแต่ขัดพัดพับไม้ไผ่หยกให้เรียบรื่น และแม่ทัพบู๊แปดร้อยคนจากกองทหารรักษาพระองค์ของแคว้นหนันเยวี่ยนที่รับผิดชอบเฝ้าอยู่ตรงตีนเขา พอเห็นคนผู้นี้กลับพากันเรียกอย่างเคารพนอบน้อมว่าเจินเหรินผู้เฒ่าอวี๋
จวนองค์รัชทายาท ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งที่รับผิดชอบดูแลฝ่ายงานครัวกำลังเปิดฝาโอ่งใบใหญ่ที่บรรจุผักดองซึ่งยังดองได้ไม่เต็มที่ กลิ่นเปรี้ยวลอยมาปะทะจมูก ปากของเขาก็พึมพำว่าปีที่มีเรื่องมาก ปีที่มีเรื่องมาก
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนสามคนที่เข้ามาในวัดป๋ายเหอแต่ไม่ได้จุดธูปไหว้พระในค่ำคืนนี้ต้องมีน้ำหนักความสำคัญมากอย่างแน่นอน
ทว่าผู้เฒ่าแซ่ติงไม่ได้สนิทสนมกับหญิงสาวกับโจวซื่อจานหลางฮวามากนัก เพราะสิบแปดปีที่ผ่านมา ตำแหน่งบุคคลอันดันหนึ่งของใต้หล้ามั่นคงไม่สั่นคลอน ฆ่าคนแค่ดูที่ความชื่นชอบและอารมณ์ของตัวเองเท่านั้น คนมีชื่อเสียงในยุทธภพก็ฆ่า จักรพรรดิ เสนาบดี แม่ทัพก็ฆ่า คนชั่วช้าในยุทธภพที่มีมากมายจนบันทึกไม่หวาดไม่ไหวก็ฆ่า คนแก่ เด็ก สตรีและคนอ่อนแอที่อยู่ข้างทางก็ฆ่า ภายหลังได้ส่งมอบตำแหน่งเจ้าลัทธิให้กับลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เพราะคนอื่นๆ ถูกตนฆ่าทิ้งหมดแล้ว จากนั้นเขาก็หายตัวไป
แต่ในการประลองครั้งหนึ่งของยี่สิบปีให้หลังที่เขาออกไปจากยุทธภพ เขาก็ยังคงเป็นบุคคลอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
มีข่าวลือในยุทธภพอย่างหนึ่งที่ฟังแล้วก็น่าขัน ว่ากันว่าเมื่อสหายสนิทเอ่ยถามเจ้าหอสองรุ่นของหอจิ้งหย่างที่มีหน้าที่รวบรวมข่าวลับและประเมินฝีมือสูงต่ำของปรมาจารย์ในยุทธภพโดยเฉพาะว่า ทำไมถึงไม่ปลดตำแหน่งมารร้ายติงที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายออกจากตำแหน่ง คนทั้งสองกลับตอบด้วยประโยคที่เหมือนกันว่า ‘หากเขายังไม่ตาย ข้าก็คงต้องตาย’
ในตำหนักใหญ่เวลานี้ หญิงสาวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “บิดาของเจ้าต้องการสาวงามอย่างเทพธิดาฝานเพียงคนเดียว ทว่าภายนอกกลับออกแรงมากที่สุด ระดมผู้คนจำนวนมากมายขนาดนี้ ไม่รู้สึกว่าขาดทุนบ้างเลยจริงๆ หรือ?”
โจวซื่อยิ้มจืดเจื่อน “ท่านพ่อข้านิสัยเป็นอย่างไร เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? หากพูดให้น่าฟังสักหน่อยก็รักสาวงามไม่รักบ้านเมือง แต่หากพูดไม่น่าฟังก็คือบ้ากามจนลืมชีวิต หากไม่เป็นเพราะจ้งชิวอาศัยอยู่ข้างวังหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เขาก็คงเข้าวังไปชิงตัวโจวฮองเฮามาแล้ว”
หญิงสาวยื่นมือมาคลึงข้างแก้ม พูดเหมือนสงสารตัวเอง “ฝานกว่านเอ่อร์ โจวซูเจิน คนหนึ่งคือสาวงามอันดับหนึ่งของปัจจุบัน อีกคนหนึ่งคือโฉมสะคราญอันดับหนึ่งในใต้หล้าของเมื่อยี่สิบปีก่อน สายตาของบิดาเจ้าสูงจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้เข้าตาเขาผู้อาวุโส ต่อให้ได้พบหน้ากันแล้ว ได้ดื่มชาด้วยกันก็ยังเกรงอกเกรงใจ มองไม่ละสายตา”
โจวซื่อหัวเราะจืดชืด
หญิงสาวถามยิ้มๆ ว่า “เหตุใดบิดาของเจ้าถึงไม่อยากได้ถงชิงชิงบ้างเล่า?”
โจวซื่อแหงนหน้ามองพระพุทธรูปองค์ที่ถลึงตามองโลกมนุษย์อย่างน่าเกรงขาม มือเลื่อนลูกประคำไม่หยุด เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อข้าบอกว่าอาหารอร่อยหนึ่งมื้อ ไม่กลัวว่าจะร้อนลวกปาก ต่อให้ปากเป็นแผลก็ยังคุ้มค่า แต่หากเป็นอาหารอร่อยที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องร้อนลวกกระเพาะและลำไส้ ต่อให้อยากกินแค่ไหนก็อย่าไปแตะต้อง”
ผู้เฒ่าที่ยืนเอามือไพล่หลังได้ยินประโยคนี้ก็กระตุกมุมปาก กวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ไปกันเถอะ ร่างทองไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
สตรีงดงามและโจวซื่อต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง แล้วก็ไม่กล้าเกิดความกังขาแม้แต่น้อย อย่าเห็นว่าหญิงสาวพร่ำเรียกอีกฝ่ายว่า ‘อาจารย์ปู่’ ฟังดูใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วนางอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าหากไม่ทันระวังก็อาจจะถูกผู้เฒ่าตบให้กะโหลกศีรษะแตก โจวซื่อเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ บิดาอย่างโจวเฝยอย่างมากก็เป็นได้แค่ยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ อยู่ไกลเกินกว่าจะกลายเป็นยันต์คุ้มกันชีวิตที่แท้จริงได้
ผู้เฒ่าที่ไม่ว่าจะขยับตัวเคลื่อนไหวทำอะไรก็ราวกับจะสอดประสานเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากธรณีประตู เท้าของเขาหยุดชะงักเล็กน้อย
แค่การกระทำเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตานี้ก็ทำให้ลมหายใจของหญิงสาวและโจวซื่อยุ่งเหยิง อึดอัดในหน้าอก เหงื่อผุดมาตามหน้าผาก หยุดยืนนิ่งไม่กล้ากระดุกกระดิก
แต่จากนั้นผู้เฒ่าก็เพิ่มความเร็วฝีเท้า ก้าวออกจากธรณีประตู เดินลงบันไดไป
คนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์สองคนซึ่งมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ในยุทธภพรู้สึกว่าเลือดลมกลับมาโลดแล่นว่องไวอีกครั้ง สาวเท้าเร็วๆ ตามผู้เฒ่าไปอย่างห้ามไม่ได้ราวกับเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใย
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนี้ เมื่อเทียบกับหกสิบปีก่อน น่าสนใจเพิ่มขึ้นแล้ว”
สองคนที่อยู่ด้านหลังมองสบตากัน ต่างก็รู้สึกว่าคำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่
อากาศยามค่ำคืนเย็นฉ่ำดุจสายน้ำ
เฉินผิงอันเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่ง เขาพนมสิบนิ้วเข้าด้วยกันคล้ายต้องการขอขมาพระพุทธรูปทั้งสามองค์ว่าอย่าได้ขุ่นเคืองที่ตนไม่ให้ความเคารพ
ผู้เฒ่าแซ่ติงคนนั้นร้ายกาจมาก
เฉินผิงอันพลันหันกลับไปนอนตะแคงอีกครั้ง ไม่นานก็มีเงาร่างสองสายที่เหมือนควันเขียวเบาบางพุ่งมาถึง
เป็นคู่กุมารทองกุมารีหยกที่ยอดเยี่ยมคู่หนึ่ง หญิงสาวผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือท่วงท่าก็ล้วนเหนือกว่าหญิงสาวสวมรองเท้าไม้เกี๊ยะคนก่อนหน้านี้หนึ่งระดับ
บุรุษอายุประมาณสามสิบต้นๆ สะโอดสะองค์ดุจต้นไม้หยก สวมอาภรณ์ลักษณะโบราณแต่สง่างาม ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย ทั่วกายแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์
เขาเอ่ยยิ้มๆ ด้วยสำเนียงเมืองหลวงที่ถูกต้องชัดเจน “เทพธิดาฝาน เป็นอย่างที่เจ้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ นิสัยของมารเฒ่าติงผู้นี้แปลกประหลาดอย่างแท้จริง เมื่อครู่นี้ทั้งๆ ที่เขาเห็นพวกเราสองคน แต่กลับไม่คิดจะลงมือ”
หญิงสาวที่ลักษณะสูงส่งเหนือโลกีย์เหมือนดอกกล้วยไม้ที่เติบท่ามกลางป่าเขา หน้าตางดงามจนไร้เหตุผล สาวงามทั่วไปที่ได้เห็นคนผู้นี้เป็นครั้งแรกคงต้องรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ บุรุษทั่วไปที่ได้พบเห็นก็คงถึงขั้นไม่กล้ามีใจคิดอยากครอบครอง เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่คู่ควร
ได้ยินประโยคนี้ของบุรุษ นางจึงกล่าวว่า “เจ้าลัทธิเฒ่าผู้นี้รู้สึกดูแคลนเกินกว่าจะลงมือกับพวกเรา”
บุรุษเอ่ยยิ้มๆ “ข้าจะรับสักกระบวนท่าของเขาไม่ได้เชียวหรือ? คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง จะดีจะชั่วอาจารย์ของข้าก็คือบุคคลเพียงหยิบมือที่ไล่ตามหลังสิบผู้ยิ่งใหญ่ไปติดๆ ตอนนี้เวลาข้าประมือกับอาจารย์ก็พอจะมีโอกาสชนะสองสามส่วนแล้ว”
หญิงสาวส่ายหน้า “องค์ชายย่อมต้องมีพรสวรรค์ดีเลิศอยู่แล้ว แต่การเข่นฆ่าระหว่างปรมาจารย์ในยุทธภพกับการประลองวรยุทธ์แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว องค์ชายโปรดอย่าได้ดูแคลนยุทธภพแห่งนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับสอง ไม่ถึงนาทีสุดท้ายก็ห้ามประมาทเด็ดขาด”
การที่เทพธิดาผู้นี้เป็นห่วงตน ทำให้บุรุษรู้สึกปิติยินดีจากใจจริง เพียงแต่เพราะเกิดมาในตระกูลเชื้อพระวงศ์จึงถูกอบรมสั่งสอนให้รู้จักเก็บอารมณ์ความรู้สึกมานานแล้ว เขาจึงแค่พยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าจำไว้แล้ว วันหน้าเวลาประมือกับศัตรูจะต้องนึกถึงคำพูดประโยคนี้ของเทพธิดาฝาน แล้วใคร่ครวญดูให้ดีค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
หญิงสาวแซ่ฝานเพียงยิ้มรับ ไม่ได้เอ่ยคำใด
การเกี้ยวพาราสีที่คลุมเครือและแฝงไว้ด้วยอุบายเล็กน้อยนี้ของบุรุษ นางท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพังมานานถึงหกปี ไม่มีทางสนใจ และแน่นอนว่ายิ่งไม่มีทางหวั่นไหว
จู่ๆ นางก็เอ่ยเสียงเย็น “ออกมาเถอะ!”
บุรุษหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ทะเลสาบในหัวใจสั่นสะเทือน สามารถอำพรางตัวมาถึงตอนนี้โดยที่ไม่ถูกจับได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่ฝีมือใกล้เคียงกับพวกเขาสองคน
เขาและหญิงสาวเดินสำรวจตรวจตราไปทั่วทุกมุมของตำหนักใหญ่
ครู่หนึ่งต่อมา เทพธิดาฝานผ่อนลมหายใจโล่งอก คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ให้องค์ชายทอดพระเนตรเรื่องตลกแล้ว เดินทางอยู่ในยุทธภพ ระมัดระวังขับเรือได้หมื่นปี”
บุรุษรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วก็หัวเราะขำอย่างอดไม่อยู่ เขาเบี่ยงตัวเล็กน้อย กุมหมัดคารวะเลียนแบบคนในยุทธภพ “คำสอนของเทพธิดา ข้าน้อยจดจำไว้แล้ว”
หญิงสาวเองก็หัวเราะตามไปด้วย
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ไปค้นหาแถวๆ พระพุทธรูปทั้งสามองค์ เมื่อไม่ค้นพบกลไกลับอะไรก็ได้แต่กลับไปจากวัดป๋ายเหอมือเปล่าเหมือนสามคนก่อนหน้านี้
บนเสาคานต้นหนึ่งที่วางพาดขวางเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อนจะค่อยๆ ปรากฏเป็นสีขาวหิมะให้เห็น ที่แท้ชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้นก็ขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิมจนเฉินผิงอันหดตัวเข้าไปหลบอยู่ข้างในได้ และนี่ก็ถือเป็นเวทอำพรางตาที่ไม่เข้าขั้นอย่างหนึ่งซึ่งเฉินผิงอันใคร่ครวญออกมาได้เอง สำหรับคนในยุทธภพแล้วใช้ได้ผลดียิ่ง ก็แค่ไม่มีมาดของยอดฝีมือและท่วงท่าของตระกูลเซียนมากพอเท่านั้น
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเสาคาน กำลังจะปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้าพลันนึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ในตำหนักใหญ่ของวัด จึงหดมือกลับ พลิ้วกายลงบนพื้นแล้วออกไปจากวัดป๋ายเหอ
เพิ่งจะเดินไปถึงธรณีประตูของตำหนักใหญ่ก็เห็นว่าห่างไปไกล หญิงสาวหน้าตางดงามแซ่ฝานคนนั้นกำลังมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
เฉินผิงอันหยุดเดิน
หญิงสาวคนนั้นทั้งไม่พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้ออกกระบวนท่าโจมตี แค่จ้องมองเฉินผิงอันอย่างเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
แม่นาง เจ้ามองอะไรกัน ข้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว
นางสวยกว่าเจ้าตั้งเยอะ! อย่างน้อยข้าเฉินผิงอันก็คิดอย่างนี้
แต่เฉินผิงอันก็ต้องแยกเขี้ยวให้ตัวเอง เพราะอันที่จริงแม่นางที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็สวยมากจริงๆ
แต่แม่นาง ต่อให้เจ้าสวย มันก็เป็นเรื่องของเจ้า มันคงไม่ใช่เหตุผลให้เจ้าเอามาใช้จ้องมองข้าอย่างโง่งมแบบนี้กระมัง?
เฉินผิงอันไม่อยากจะเสียเวลากับนางต่อ ด้วยกลัวว่าไต่ผนังวิ่งบนหลังคาจะถอนตัวออกจากตรงนี้ได้ยากจึงใช้ยันต์ย่อพื้นที่หนึ่งแผ่นพาตัวเองออกไปจากวัดป๋ายเหอเสียเลย
หญิงสาวผู้นั้นเผยอปากเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง หรือว่าเป็นประมาจารย์ผู้อาวุโสท่านใดในยุทธภพที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอก?
เฉินผิงอันออกมาจากวัดป๋ายเหอได้ไม่นานเท่าไหร่ สายตาก็ถูกถนนคักคักที่แสงไฟสว่างไสวดึงดูด กลิ่นหอมเข้มข้นโชยมาแตะจมูก เขาจึ่งวิ่งไปที่ร้านแผงลอย กินอาหารชนิดหนึ่งที่ทั้งร้อนทั้งชาทั้งเผ็ดไปหนึ่งถ้วย
ผลคือเฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าข้างกายตัวเองมีแม่นางงดงามคนหนึ่งกำลังยืนมองเขาปากอ้าตาค้างอีกแล้ว
—–