กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 309.1 ปราณสังหารซ่อนอยู่ทั่ว
ยังคงเป็นหญิงสาวแซ่ฝานคนนั้น มองปราดๆ นางเหมือนคนสวมชุดเรียบง่าย แต่หากมองอย่างละเอียดก็จะสังเกตเห็นว่าบนอาภรณ์ปักลายเมฆาวารีสมปรารถนา เมื่อแสงจันทร์บนท้องนภาและแสงโคมไฟบนถนนสาดส่องลงมาก็คล้ายผลุบคล้ายโผล่ คำกล่าวที่ว่าร่ำรวยสะดุดตา สูงส่งเลอค่าก็เป็นเช่นนี้เอง
แต่ว่านางในเวลานี้น่าจะสวมหน้ากากหนังมนุษย์ แค่หน้าตาคล้ายคลึงก่อนหน้านี้แค่ห้าหกส่วนเท่านั้น จึงไม่ถึงกับทำให้พวกชาวบ้านตื่นตะลึงจนเกินไป
นางยังคงเพ่งมองเฉินผิงอันเขม็ง เฉินผิงอันวางชามและตะเกียบลง จำต้องถามว่า “มาหาข้ามีธุระหรือ?”
นางพลันยื่นมือมาคลึงขมับ กวาดตามองรอบด้าน ขมวดคิ้วแน่น
คนที่มากินอาหารโต๊ะด้านข้างทะเลาะกับผู้อื่นจึงด่าทอกัน ตบโต๊ะถลึงตาดุดัน ท่าทางเอาเรื่องน่ากลัว ชี้หน้าอีกฝ่ายด่าอย่างเดือดดาลว่านังหญิงคณิกา นังแม่เล้า เรื่องเดิมไม่ทำเกินสามครั้ง หากเจ้ายังไม่ยอมจบ ข้าผู้อาวุโสก็จะไปเปิดหอนางโลมที่บ้านเจ้ามันซะเลย
ทั้งสองฝ่ายเถียงกันด้วยสำเนียงคนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่เข้มข้น คำพูดทั้งระคายหูทั้งเลื่อนเปื้อน
หญิงชาวใช้ท้องนิ้วข้างหนึ่งนวดคลึงจุดไท่หยางเบาๆ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และวาดฝัน ใช้การรวมเสียงเป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพมาเอ่ยถาม “คุณชายท่านนี้ ท่านคือ…เจ๋อเซียนหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าเป็นแค่คนต่างถิ่นคนหนึ่งที่มาท่องเที่ยวแคว้นหนันเยวี่ยน ไม่ใช่เจ๋อเซียนอะไรอย่างที่แม่นางพูดหรอก”
หญิงสาวคนนั้นรู้สึกเสียดายเล็กน้อย กล่าวขออภัย “รบกวนแล้ว ขอคุณชายโปรดอภัย”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่เป็นไร”
นางลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ยังกล่าวเตือนว่า “ช่วงนี้เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไม่ค่อยสงบเท่าไหร่นัก คุณชายคือมังกรคือหงส์ในกลุ่มคน ง่ายที่จะถูกคนจับตามอง หวังว่าคุณชายจะระวังตัวมากขึ้น”
เฉินผิงอันกุมมือคารวะ “ขอบคุณแม่นางฝาน”
ฝานกว่านเอ่อร์ก็ไม่ใช่คนอืดอาดยืดยาด พูดจบก็ไปจากตลาดของกินตอนกลางคืนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนแห่งนี้ อันธพาลบางคนคิดจะฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งนาง เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่พวกเขาลงมือ นางจะต้องหลบได้อย่างพอดิบพอดีเสมอ ประหนึ่งปลาตัวหนึ่งที่ว่ายไปตามร่องหินในธารน้ำ เฉินผิงอันสงสัยเล็กน้อย ตามคำบอกของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ ผู้ฝึกยุทธ์พรสวรรค์ดีหรือไม่ต้องดูที่ว่าจะสามารถหล่อเลี้ยงปณิธานหมัดที่สูงส่งที่สุดจากกระบวนท่าหมัดที่ต่ำชั้นที่สุดได้หรือไม่ และนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาเลือกเฉินผิงอันตอนนั้น
แต่ผู้เฒ่าแซ่ชุยเป็นคนรักหน้าตาของตัวเอง ไม่เต็มใจยอมรับว่าแท้จริงแล้ว ‘หมัดเขย่าขุนเขา’ ก็มีหลายจุดที่เอามาใช้ประโยชน์ได้ เฉินผิงอันก็แค่ไม่อยากเปิดโปงเขาเท่านั้น
หากดูจากบทสนทนาระหว่างผู้เฒ่าแซ่ติง ยาเอ๋อร์และจวนฮวาหลางโจวซื่อก่อนหน้านี้ หญิงสาวประหลาดที่ไม่เคยรู้จักมักจี่ แต่กลับมาหาตนถึงสองครั้งนี้ผู้นี้น่าจะเป็นฝานกว่านเอ่อร์ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าคนนั้น หากเอาไปวางไว้ที่แจกันสมบัติทวีปบ้านเกิด นางก็มีตำแหน่งเทียบเท่าได้กับเฮ้อเสี่ยวเหลียงสตรีอันดับหนึ่งแห่งสำนักโองการเทพ
เห็นๆ อยู่ว่าฝานกว่านเอ่อร์ ‘เข้าใกล้มรรคา’ แล้ว แต่เหตุใดตบะวรยุทธ์ของทั้งร่างถึงเหมือนถูกหินก้อนใหญ่หนักหมื่นชั่งก้อนหนึ่งกดทับจึงขยับขึ้นไปไม่ได้สักที?
พลังอำนาจของทั้งร่างสามารถอำพรางไว้ได้ สามารถทำให้กลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมได้ แต่หากได้อยู่ด้วยกันนานเข้า จิตวิญญาณภายในไม่อาจโกหกใคร ความช้าเร็วของทุกลมหายใจ จังหวะการขยับมือยกเท้ามักจะเปิดเผยความลับสวรรค์ออกมาเสมอ
ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าแซ่ติงที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงินมองดูเหมือนก้าวเดินเข้ามาในตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหออย่างเรื่อยเฉื่อย แต่เฉินผิงอันกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฟ้าดินในทันที
เฉินผิงอันเป็นคนที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เคยเห็นบุคคลบนยอดเขามาแล้วไม่น้อย หากเป็นบุคคลที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่า ‘ร้ายกาจมาก’ ได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดา คนที่ป้อนหมัดเขาบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเคยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบขั้นสูงสุดคนหนึ่ง คนที่ป้อนกระบี่เขาบนเกาะกุ้ยฮวา ดีชั่วก็เป็นถึงโอสถทองเฒ่าท่านหนึ่ง
หลังจากที่ร่างของฝานกว่านเอ่อร์หายไป เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วก็ออกไปจากตลาดกลางคืนแห่งนี้เช่นกัน
เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแบ่งออกเป็นตรอกเล็กใหญ่ทั้งหมดแปดสิบเอ็ดตรอก โครงสร้างและรูปแบบโดยภาพรวมแล้วไม่ต่างจากแคว้นหัวเมืองมากมายที่เฉินผิงอันเคยเดินทางผ่านมา เมืองที่ถูกขนานนามให้เป็นนครที่ดีที่สุดของใต้หล้าแห่งนี้ เหนือรวย ใต้ยากจน ตะวันออกบู๊ ตะวันตกบุ๋น วัดป๋ายเหอตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมือง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นที่พักของขุนนางฝ่ายบุ๋นชั้นกลางและพวกพ่อค้าที่มีฐานะ สามารถมองเห็นงานศิลปะได้ทุกที่
เวลานี้เฉินผิงอันกำลังเดินอยู่บนสะพานหินโค้งแห่งหนึ่ง กลางดึกไร้ผู้คน เฉินผิงอันกระโดดขึ้นไปบนราวสะพานเบาๆ เดินไปถึงตรงส่วนที่สูงสุดของสะพานโค้งหินเขียว เฉินผิงอันมองลำคลองสายเล็กใต้ฝ่าเท้าที่สายน้ำไหลริน ด้านล่างมีรูปปั้นสัตว์น้ำตัวหนึ่งตั้งอยู่ ลักษณะคล้ายเจียวหลง ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ยากนัก
เมืองที่เจริญรุ่งเรืองหลายแห่งของแจกันสมบัติทวีป บนหัวเสาหรือบนหินของประตูมังกรทรงโค้งก็ล้วนมีสัตว์น้ำที่ใช้กำราบภูตประหลาดในน้ำประเภทนี้เฝ้าพิทักษ์อยู่เสมอ แต่เฉินผิงอันกลับสัมผัสไม่ได้ถึงปราณวิญญาณจากสัตว์น้ำโบราณตัวนี้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่เครื่องประดับ เป็นแค่ของตกแต่งชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังยืนเหม่อมองน้ำ ฝานกว่านเอ่อร์เทพธิดาที่มีชาติกำเนิดมาจากหอจิ้งซินก็ได้มาเจอกับเว่ยเหยี่ยน องค์รัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนที่เดิมทีควรกลับวังหลวงไปแล้ว
แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สูงศักดิ์ แต่กลับเป็นยอดฝีมืออายุน้อยที่เหมือนน้ำนิ่งไหลลึก อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดวิถีวรยุทธ์ให้แก่เขาคือปรมาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งที่ถูกเนรเทศจากด่านทางเหนือมาที่แคว้นหนันเยวี่ยน ซึ่งก็คือคนเพียงหยิบมือของทุกวันนี้ที่อยู่ใกล้กับยอดฝีมือใหญ่สิบท่านมากที่สุด อาจารย์ของรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนมีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับชุยฮวาเหมินหนึ่งในสามลัทธิมาร ดังนั้นองค์รัชทายาทที่สถานะสูงศักดิ์ท่านนี้จึงถูกพรรคต่างๆ ในยุทธภพและหอจิ้งซินมองเป็นคนของฝ่ายธรรมะไปด้วย อีกทั้งเขายังเป็นคนที่มีหวังว่าจะได้เป็นผู้นำยุทธภพรุ่นต่อไป หอจิ้งซินจึงถึงขั้นมีประสงค์อยากจะช่วยเหลือเขาให้ได้เป็นกษัตริย์คนต่อไปของแคว้นหนันเยวี่ยน
ส่วนยาเอ๋อร์คนของลัทธิมารผู้นั้นกลับแอบสนับสนุนเว่ยฉงน้องชายของเว่ยเหยี่ยนอย่างลับๆ ทั้งสองฝ่ายวางอุบายขุดหลุมพรางหลอกลวงกันไปมา ช่วงชิงความโปรดปรานจากฮ่องเต้เฒ่าของแคว้นหนันเยวี่ยนมาห้าหกปีแล้ว
ฝานกว่านเอ่อร์และเว่ยเหยี่ยนเดินเล่นด้วยกันท่ามกลางราตรีที่เงียบสงบ เว่ยเหยี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “เทพธิดาฝาน หากเจ้าพบเจอคนผู้นั้น อันที่จริงไม่จำเป็นต้องปิดบังข้า เขาสามารถหลบซ่อนตัวอยู่ในตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหอได้โดยที่พวกเราไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของเขา แสดงว่าต้องไม่ใช่คนบ้าบิ่นในยุทธภพทั่วไปแน่นอน หากเขาเป็นคนจากลัทธิมาร แล้วเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า จะทำอย่างไร?”
ฝานกว่านเอ่อร์ไม่ต้องการให้เว่ยเหยี่ยนซึ่งเป็นว่าที่ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนเกิดความกังขาในใจจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “องค์ชาย ท่านรู้สึกว่าองค์เองกับกว่านเอ่อร์ และยังมีชิงยาเอ๋อร์ (อีกาดำ) ที่ไม่รู้ชื่อแซ่แท้จริง โจวซื่อจานฮวาหลางแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ บวกกับยอดฝีมืออีกหกคนที่อายุพอๆ กัน รวมกันแล้วสิบคน หากให้ต้องเปรียบเทียบกับยอดฝีมือใหญ่แห่งใต้หล้าทั้งสิบท่านอยู่ไกลๆ ในบรรดาพวกเราสิบคน วิถีวรยุทธ์ของใครสูงที่สุด?”
สำหรับเรื่องนี้เว่ยเหยี่ยนมีคำตอบในใจมานานแล้ว นอกจากจะมีอาจารย์ที่ดี เขายังเป็นรัชทายาทของหนึ่งแคว้น สายสืบของเขากระจายตัวไปทั่วหล้า ต่อให้จะไม่เคยท่องยุทธภพมาก่อน แต่ก็รู้ความลับในยุทธภพอย่างละเอียดมานานแล้ว เว่ยเหยี่ยนไม่ต้องคิดให้มากความก็พูดจ้อทันที “ใครจะเป็นผู้นำ ยังบอกได้ยาก แต่หากเป็นสามอันดับแรกกลับถูกกำหนดไว้นานแล้ว ศึกตัดสินเป็นตาย ศัตรูพบกันบนทางแคบ ใครเป็นใครตายก็ต้องดูว่าใครเชี่ยวชาญในการช่วงชิงความได้เปรียบที่มองไม่เห็นมากที่สุด ฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคี ใครที่ได้ครอบครองมากกว่าก็คือคนชนะ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยเหยี่ยนก็ชำเลืองมองไปด้านหลังของหญิงสาว ออกมาคืนนี้ ฝานกว่านเอ่อร์ไม่ได้พกอาวุธมาด้วย เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เทพธิดาฝานเชี่ยวชาญเวทวานรขาวสะพายกระบี่ที่หายสาบสูญไปนานแล้วของหอจิ้งซินและพรรคหูซาน ความรู้ของอริยะสามลัทธิก็รอบรู้ แน่นอนว่าสามารถอยู่ในสามอันดับแรกได้ อาจารย์ของข้าเคยกล่าวชมเชยเทพธิดาจากใจจริงว่า มีหรือไม่มีกระบี่สะพายอยู่ด้านหลัง คือฝานกว่านเอ่อร์สองคน”
ฝานกว่านเอ่อร์ยิ้มตอบ “องค์ชายตรัสชมกันเกินไปแล้ว”
เว่ยเหยี่ยนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งเคาะลงบนเข็มขัดหยกตรงเอวเบาๆ “ยาเอ๋อร์ของลัทธิมารผู้นั้น ตอนที่นางเพิ่งเข้ามาเมืองหลวง ด้วยนิสัยจองหองหยิ่งยโสจึงกล้าวิ่งไปหาราชครู เลยต้องกินหมัดหนึ่งของราชครูไป แต่การที่นางแค่บาดเจ็บแต่ไม่ตาย คนบนโลกต่างก็รู้สึกว่านางโชคดี ทว่าเสด็จพ่อเคยตรัสกับข้า และราชครูก็เคยบอกว่าแม่นางน้อยคนนั้นมีพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธ์สูงส่งจนสามารถเป็นลู่ฝ่างในแบบของสตรีได้เลย”
“คนสุดท้ายน่าจะเป็นเฝิงชิงป๋ายที่ไม่รู้ที่มาคนนั้น สิบปีมานี้เขาโดดเด่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตัวตนหรือสำนักของเขาล้วนไม่มีใครสืบหาเบาะแสได้ ชอบท่องพเนจรไปทั่ว ท้าทายปรมาจารย์ยอดฝีมือของแต่ละแห่งไม่หยุด รู้แค่ว่าคนผู้นี้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ดูจากการเลือกคู่ต่อสู้ของเขาก็จะรู้ได้ว่า จากที่เป็นคนนอกวงการซึ่งพอจะมีความรู้งูๆ ปลาๆ เวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปีเขาก็สามารถกลายมาเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งของโลกได้แล้ว”
กล่าวประโยคเหล่านี้จบ เว่ยเหยี่ยนก็หันหน้ามาถามว่า “เทพธิดาฝาน หรือว่าในอีกเจ็ดคนที่เหลือ ยังมีคนที่อำพรางตัวได้ลึกล้ำยิ่งกว่านี้?”
ฝานกว่านเอ่อร์เอาสองมือไพล่หลังเดินไปบนสะพานเล็กที่เงียบสงัดไร้ผู้คน พอขยับเข้าใกล้ราวสะพานก็ใช้มือตบศีรษะของสิงโตหินตัวเล็กที่สลักไว้ด้านบนครั้งแล้วครั้งเล่า นางส่ายหน้า “ต่อให้มีจริงๆ อย่างน้อยข้าและหอจิ้งซินก็ยังไม่รู้”
เว่ยเหยี่ยนคลี่ยิ้มอบอุ่น คิดไม่ถึงว่าเทพธิดาฝานก็มีช่วงเวลาซุกซนเช่นนี้ด้วย ชั่วขณะนั้นเขาจึงมองดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นของนางด้วยสายตาลุ่มหลง
สายตาระดับล่างของบุรุษจะมองแค่ใบหน้าของหญิงสาว สายตาระดับกลางจะมองเรือนร่าง สายตาระดับสูงจะมองที่จิตใจของหญิงสาว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ฝานกว่านเอ่อร์คือคนที่มีเพียบพร้อมทั้งสามอย่าง อีกทั้งแต่ละอย่างยังเป็นอันดับหนึ่งในโลกด้วย
จะไม่ให้องค์รัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวผู้ใดหวั่นไหวได้อย่างไร สาวงามแสนดี เป็นที่หมายปองของบุรุษ ความรู้สึกที่เว่ยเหยี่ยนมีต่อนาง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือสายตา เขาทั้งไม่เปิดเปลือยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แล้วก็ไม่ได้จงใจเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด
เว่ยเหยี่ยนหยุดเดิน แล้วก็สาวเท้าเร็วๆ ไปเดินเคียงไหล่นาง คิดอยากจะยื่นมือไปจับมือเรียวบางของนาง น่าเสียดายที่เขาไม่มีความกล้านั้น
ฝานกว่านเอ่อร์หยุดฝีเท้า เบี่ยงตัวผินข้าง ทอดสายตามองไปไกล หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม กล่าวเนิบนาบ “ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็เพราะข้าอยากพูดถึงเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ”
เว่ยเหยี่ยนถามอย่างประหลาดใจ “ไหนลองว่ามาสิ”
ฝานกว่านเอ่อร์นวดคลึงหว่างคิ้ว เว่ยเหยี่ยนเอ่ยอย่างเป็นกังวล “เป็นอะไรไป หรือว่ามือกระบี่ชุดขาวผู้นั้นใช้วิธีการที่ชั่วร้ายอะไรงั้นรึ?”
นางยิ้มส่ายหน้า “องค์ชาย ท่านเคยได้ยินคำเรียกขานว่า ‘เจ๋อเซียน’ จากอาจารย์ของท่านบ้างหรือไม่?”
เว่ยเหยี่ยนกล่าวยิ้มๆ “อาจารย์ของข้าเป็นคนหยาบกระด้างในยุทธภพ เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องแบบนี้หรอก ท่านผู้อาวุโสไม่ชอบพวกนักประพันธ์นักกวีมากที่สุด มักจะพูดว่าพวกเขาคือสตรีที่ไม่มีรังไข่ ตอนเด็กเวลาฝึกวรยุทธ์กับอาจารย์ ขอแค่เวลาที่พูดคุยกันแล้วข้าพูดจาสุภาพหน่อย ก็จะต้องโดนตี ดังนั้นข้าจึงได้แต่ทำความเข้าใจกับลักษณะของเจ๋อเซียนจากในบทกวีเอาเอง”
ในเมื่อหาเบาะแสจากเว่ยเหยี่ยนไม่ได้ ฝานกว่านเอ่อร์จึงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก นางเปลี่ยนหัวข้อ พูดพึมพำด้วยสายตาลึกล้ำ “องค์ชาย ท่านเคยมีความรู้สึกว่า เวลาที่พวกเราผ่านเหตุการณ์อย่างหนึ่ง เดินผ่านที่แห่งหนึ่ง หรือได้พบคนคนหนึ่งแล้วรู้สึกคุ้นเคยเป็นพิเศษบ้างไหม?”
เว่ยเหยี่ยนพยักหน้ารับ “เคยสิ จะไม่เคยได้อย่างไร”
องค์รัชทายาทท่านนี้รู้สึกว่าน่าสนใจจึงถามยิ้มๆ “หรือว่าเทพธิดาฝานก็เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดของลัทธิพุทธด้วย?”
ฝานกว่านเอ่อร์ส่ายหน้า
……
บนภูเขาหนิวกู่นอกเมือง คืนนี้มีคนยืนอยู่เจ็ดแปดคน คนหนึ่งในนั้นคืออวี๋เจินอี้แห่งพรรคหูซานที่มีหน้าตาเหมือนเด็ก สีหน้าของเขาเคร่งเครียด ทอดสายตามองไปยังเค้าโครงของเมืองหลวงที่เห็นอยู่ในม่านราตรี
ชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า แม้แต่กระบี่ก็ยังมอบให้สตรีแต่งงานแล้วเจ้าของร้านเหล้า มีนามว่าลู่ฝ่าง
จ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนคือบุรุษร่างผอมเพรียวที่ไม่ชอบพูดจา ลักษณะสุภาพสง่างาม ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาก็คืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าคนนั้น
ยังเหลืออีกคน
น้ำเสียงของอวี๋เจินอี้ที่แจ่มใสอ่อนเยาว์เหมือนใบหน้าเอ่ยขึ้นช้าๆ “นอกจากมารเฒ่าติง โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ จอมยุทธ์เฝิงเฝิง ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน นอกจากสี่คนที่ถูกกำหนดมาแล้วเรียบร้อยนี้ เกรงว่าพวกเราคงต้องฆ่าเพิ่มอีกคน”
ลู่ฝ่างเอ่ยเย้ยตัวเอง “คงไม่ใช่ข้ากระมัง?”
จ้งชิวปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นชา
ลู่ฝ่างแบมือ กล่าวอย่างระอาใจ “แค่ล้อเล่นก็ไม่ได้หรือไง?”
นอกจากสามในสี่ปรมาจารย์ใหญ่นี้แล้ว บนยอดเขายังมีบุคคลอีกบางส่วนที่ไม่ควรมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
แต่ที่เหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้นเลยก็คือ ทุกคนหากไม่เป็นหนึ่งในสิบยอดฝีมือใหญ่ที่มีชื่ออยู่บนกระดาน ก็ต้องเป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์อย่างอาจารย์ของเว่ยเหยี่ยน
คืนนี้บนภูเขาหนิวกู่และเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนหลังจากนี้ ได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางพูดถึงธรรมะและอธรรม
อวี๋เจินอี้จ้องเขม็งไปยังสถานที่บางแห่งของเมืองหลวงแล้วเอ่ยเสียงเบา “ลู่ฝ่าง เจ้ากับสหายของเจ้าไปจัดการเรื่องไม่คาดคิดที่ใหญ่ที่สุดนั่นก่อนเถอะ ส่วนจะร่วมมือกันฆ่าคนหรือจะฆ่าคนด้วยกำลังตัวเองคนเดียว ข้าไม่สน แต่ข้าอนุญาตให้แค่ทำสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลว ภายในสามวันจงนำหัวของคนผู้นั้นกลับมา ของทั้งหมดบนร่างของเขา อิงตามกฎเดิม ใครเป็นคนฆ่าก็ได้ไป”
ลู่ฝ่างลูบท้ายทอย ถอนหายใจหนึ่งที
ห่างไปไกลมีเสียงหัวเราะน่าสะพรึงกลัวของคนบางคนดังลอยมา น้ำเสียงนั้นราวกับจะบอกว่าอยากลงมือเต็มแก่
—–