กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 311.2 ลอบฆ่า
ในสายตาของทุกคนปรากฏภาพลวงตาราวกับถนนใหญ่ทั้งเส้นถูกเท้านี้เหยียบให้ถล่มลงไปหลายฉื่อ
หนึ่งหมัดของกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ไม่มีการกักเก็บพลังกระแทกโครมลงบนหน้าอกของหม่าเซวียน
แรงกระแทกทำให้ภาพวาดอริยะบู๊เครายาวชุดเขียวที่อยู่ด้านหลังแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา
เรือนกายสูงใหญ่กำยำของหม่าเซวียนส่งเสียงดังเปรี้ยงแล้วปลิวลิ่วกระเด็นออกไป
เฉินผิงอันตามติดราวกับเงาตามตัว
แล้วก็ปล่อยไปอีกหมัด ร่างของหม่าเซวียนบิดเบี้ยวเหมือนธนูโค้ง การออกหมัดครั้งนี้เฉินผิงอันเปลี่ยนองศาเล็กน้อย เป็นเหตุให้ร่างของหม่าเซวียนกระแทกเข้ากับคู่หูที่อยู่ด้านหลังพอดี
“ลู่ฝ่างช่วยข้าด้วย!”
สตรีอุ้มผีผาหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง หลังจากส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจก็ไม่ได้อยู่เฉยรอความตาย ไม่เสียแรงที่นางเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ทั้งไม่ได้ถอยหนี แล้วก็ไม่ได้หลบซ้ายหลบขวา แต่ดีดปลายเท้าพุ่งพรวดไปด้านหน้า พยายามจะหลบอยู่ด้านหลังหม่าเซวียนที่มีร่างจินกังมิพ่าย ในใจคิดว่าไอ้หมอนั่นคงไม่ถึงกับต่อยหมัดทะลุร่างของหม่าเซวียนมาได้
ขอแค่เขาหยุดชะงักเล็กน้อย เชื่อว่าลู่ฝ่างต้องออกกระบี่ทันที
ดูเหมือนเฉินผิงอันจะมองความคิดของสตรีอุ้มผีผาออก หมัดที่สามถึงได้กระแทกลงบนหน้าท้องของหม่าเซวียน
ร่างทองไม่เพียงแต่แตกสลายเพราะถูกแรงกระเทือน ดวงตาทั้งคู่ทีเดิมทีเป็นสีเงินอ่อนของหม่าเซวียนก็เปลี่ยนมาเป็นสีแดงก่ำ เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยน่าหวาดกลัว
แผ่นหลังของหม่าเซวียนกระแทกเข้ากับสตรีอุ้มผีผาที่ตอนแรกนึกว่าจะได้เปรียบแต่กลับกลายเป็นเข้าเนื้ออย่างแรง
สายเอ็นของผีผาถูกแรงชนจนเกิดเสียงโกลาหลไม่เป็นจังหวะ หญิงสาวกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำแล้วก็ถีบเท้าสองข้างตัดสลับกันถอยกรูดอยู่กลางอากาศ
แต่ก็ยังช้าเกินไป
หมัดของเฉินผิงอันต่อยทะลุผีผาที่อยู่ในอ้อมอกของหญิงสาว กระแทกเข้าที่หน้าท้องของนางอย่างแรง เหวี่ยงแขนเป็นครึ่งวงกลม ทั้งหญิงสาวและผีผาที่แตกพังต่างก็ถูกพลังของหมัดบิดหมุน จากนั้นก็เหวี่ยงเข้าไปชนผนังด้านหนึ่ง เรือนกายแอบอิ่มนั้นแทบจะฝังลงไปในผนังทั้งหมด เป็นตายไม่รู้ชัด ผีผาในอ้อมอกร่วงหล่นบนพื้นอย่างหมดสิ้นซึ่งพลัง
ลู่ฝ่างที่อยู่ห่างออกไปไกลคลี่ยิ้มน้อยๆ ยังคงไม่ออกกระบี่
แม้ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะมองเขาเป็นศัตรูที่แท้จริงก็ตาม
เขาเอ่ยอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง “ใบหน้ายิ้ม จำไว้ว่าอย่ามึนงงสับสนไปกับความเร็วในการออกหมัดทุกครั้งของเขาเด็ดขาด เพราะเขายังเร็วกว่านี้ได้อีก พยายามอย่าให้เขาเข้ามาประชิดตัว อาวุธลับหรือยาพิษอะไรทั้งหลายแหล่ ไม่สู้เอาออกมาลองดู”
ลู่ฝ่างแสร้งทำท่าเป็นเข้าใจในฉับพลัน “อ้อ ใช่แล้ว คนที่เขาอยากฆ่าจริงๆ แท้จริงแล้วคือแม่นางยาเอ๋อร์และคุณชายใหญ่โจว”
ถูกวิชาหมัดของเฉินผิงอันสั่นสะเทือนจิตใจ ยาเอ๋อร์หญิงสาวจากลัทธิมารไม่เหลือแม้แต่ความคิดจะฝืนใจยืนชมเรื่องสนุกอีกแล้ว ต่อให้หลังจบเรื่องจะถูกเจ้าลัทธิเฒ่าซักไซ้เอาความผิด แต่อย่างไรก็คงดีกว่ามีจุดจบอเนจอนาถอย่างหม่าเซวียน
ฝ่ายโจวซื่อก็ยิ่งตัดสินใจได้นานแล้วว่าจะนิ่งดูดายไม่ให้ความช่วยเหลือ
แต่ลู่ฝ่างกลับพูดออกมาแบบนี้ คนทั้งสองจึงประหวั่นพรั่นพรึง
แล้วก็จริงดังคาด เฉินผิงอันขยับตัวเข้าหาพวกเขาในแนวขวาง
คนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือยาเอ๋อร์ที่สวมรองเท้าเกี๊ยะ
นางกำลังจะขยับหลบกลับต้องเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
กำแพงด้านหลังของนางระเบิดออกอย่างไร้ลางบอกเหตุ กระบี่ยาวที่เรียวบางอย่างถึงที่สุดเล่มหนึ่งปรากฏออกมา มือทั้งคู่ของนักฆ่ากุมด้ามกระบี่ จ้วงแทงรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ปลายกระบี่แทงทะลุมาจากแผ่นหลังของหญิงสาว มือสองข้างที่จับกระบี่แนบอยู่กับแผ่นหลังของยาเอ๋อร์ นักฆ่าห้อตะบึงไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง หญิงสาวที่น่าสงสารจึงถูกผลักไปเบื้องหน้าทั้งอย่างนี้
ราวกับหน้าท้องของหญิงสาวมีกระบี่ไร้ฝักยาวสามฉื่อผุดออกมา
ปลายกระบี่แทงเข้าหาเฉินผิงอัน
ตรงเข้าสู่จุดจงถิง
จุดจงถิงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคางมังกร ตำแหน่งตรงกับเส้นกึ่งกลางเบื้องหน้าของเฉินผิงอันพอดี
ลู่ฝ่างกำด้ามกระบี่อย่างเงียบเชียบ
แต่ไม่นานเขาก็ปล่อยออก
ชั่วเส้นยาแดงผ่าแปด เฉินผิงอันก็หายตัวไป
เขาใช้ยันต์ฟางชุ่นแผ่นสุดท้าย
นักฆ่าคนนั้นปล่อยมือข้างหนึ่งที่กุมกระบี่มากดท้ายทอยของหญิงสาวแล้วผลักไปด้านหน้าอย่างแรง เรือนกายอรชรไถลออกจากตัวกระบี่ ล้มฟุบหน้าคว่ำลงบนพื้นดินที่ห่างออกไปหลายจั้ง กระดูกสันหลังขยับน้อยๆ น่าจะกระอักเลือดไม่หยุด เลือดไหลนองเปียกซึมอาภรณ์ด้านหลัง หญิงสาวดิ้นรนลุกขึ้น พยายามจะพลิกตัวกลับมา แต่เพิ่งจะงอข้อศอกได้เล็กน้อยก็ร่วงกระแทกกลับลงบนพื้นถนนอย่างแรงอีกครั้ง
นักฆ่าคนนั้นคือบุรุษหนุ่มเปลือยเท้า ม้วนแขนเสื้อพับขึ้น เขาหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่กำลังปรับลมหายใจ พูดพร้อมยิ้มเจิดจ้า “ได้ยินว่าขอแค่สังหารเจ้าก็จะได้สมบัติอาคมไปครอง ข้าก็เลยมา”
เขาสลัดกระบี่หมุนควงอย่างสง่างาม “ข้าชื่อเฝิงชิงไป๋ ผู้ฝึกกระบี่ เลื่อนสู่อันดับสิบคนคือส่วนหนึ่ง บวกกับส่วนที่แลกมาด้วยหัวของเจ้า ก็น่าจะได้กำไรก้อนโตแล้ว”
เฝิงชิงไป๋กล่าวอย่างจนใจ “น่าเสียดายที่ไม่สามารถสังหารเจ้าได้ด้วยกระบี่เดียว หากปะทะกันซึ่งๆ หน้า ข้าก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเสมอไป แต่ไม่เป็นไร ข้าสามารถร่วมมือกับลู่ฝ่างได้ เขาเป็นคนเดียวของที่นี่ที่มีคุณสมบัติเป็นเซียนกระบี่ ถึงอย่างไรก็ต้องกลับไปแน่นอน”
หม่าเซวียนที่อัญเชิญเทพเข้าร่างได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ บัดนี้ร่างทองพังทลาย
หญิงสาวอุ้มผีผาที่ร่างจมหายเข้าไปในผนัง แน่นิ่งไม่ขยับ ตรงมุมกำแพงยังมีเสียงหินแตกร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวงดงามที่มีชื่อเสียงในลัทธิมารซึ่งแอบประคับประคองเชื้อพระวงศ์อย่างลับๆ มานานหลายปีนอนจมอยู่ในกองเลือด รองเท้าเกี๊ยะและเท้าสีหิมะขาวผ่องคู่นั้นสะดุดตามากเป็นพิเศษ
แต่ยังมีลู่ฝ่าง เฝิงชิงไป๋ที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ ใบหน้ายิ้ม และหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ
เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กท่องอยู่ในใจว่า “หมัดแล้วหมัดเล่า ต่อยหัวสุนัขของพวกเขาให้ระเบิด ข้าจะได้ไปถอดเสื้อผ้าและรองเท้าของพวกเขามา แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องขายได้เงินเยอะ”
เด็กหญิงมองสภาพน่าสังเวชของหญิงสาวคนนั้นอยู่ไกลๆ โดยเฉพาะรองเท้าเกี๊ยะคู่นั้นที่นางอดมองหลายครั้งไม่ได้ ในใจคิดว่าแต่งตัวเป็นจุดสนใจขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่จะตายเร็ว
เฉินผิงอันกำสองหมัดแน่น จากนั้นก็คลายออก ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง
ฝึกวิชาหมัดมานานขนาดนี้ คงได้เวลาที่จะปล่อยออกไปบ้างแล้ว
……
บนยอดเขากู่หนิว จ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนสีหน้าเคร่งเครียด ถามเสียงหนักคล้ายไม่กล้าแน่ใจนัก “เป็นเช่นนี้จริงรึ? หากสังหารคนนั้นผู้นั้น นอกจากจะได้รายชื่อใหม่เอี่ยมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรายชื่อ ยังจะได้โชคลาภอีกสามส่วน? เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ที่เป็นความลับของแต่ละแคว้นและเอกสารคดีลับของหอจิ้งหย่าง ทุกๆ ครั้งที่ระยะเวลาหกสิบปีจะมาถึง ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ นี่จะเป็นแผนของติงอิงหรือไม่?”
อวี๋เจินอี้ที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ซื่อบริสุทธิ์กำลังใช้มีดแกะสลักสลักซี่พัดไม้ไผ่หยกซี่หนึ่งอย่างตั้งใจ เหมือนคนลุ่มหลงในรักที่ปฏิบัติต่อผิวพรรณของสตรีผู้เป็นที่รัก ได้ยินคำถามของจ้งชิวก็ไม่ได้ตอบ แต่จ้องมองลวดลายเล็กละเอียดบนด้ามไม่ไผ่ตาไม่กะพริบ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมา นี่สำหรับอวี๋เจินอี้ที่วิถีวรยุทธ์อยู่ในขอบเขตกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมแล้ว ต้องไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน
ในฐานะปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นรองแค่ติงอิง อากาศร้อนหรือหนาวไม่อาจทำอะไรอวี๋เจินอี้ได้นานแล้ว อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าตอนอายุเจ็ดสิบปีเขาได้ตำราลับของเซียนมาเล่มหนึ่ง จึงบรรลุเจตนารมณ์สวรรค์มาหลายสิบปี เชี่ยวชาญเวทคาถาเป็นอย่างดี ถึงขั้นมีคนพูดจาอย่างมาดมั่นว่าเคยเห็นอวี๋เจินอี้ขี่เมฆทะยานหมอก ขี่นกกระเรียนขี่นกหลวนด้วยตาตัวเอง และช่วงเวลานั้นรูปลักษณ์ภายนอกของอวี๋เจินอี้ก็เริ่มเปลี่ยนจากผู้เฒ่าผมขาวมาเป็นชายฉกรรจ์ เด็กหนุ่ม จนกระทั่งกลายเป็นเด็กอย่างในทุกวันนี้
หลังจากปิดด่านมาสิบปี เมื่อฝ่าด่านสำเร็จ ในที่สุดคนและฟ้าก็รวมเป็นหนึ่ง คนทั้งโลกต่างก็หวังให้อวี๋เจินอี้ผู้นำฝ่ายธรรมะต่อสู้กับติงอิงสักครั้ง ทางที่ดีที่สุดคือสังหารอีกฝ่ายให้ตายไป คืนความสงบสุขให้แก่โลก ฮ่องเต้หลายพระองค์จะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวน ขนาดนอนหลับก็ยังฝันว่าถูกเขาตัดหัว ปรมาจารย์ของทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมก็จะได้ไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ แม้แต่พวกบุคคลยิ่งใหญ่ของลัทธิมารก็ยังหวังให้บรรพบุรุษเฒ่านิสัยประหลาดผู้นี้รีบตายไปเร็วๆ หรือไม่ก็รีบสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ในตำนานอย่างการบินทะยานขึ้นฟ้า สรุปก็คืออย่าได้อยู่ในโลกมนุษย์อีกเลย แปดสิบปีแล้ว ควรจะเปลี่ยนคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของอันดับหนึ่งได้แล้ว
นอกจากบุรุษอย่างอวี๋เจินอี้กับจ้งชิวที่เป็นทั้งสหายและเป็นทั้งคู่แค้นกันแล้ว บนยอดเขากู่หนิวยังมีหญิงสาวหน้าตางามเพริศพริ้งที่สวมชุดฮุยอีอันสูงศักดิ์ ชุดเฮยอีนี้เป็นสีเขียวเข้ม คือชุดพิธีการสูงสุดของฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยน จะสวมใส่ก็ต่อเมื่อเข้าร่วมพิธีสำคัญเช่นการประชุมราชสำนัก งานพิธีบวงสรวง เป็นต้น บนยอดเขาเวลานี้มีราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนที่เคารพกฎมากที่สุด ถ้าเช่นนั้นสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ก็ต้องเป็นโจวซูเจินฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนเท่านั้น
นางยังมีตัวตนอีกอย่างหนึ่งที่ไม่อาจบอกใครได้ นั่นคือเจ้าของหอจิ้งหย่างคนปัจจุบัน รับผิดชอบจัดอันดับยอดฝีมือในใต้หล้า ยี่สิบปีต่อหนึ่งครั้ง
โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ปรารถนาในความงามของโจวฮองเฮาผู้นี้มานานแล้ว หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อเคยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาในตำหนักใหญ่วัดป๋ายเหอว่า หากไม่เป็นเพราะจ้งชิวเฝ้าอยู่ข้างวังหลวง บิดาของเขาก็คงเข้าวังไปแย่งชิงตัวคนมานานแล้ว
อวี๋เจินอี้วางไม้ไผ่หยกในมือชิ้นนั้นลง ยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาครั้งหนึ่ง ลมหายใจนั้นเป็นเหมือนไอหมอกที่ลอยอวลอยู่บนดวงหน้าของเด็กน้อยเนิ่นนานไม่ยอมสลายไป เขาตอบคำถามของจ้งชิวก่อน “น่าจะไม่ผิด แต่ติงอิงผู้นี้คาดเดาจิตใจได้ยาก เมื่อเทียบกับร่วมแรงกันสังหารมือกระบี่หนุ่มที่โผล่มากะทันหันผู้นั้นแล้ว แผนรับมือของติงอิงหลังจากนี้ต่างหากที่พวกเราควรระวังมากกว่า”
อวี๋เจินอี้เพิ่มระดับเสียงให้หนักขึ้น “ข้าไม่วางใจสถานการณ์ทางตรอกจ้วงหยวน ราชครูจ้งทางที่ดีที่สุดเจ้าควรไปจับตามองด้วยตัวเอง”
เรียกขานว่าราชครูจ้ง
ดูท่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะบางเบามากจริงๆ
จ้งชิวขมวดคิ้วพูด “แผนล้อมสังหารที่ตรอกจ้วงหยวน ไม่เพียงแต่มีติงอิงคอยเฝ้าพิทักษ์ ลู่ฝ่างยังพกกระบี่ไปด้วยตัวเอง มีอะไรให้ต้องไม่วางใจอีก?”
อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “ข้าไม่วางใจติงอิง แล้วก็ไม่วางใจลู่ฝ่าง”
สีหน้าของจ้งชิวไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ลู่ฝ่างผู้นี้เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา มีอะไรให้ต้องไม่วางใจ? เพียงแค่เพราะเขาเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับมือกระบี่ผู้นั้นน่ะรึ?”
บุคคลอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า เจ้าประมุขพรรคหูซาน พระอาจารย์ของกษัตริย์แคว้นซงไล่ เทพเซียนผู้เฒ่าในสายตาของคนบนโลกผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมาทุกเรื่อง แต่ความเย็นชาห่างเหินที่แผ่ออกมาจากกระดูกนั้น ใครก็ตามที่ยิ่งสนิทสนมกับเขาก็จะยิ่งสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง
อวี๋เจินอี้กล่าวเสียงเรียบ “หากเจ้าไม่ไป ข้าไปเองก็ได้”
จ้งชิวแค่นเสียงเย็นหนึ่งที ก่อนจะพุ่งตัวลงไปยังตีนเขาเหมือนอินทรีบินโฉบโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองโจวฮองเฮา
กลายเป็นเงาดำเล็กๆ หนึ่งจุดที่เด้งขึ้นเด้งลงอยู่ตรงตีนเขาหลายครั้ง เพียงไม่นานก็หายไปจากภูเขากู่หนิว
โจวฮองเฮาทอดถอนใจ “แข็งแกร่งดุจจ้งชิวก็ยังไม่สามารถบังคับลมได้เหมือนเซียนที่บันทึกไว้ในตำราโบราณ เจ้าล่ะ อวี๋เจินอี้ ตอนนี้ทำได้หรือยัง?”
อวี๋เจินอี้เงียบเป็นคำตอบ
โจวซูเจินหัวเราะ “ต่อให้ไม่ได้ขี่เมฆบังคับลม แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังสง่างามสูงส่งอยู่ดี”
ตอนที่นางยังเป็นเด็กสาวได้พบจ้งชิวและอวี๋เจินอี้ครั้งแรกในตลาดต่างแคว้น ฝ่ายแรกฉายประกายคมกริบ ฝ่ายหลังเก็บงำประกาย แต่ก็ยังทำให้นางตื่นตะลึงระคนชื่นชมได้อยู่ดี
อวี๋เจินอี้ลุกขึ้นยืน ร่างของเขาสูงไม่ถึงหน้าอกของโจวฮองเฮา แต่เมื่อเขาลุกขึ้นยืน โจวซูเจินกลับรู้สึกเหมือนถูกไล่ลงไปยังตีนเขา ได้แต่แหงนหน้ามองคนผู้นี้ที่อยู่บนยอดเขา
อวี๋เจินอี้ถาม “สิบคนใต้หล้า แน่ใจแล้วหรือว่าไม่มีผิดพลาด?”
โจวซูเจินพยักหน้ารับ “แน่ใจแล้ว”
จู่ๆ นางก็ถอนหายใจอย่างอดไม่อยู่ “เหมือนการสอบใหญ่ที่ราชสำนักมีต่อขุนนางยิ่งนัก เพียงแต่ไม่ได้โหดร้ายถึงขั้นนี้”
อวี๋เจินอี้เอาสองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองไปไกล ท่าทางอ้างว้าง
ฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนที่อำพรางตนได้อย่างลึกล้ำถามคำถามข้อหนึ่ง “ถงชิงชิงไปหลบอยู่ที่ไหนกันแน่?”
อวี๋เจินอี้เงียไปครู่หนึ่ง “คงมีแค่ติงอิงที่รู้กระมัง”
โจวซูเจินหันหน้ากลับมามองเทพเซียนที่สูงส่งเหนือใครผู้นี้ “ขอบเขตวรยุทธ์ของติงอิงสูงแค่ไหนกันแน่?”
อวี๋เจินอี้ตอบด้วยประโยคประหลาด “ไม่รู้ว่าข้ารู้หรือไม่รู้”
—–