กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 309.2 ปราณสังหารซ่อนอยู่ทั่ว
เฉินผิงอันไม่ได้กลับไปยังที่พัก แต่เดินไปทั่วเมืองหลวงเพียงลำพังราวกับผีเร่ร่อน ระหว่างนี้ยังแอบแฝงตัวเข้าไปในหอเก็บหนังสือของตระกูลปัญญาชนแห่งหนึ่ง หยิบหาหนังสือมาอ่านไปเรื่อยเปื่อย
ก่อนฟ้าจะสางถึงแอบออกมาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ไปนั่งฟังบทสอนของเหล่าปราชญ์ที่กั๋วจื่อเจียนของเมืองหลวง จนกระทั่งเที่ยงพระอาทิตย์ลอยตรงศีรษะถึงได้เดินกลับเข้าไปในตรอกจ้วงหยวน เขาจงใจหลบเลี่ยงบ้านหลังที่เกี่ยวข้องกับผู้เฒ่าแซ่ติงและหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ
ในตรอกจ้วงหยวนมีร้านขายหนังสือเล็กแคบอยู่หลายร้าน นอกจากจะขายหนังสือแล้วยังขายสี่เครื่องเขียนล้ำค่าที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเครื่องประดับอันงดงามบนโต๊ะหนังสืออีกบางส่วน เพราะฝีมือหยาบเรียบง่าย ยังดีที่ราคาไม่สูง ถึงอย่างไรคนที่มาซื้อของในแถบนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นบัณฑิตยากจนที่เข้ามาสอบในเมืองหลวง เฉินผิงอันซื้อบันทึกภูเขาและแม่น้ำเนื้อหาเบาสบายจากร้านแห่งหนึ่งมาสองสามเล่ม แน่นอนว่าไม่ได้เอาออกมาอ่านในช่วงนี้ แค่อยากจะให้บนภูเขาลั่วพั่วมีหนังสือเก็บไว้มากหน่อยเท่านั้น
รอจนเฉินผิงอันเดินกลับไปถึงตรอกที่พัก เด็กน้อยหน้าตางดงามก็เพิ่งเลิกเรียนกลับมาพอดี คนทั้งสองเดินอยู่ในตรอกด้วยกัน ดูเหมือนเด็กชายจะมีเรื่องลำบากใจ อดกลั้นอยู่นานก็ยังไม่กล้าพูดออกมา
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กลับไปถึงที่พัก ตอนกลางคืนกินอาหารเย็นร่วมกับครอบครัวของเด็กชาย ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้าจะเช่าห้องพัก ครอบครัวนี้เพิ่มชามและตะเกียบอีกคู่หนึ่งมาให้เฉินผิงอัน โดยจะเก็บเงินเพิ่มอีกสามสิบอีแปะทุกวัน หญิงชรารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าทุกมื้อจะต้องมีปลามีเนื้อ แต่ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันออกไปข้างนอกเป็นประจำ หากไม่ออกเช้ากลับดึก พลาดช่วงเวลาอาหารเย็นไปแล้ว ก็หายไปนานเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว นี่ทำให้หญิงชราดีใจอย่างยิ่ง
วันนี้บนโต๊ะอาหารมีแต่อาหารจืดชืด หญิงชราขออภัยด้วยรอยยิ้ม บอกว่าวันนี้ทำไมคุณชายเฉินไม่บอกไว้ก่อน จะได้เตรียมวัตถุดิบทำอาหารไว้ล่วงหน้า
เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าขอแค่กินอิ่มก็พอแล้ว
หญิงชราจึงถามว่าพรุ่งนี้จะเอาอย่างไร พอได้ยินว่าพรุ่งนี้เฉินผิงอันจะออกไปข้างนอก หญิงชราก็ทอดถอนใจ บ่นว่าคุณชายเฉินยุ่งเกินไปแล้ว กินข้าวที่บ้านสักมื้อยังยากขนาดนี้ อันที่จริงฝีมือทำอาหารของลูกสะใภ้ไม่เลวเลย ไม่กล้าพูดว่าเอร็ดอร่อย แต่ก็ต้องกินได้เยอะแน่นอน
สตรีแต่งงานแล้วที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว ไม่กล้าคีบกับข้าวสักครั้งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วคลี่ยิ้มซื่อๆ แม่สามีชมตน ช่างหาได้ยากยิ่งนัก
เฉินผิงอันกินข้าวแล้วก็ยกม้านั่งตัวเล็กไปยังมุมถนนที่เด็กชายและปู่ชอบไปเล่นหมากล้อมกับคนอื่นเป็นประจำ ที่หาได้ยากก็คือถนนสายใหญ่เส้นนี้ถูกปูด้วยหินสีเขียว คนที่อยู่อาศัยที่นี่มาแล้วหลายรุ่นมองคนเดินผ่านไปผ่านมา บ้างก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับเพื่อนบ้านพอให้คลายเหงา หากเห็นลูกหลานตระกูลคนรวยควบม้าผ่านไป หรือมีหญิงสาวจากหอโคมเขียวที่พอจะมีชื่อเสียงเดินนวยนาดผ่านมาก็สามารถทำให้ถนนทั้งเส้นสว่างไสวได้แล้ว
เฉินผิงอันนั่งอยู่ไม่ห่างจากวงหมากล้อมเท่าไหร่นัก คนมุงล้อมอยู่ตรงนั้นเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่าเด็กชายก็ยกม้านั่งออกมาเช่นกัน แถมยังมานั่งข้างตน
ก่อนหน้านี้เขาปลด ‘ปราณกระบี่’ วางไว้ในห้อง มารับลมเย็นอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านแล้วยังแบกกระบี่ไว้ คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พกไว้ติดตัว แต่ให้กระบี่บินสืออู่ที่เชื่อฟังมากกว่าอยู่ที่ห้อง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกใครขโมยไป เมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยนเวลานี้ไม่สงบสุข คิดว่าอีกไม่นานมังกรซ่อนพยัคฆ์หลบทั้งหลายคงจะลุกกันขึ้นมาแล้ว
สัมผัสได้ถึงท่าทางผิดปกติของเด็กชาย เฉินผิงอันจึงถามด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องในใจรึ?”
เด็กชายเข้าเรียนที่โรงเรียนจึงพอจะรู้มารยาทบ้างแล้ว เขาก้มหน้าลง “คุณชายเฉิน ขอโทษด้วย”
เฉินผิงอันพูดเบาๆ “หมายความว่าอย่างไร?”
เด็กชายนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเตี้ย สองมือกำแน่นวางไว้บนหัวเข่า ไม่กล้ามองเฉินผิงอัน “เวลาที่คุณชายเฉินไม่อยู่บ้าน ท่านแม่ข้ามักจะฉวยโอกาสไปพลิกค้นของของคุณชายเฉิน”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เดิมทีนึกว่าเป็นหญิงชราปากร้ายคนนั้นที่มักจะ ‘แวะไป’ พลิกค้นของในห้องเขาเป็นประจำ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นมารดาของเด็กชายที่มองดูเหมือนคนซื่อ
อารมณ์ของเด็กชายยิ่งหนักอึ้ง “ภายหลังคุณชายเฉินออกจากบ้านไปนาน ท่านแม่จึงแอบไปเอาตำราที่คุณชายเฉินวางไว้บนโต๊ะมาให้ข้า ข้าทนไม่ไหวจึงแอบเปิดอ่าน ข้ารู้ว่าทำแบบนี้ไม่ดี”
เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะพูดง่ายๆ ว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่เขารีบกลืนมันกลับลงท้องไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนมาพูดใหม่ว่า “ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินเที่ยวในเมืองหลวง มีวันหนึ่งอยู่ในงานวัดที่คึกคักได้เห็นแม่ลูกท่าทางร่ำรวยคู่หนึ่ง ด้านหลังมีข้ารับใช้ที่ดวงตาฉายประกายคมกริบกลุ่มหนึ่งแอบติดตามมาอย่างลับๆ เด็กชายอายุห้าหกขวบเห็นพี่สาวหน้าตางดงามคนหนึ่งกำลังเลือกของอยู่ที่แผงลอย เขาจึงวิ่งไปกระตุกชายแขนเสื้อของเด็กสาวคนนั้น แน่นอนว่าเด็กชายไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่ต้องการดึงดูดความสนใจของผู้ใหญ่ ตอนแรกเด็กสาวไม่ได้สนใจเขา แต่เพราะเด็กชายมาจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ เห็นว่าพี่สาวคนนี้ไม่สนใจตนจึงเริ่มโมโห น้ำหนักมือจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กสาวถูกตอแยจนทนไมไหว แต่นางก็รู้ความจึงไม่ได้ถือสาเด็กชายที่ไม่รู้ประสา เพียงแค่เงยหน้ามองไปทางแม่เด็กที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ฝ่ายหลังจึงเรียกลูกชายของตนกลับมา ไม่ให้เขาทำตัวเหลวไหลอีก
หากเหตุการณ์นี้ยุติลงเพียงเท่านี้ เฉินผิงอันก็คงแค่มองผ่านเลยไป
แต่สตรีแต่งงานแล้วที่มีสง่าราศีผู้นั้นกลับเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันไม่อาจเข้าใจได้จนกลายเป็นปมในใจที่คิดไม่ตกมาโดยตลอด
สตรีซึ่งมาจากตระกูลที่มีฐานะกลับสั่งสอนบุตรชายตัวเองด้วยประโยคที่ว่า “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าพี่สาวโกรธแล้ว เลิกซุกซนได้แล้ว”
มองปราดๆ เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร สีหน้าท่าทางของสตรีแต่งงานแล้วคู่ควรกับคำว่าสุภาพเยือกเย็น สายตาที่มองบุตรชายตัวเองเต็มไปด้วยความเมตตารักใคร่ ท่าทีที่ปฏิบัติต่อเด็กสาวก็ไม่ได้เลวร้ายเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งบัดนี้ที่เฉินผิงอันได้พูดคุยกับเด็กชายถึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุ
นี่มีส่วนคล้ายคลึง แต่ก็มีส่วนที่ไม่เหมือนหายนะที่น่าเศร้าซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ย
สตรีแต่งงานแล้วสอนบุตรชายแบบนี้ เป็นสิ่งที่ผิด
หรือว่าหากเด็กสาวที่อยู่ตรงร้านแผงลอยไม่โกรธ เด็กชายก็ทำตัวแบบนี้ได้?
เมื่อเทียบกับเรื่องน่าเศร้าในยุทธภพของผู้อาวุโสซ่งอวี่เซา ‘เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณี’ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดประเภทนี้ จะบอกว่าร้ายแรงก็คงไม่ได้ แต่หากพร่ำบ่นไม่จบไม่สิ้นก็อาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่แน่ว่าสตรีแต่งงานแล้วอาจจะรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลจึงไม่คิดจะละเว้นคนอื่น ได้คืบแล้วจะเอาศอก คิดว่าคนของตระกูลตนรังแกได้ง่ายหรือไร? แม้แต่เด็กสาวคนนั้นก็อาจจะไม่รับน้ำใจเสมอไป
เฉินผิงอันควักแผ่นไม้ไผ่แผ่นนั้นออกมาดูปลายซ้ายขวาทั้งสองด้าน เส้นสายตาไล่ไปตามพื้นที่ระหว่างกลางไม่หยุด
ด้านบนมีรอยสลักมากมาย
นิ้วชี้ของมือข้างซ้ายและข้างขวาของเฉินผิงอันดันอยู่ตรงปลายสองด้านของแผ่นไม้ไผ่ที่เหมือนไม้บรรทัด ไม้ไผ่แผ่นนี้จึงลอยอยู่กลางอากาศ เขาหันไปเอ่ยยิ้มๆ กับเด็กชายที่มีท่าทางกระวนกระวาย “ท่านแม่เจ้าทำแบบนี้ แน่นอนว่าผิด เจ้ารู้ว่าผิดแต่ยังไม่แก้ไข นั่นก็ยังไม่ถูกอยู่ดี แต่พอรู้เรื่องแล้วยังต้องเข้าใจด้วยว่า เรื่องราวบนโลกมีแบ่งเล็กใหญ่ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกนอกจากถูกผิด ใช่หรือไม่ใช่แล้ว ยังต้องรู้จักมีน้ำใจ ยกตัวอย่างเช่นทำไมท่านแม่ของเจ้าถึงทำแบบนี้ ก็ไม่ใช่เพราะอยากให้เจ้าอ่านหนังสือให้มากๆ วันหน้าจะได้กลายเป็นถงเซิง ซิ่วไฉ เป็นนายท่านจวี่เหริน หรืออาจถึงขั้นสอบติดจิ้นซื่อไม่ใช่หรือ? ท่านแม่เจ้าเป็นคนที่ทนความลำบากได้มากขนาดนั้น สิ่งที่นางทำไปจะเพื่อความมีเกียรติของวงศ์ตระกูล เพื่อให้นางได้อยู่ดีกินดีน่ะหรือ? คิดแล้วคงไม่ใช่ นางก็แค่อยากให้เจ้ามีชีวิตที่ดีในอนาคต ถูกไหม? เหตุใดท่านแม่ของเจ้าถึงทำเรื่องที่ผิดเช่นนี้ หากเจ้าเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก ความผิดของนางและความหวังดีที่นางมีต่อเจ้า เจ้าคงรู้ดีอยู่แก่ใจ อันดับต่อไปก็ถึงคราวของเจ้าบ้างแล้ว เจ้าเรียนหนังสือ เรียนหลักการของอริยะปราชญ์ในตำราจึงรู้เรื่องมารยาทแล้ว ถ้าเช่นนั้นหากกาลเวลาหมุนย้อนกลับ มอบโอกาสให้เจ้าอีกครั้ง เจ้าจะทำอย่างไร?”
เด็กชายตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลา เพราะเฉินผิงอันอธิบายหลักการแบบตื้นๆ ส่วนเขาก็เป็นเด็กฉลาด จึงฟังเข้าใจ หลังจากใคร่ครวญอย่างจริงจังก็ตอบว่า “ข้าควรเอาตำราที่ท่านมาขโมยมากลับไปวางไว้ในห้องของคุณชาย หลังจากนั้นก็ขอยืมหนังสือจากท่านอย่างตรงไปตรงมา แบบนี้ถูกต้องไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ากล้าพูดแค่ว่า สำหรับข้าถือว่าถูกต้อง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เจ้าอาจจะต้องคิดให้มากขึ้นอีกนิด”
เด็กชายกล่าวอย่างลิงโลด “คุณชายเฉิน ถ้าอย่างนั้นท่านคงไม่ตำหนิท่านแม่ของข้าแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กของเขา “ความผิดบางอย่างสามารถชดเชยแก้ไขได้ และเจ้าก็กำลังทำอยู่”
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง “ดังนั้นอาจารย์ถึงได้บอกพวกเราว่า รู้ว่าผิดแล้วแก้ไข นับว่าประเสริฐ!”
เฉินผิงอันที่ตอนต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่นยังพูดแค่ไม่กี่คำ วันนี้กลับพูดกับเด็กคนหนึ่งมากมายขนาดนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ แต่จิตใจกลับสงบลงได้หลายส่วน รู้สึกว่าต่อให้จะต้องไปฝึกเดินนิ่งและฝึกกระบี่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว
เฉินผิงอันเก็บไม้ไผ่แผ่นนั้นกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ แล้วก็ถือโอกาสพูดเพิ่มไปอีกสองสามประโยค”
“ทุกวันต้องกินข้าว เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป”
“ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ การเรียนหนังสือ การอธิบายเหตุผล ไม่ใช่เพื่อให้เป็นอริยะปราชญ์เสมอไป แต่เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นอีกนิด แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีขึ้นจริงเสมอไป แต่อย่างน้อยที่สุดในตำราคำสอนของเหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อ คำกล่าวอันล้ำค่าของเหล่าวิญญูชนนักปราชญ์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็ได้มอบความเป็นไปได้ที่ ‘ไม่มีทางผิด’ ที่สุดอย่างหนึ่งให้แก่พวกเรา บอกกับพวกเราว่าที่แท้คนก็มีชีวิตอย่างนี้ได้ มีชีวิตที่ทำสงบและสบายใจ”
เด็กชายกล่าวอย่างมึนงง “คุณชายเฉิน เรื่องพวกนี้ข้าฟังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “มีเรื่องมากมายที่ข้าเองก็ยังคิดได้ไม่กระจ่างแจ้ง ก็เหมือนกำลังสร้างบ้านหลังหนึ่งที่มีแค่เสาไม่กี่ต้นเท่านั้น ยังอยู่ห่างจากความสามารถในการหลบลมหลบฝนไกลนัก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจัง ฟังเข้าใจหรือไม่ก็ไม่เป็นไร วันหน้าหากมีปัญหาข้อไหนที่ไม่เข้าใจก็ถามเอาจากอาจารย์ในโรงเรียนบ่อยๆ”
เด็กชายคลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน หิ้วม้านั่งตัวเล็กขึ้นมา โค้งคำนับเฉินผิงอันหนึ่งครั้งแล้วก็บอกว่าจะกลับบ้านไปคัดตัวอักษรต่อแล้ว อาจารย์ที่สอนหนังสือเขาเข้มงวดมาก หากแอบอู้ต้องโดนตี
เฉินผิงอันโบกมือยิ้มให้ “ไปเถอะ”
เฉินผิงอันเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันกลับไปด้านหลัง “ทิ้งก้อนหินที่อยู่ในมือไปซะ”
ด้านหลังมีเสียงอ่อนเยาว์ดัง “อ้อ” ขึ้นหนึ่งที จากนั้นก็เป็นเสียงก้อนหินหล่นลงพื้น ดูเหมือนว่าหินก้อนนั้นจะไม่ใช่เล็กๆ
เด็กหญิงผอมแห้งคนหนึ่งปัดมือ เดินอาดๆ มานั่งยองข้างกายเฉินผิงอัน หันหน้ามาถามว่า “ขอม้านั่งให้ข้ายืมนั่งบ้างสิ?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วเริ่มดื่มเหล้า
เด็กหญิงถามอีกว่า “เจ้ามีเงินขนาดนี้ ยกให้ข้าบ้างได้ไหม? เมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ต้องกินข้าวทุกวันถึงจะได้ไม่ต้องหิวตาย”
เฉินผิงอันย้อนถามโดยไม่ได้มองนาง “เจ้าตามหาข้าเจอได้อย่างไร?”
บทสนทนาของคนทั้งสองเหมือนหัววัวที่ไม่ตรงกับปากม้า (หมายถึงเรื่องราวที่ไม่สอดคล้องกัน ไปกันคนละทิศทาง)
เด็กหญิงกล่าวอย่างน่าสงสาร “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ขาดเงิน ให้เงินข้าแค่ไม่กี่ตำลึง เจ้าก็คงไม่เสียดาย แต่ข้าสามารถซื้อขนมเปี๊ยะกับซาลาเปาเนื้อได้หลายชิ้น พอถึงหน้าหนาว ทุกปีเมืองหลวงจะต้องมีขอทานแก่ๆ ที่หนาวตายเป็นจำนวนมาก เสื้อผ้าขาดๆ บนร่างพวกเขา หากข้าคิดจะถอดออกมาต้องเปลืองแรงมาก เจ้าดูสิ เสื้อผ้าบนร่างข้าชุดนี้ได้มาเพราะวิธีนี้ หากว่าข้ามีเงินต้องสามารถอดทนจนผ่านไปได้แน่”
เฉินผิงอันยังคงไม่มองนาง “เสื้อผ้าที่สวมอยู่ตอนนี้คงได้มาด้วยวิธีนั้น แต่ชุดที่สวมคราวก่อนล่ะ คงเป็นเสื้อผ้าที่แม่นางน้อยคนนั้นแอบเอาออกมาให้เจ้าสินะ? วันนี้ทำไมถึงไม่สวมเสียล่ะ หรือเพราะคิดจะมาพบข้า?”
เด็กหญิงเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ฟังความหมายในคำพูดของเฉินผิงอันไม่เข้าใจ นางยิ้มซื่อๆ กล่าวว่า “ฤดูร้อนแบบนี้ เสื้อผ้าขาดเล็กน้อยกลับช่วยให้เย็นสบาย ชุดที่นางมอบให้ข้า ปกติข้าตัดใจเอามาใส่ไม่ลง พอถึงหน้าหนาวค่อยเอาออกมา สวมบนร่างจะอบอุ่นมากเป็นพิเศษ”
เฉินผิงอันลุกพรวดขึ้นยืน หันมองไปทางซ้ายขวาสองฝั่งสุดตรอกแวบหนึ่ง แต่กลับพูดกับเด็กหญิงที่นั่งยองอยู่ “ไปยืนให้ติดกับมุมกำแพง หลังจากนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด”
เด็กหญิงเป็นคนหัวไว นางคอยแอบสังเกตเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมองตามเส้นสายตาของเฉินผิงอันอยู่นานแล้ว พอได้ยินประโยคนี้ก็ทำแก้มพอง บ่นพลางลุกขึ้นยืน ขณะที่กำลังจะวิ่งไปหลบภัยตรงกำแพงพลันได้ยินคนผู้นั้นพูดว่า “เอาม้านั่งไปด้วย”
นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมข้าต้องช่วยถือให้เจ้าด้วย? เจ้าเป็นบิดาที่พลัดพรากจากข้าไปหลายปีหรือไง”
เฉินผิงอันไม่มัวอ้อมค้อม “สิบอีแปะ”
“ได้เลย ท่านพ่อ!” บนใบหน้าดำคล้ำของเด็กหญิงคลี่ยิ้มราวดอกไม้ผลิบาน หิ้วม้านั่งตัวเล็กมาได้ก็วิ่งฉิวไปทันที
—–