กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 312.1 เหนือคนยังมีคน
เมื่อหวาดกลัวถึงขีดสุดแล้ว เด็กชายกลับไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป บนโลกนี้เหลือเขาตัวคนเดียว เด็กชายที่เพิ่งจะได้เรียนหนังสือของชั้นประถมวัยไม่กี่เล่ม ยังไม่รู้จักคำว่ากล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย ใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
รอยยิ้มผู้เฒ่าคลุมเครือมีเลศนัย
เด็กชายพูดเสริมอีกว่า “ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้จงได้! ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่าของข้า!”
ผู้เฒ่าที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงินชี้ไปที่ตัวเองพลางเอ่ยยิ้มๆ “ข้า? คนบนโลกล้วนชอบเรียกข้าว่ามารเฒ่าติง ไม่ว่าจะฝ่ายธรรมะหรืออธรรมก็ล้วนไม่มีข้อยกเว้น ลูกศิษย์ในลัทธิที่พบเจอข้าอาจจะเรียกด้วยความเคารพว่าเจ้าลัทธิไท่ซ่าง ส่วนชื่อเดิมของข้า ชื่อว่าติงอิง ไม่ได้ใช้มันมาหลายปีแล้ว”
ผู้เฒ่าถาม “แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร?”
เด็กชายเสียงสั่น แต่กลับพยายามตะเบ็งเสียงให้ดังมากที่สุด “เฉาฉิงหล่าง!” (ฉิงหล่างหมายถึงวันที่อากาศ/ท้องฟ้าแจ่มใส)
ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “ชื่อนี้ของเจ้าช่างตั้งได้เอาเปรียบคนอื่นยิ่งนัก บวกกับหน้าตาเช่นนี้ของเจ้า วันหน้าท่องอยู่ในยุทธภพระวังจะถูกคนทุบตี”
เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ลมพายุขุมหนึ่งที่ส่งเสียงอื้ออึงพัดไปทางกระดาษหน้าต่างด้านข้างของห้อง ทว่ากระดาษหน้าต่างแผ่นบางกลับไร้ความเสียหาย ในห้องเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกฟาดกลับไป
เด็กชายไม่อาจเข้าใจวิธีการที่อัศจรรย์สุดขีดนี้ เขาเพียงแต่โกรธจนหน้าเขียว “ผายลม!”
คนในครอบครัวตายไปแล้ว ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้จึงกลายมาเป็นความทรงจำอย่างสุดท้ายของเด็กชาย
ผู้เฒ่าไม่ถือสา ตามองแม่ไก่หลายตัวในลานบ้านที่กำลังเดินจิกหาอาหารไปทั่ว
ผู้เฒ่าลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว หยิบข้าวสารจากถังใส่ข้าวมากำมือหนึ่ง พอกลับมานั่งที่เดิมแล้วก็โปรยลงบนพื้น พวกแม่ไก่กระพือปีกถลาเข้ามากินอาหารอย่างสำราญใจ
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “คนบนโลกต่างก็กลัวข้า แต่เจ้าดูสิ พวกมันไม่กลัวเลย”
เขาค้อมหลังเอนตัวไปด้านหน้า “นี่หมายความว่าปรมาจารย์ยอดฝีมือ กษัตริย์ แม่ทัพทั้งหลายสู้ไก่สักตัวก็ยังไม่ได้ อย่างนั้นหรือ?”
เด็กชายยังเยาว์นัก ในสมองมีแต่ความเคียดแค้น ไหนเลยจะเต็มใจคิดถึงเรื่องพวกนี้ เพียงแค่จ้องมองมารร้ายที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ เจ็บใจที่ตัวเองมีพละกำลังน้อยเกินไป ฉับพลันนั้นเขาบังเกิดความคิด นึกขึ้นได้ว่าในห้องครัวยังมีมีดผ่าฟืนที่ลับจนคมใช้ได้ สถานที่อย่างเมืองหลวงนี้ ครอบครัวเล็กๆ ที่พอมีฐานะอย่างครอบครัวของเด็กชายมีเงินมากพอที่จะเรียกให้คนขายถ่านที่เดินผ่านหน้าบ้านหยุดรถ มีดผ่าฟืนที่อยู่ในบ้านก็แค่มีไว้ประดับพอเป็นพิธีเท่านั้น
ผู้เฒ่ามองท้องฟ้า ถามเองตอบเอง “แน่นอนว่าไม่ใช่ ก็แค่คนไม่รู้จึงไร้ความกลัวเท่านั้น บางครั้งอินทรีตัวหนึ่งบินผ่านท้องฟ้า หนูที่อยู่ในผืนนาก็รีบกำเมล็ดข้าวเปลือกใต้อุ้งเท้าไว้แน่น คนแบบนี้ในใต้หล้าของพวกเรามีไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย ไม่ได้ดีไปกว่าพวกชาวบ้านธรรมดาสักเท่าไหร่ พวกเขาก็แค่สามารถมองเห็นเงาดำได้เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นอวี๋เจินอี้แห่งแคว้นซงไล่ที่เปลี่ยนมาฝึกตนเป็นเซียน พ่อครัวเฒ่าในตำหนักรัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเจ้า ภิกษุเฒ่าผู้บรรยายพระสูตรแห่งวัดจินกัง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ติงอิงก็ลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง ดีดนิ้วเบาๆ ลมพายุลูกแล้วลูกเล่ามารวมตัวกันกลายเป็นเส้น แล้วโจมตีไปทางหน้าต่างข้างห้อง
ติงอิงลงมือเร็วเกินไป ลมพายุสีเขียวอึมครึมรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าต่างอย่างต่อเนื่อง เป็นจุดๆ ก้อนๆ คล้ายภาพดวงดาวบนทางช้างเผือก
“และยังมีคนต่างถิ่นบางส่วนที่สมกับคำว่าผู้มาเยือนไม่มีเจตนาดี ผู้มีเจตนาดีไม่มาเยือน พวกเขาล้วนถูกพวกเราเรียกว่าเป็นเจ๋อเซียนทั้งหมด ท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์ดุจดั่งดาวหางที่มาเร็ว แล้วก็จากไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าโลกใบนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร มีปัญหาตามมาแค่ไหน กลายมาเป็นกองขยะที่เละเทะเกินเยียวยาเท่าไหร่ พวกเขาไม่เคยสนใจ”
“พวกเขาไม่สนใจการพบพรากสุขทุกข์บนโลกมนุษย์”
ติงอิงยิ้มพลางทำมือเหมือนพลิกเปิดหนังสือ จากนั้นก็ตบเบาๆ คล้ายปิดหนังสือเข้าหากัน “คนพวกนี้ทำเหมือนเปิดหน้าหนึ่งของหนังสืออ่านเล่นยามมีเวลาว่าง พลิกกลับไปแล้วก็พลิกกลับมา บนหน้าหนังสือจะเขียนว่า ‘จารีตเสื่อมเสีย’ ‘เลือดนองพันลี้’ ‘ปวงประชาทุกข์ยากน่าเวทนา’ หรือไม่ พวกเขาล้วนไม่สนใจ”
“ครอบครัวที่สืบทอดมารยาทพิธีการมานานนับพันปี จวนอริยะจากตระกูลปัญญาชนให้กำเนิดตัวประหลาด ถูกเขาทำลายเสียจนย่อยยับป่นปี้”
“แคว้นเล็กๆ ที่ห่างไกล มีฮ่องเต้ที่จิตใจทะเยอทะยาน ไม่เคยเข้าใจเรื่องยกทัพจับศึก แต่กลับทุ่มกำลังทัพจับศึกพร่ำเพื่อ เพียงยี่สิบปีคนหนุ่มของครึ่งแคว้นก็ตายสิ้น”
เด็กชายหรือจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาเอาแต่จมจ่อมอยู่กับความเคียดแค้นของตัวเอง “แล้วเจ้าล่ะทำอะไร?”
เด็กชายในตรอกที่ชื่อว่าเฉาฉิงหล่างสะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นคำ “เจ้าก็ได้แต่สังหารพ่อแม่ ปู่ย่าของข้า…”
เสียงสะอื้นของเฉาฉิงหล่างแฝงไว้ด้วยความเจ็บแค้น “เจ้าจะนับเป็นวีรบุรุษชายชาตรีอะไรได้ เจ้ามันมารร้ายชั่วช้าที่ไม่สมควรได้รับการให้อภัย!”
คล้ายจะจงใจแกล้งหยอกเด็กน้อย ผู้เฒ่าถึงทำเสียงฮือๆๆ เลียนแบบเด็กชาย จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น
ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะเขายังมีจิตใจเป็นเด็ก หรือเสียสติจนเป็นบ้าไปแล้ว
เด็กชายโกรธจนตัวสั่น
ติงอิงเอ่ยยิ้มๆ “อันที่จริงเจ๋อเซียนพวกนั้นจะทำอะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ไม่เกี่ยวเลย ข้าก็แค่หาข้ออ้างให้ตัวเองฆ่าคน ฆ่าคนบางคนที่น่าสนใจก็เท่านั้น”
ผู้เฒ่ายกแขนข้างหนึ่งขึ้น ใช้ฝ่ามือต่างมีดทำท่าขึ้นลงเหมือนกำลังสับเนื้อ “เจ๋อเซียนคนหนึ่ง เจ๋อเซียนสองคน สามคนสี่คน สับพวกเขาให้ตาย นอกจากพวกเขาแล้วยังมีสิบคนเบื้องบนที่ไม่นับรวมข้า รวมไปถึง ‘สิบคนเบื้องล่าง’ ที่เกิดขึ้นในภายหลังด้วย ใครที่น่าสนใจก็เก็บไว้ รกหูรกตาก็ฆ่าให้หมด”
ท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเด็กชาย
ติงอิงแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ครั้งนี้ไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อครั้งหกสิบปีนั้นสักเท่าไหร่
ดังนั้นเขาถึงเลือกอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ลงมือด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรเขาก็ยังบ้าคลั่ง พยายามที่จะใช้กำลังของตัวเองคนเดียวไปท้าทายกับยอดฝีมือเก้าคนหรืออาจจะมากกว่าสิบคน เมื่อหกสิบปีก่อนเคยมีคนพยายามทำเช่นนี้ หวังจะฮุบเอาโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าไว้เพียงลำพัง ผลคือแพ้อนาถ
หากคนหนุ่มที่เป็นเจ้านายของกระบี่บินผู้นั้นมีชีวิตรอดไปได้ คงทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
ถ้าเช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้นติงอิงจะออกไปจากที่นี่ ทำให้คนผู้นั้นไม่กลายเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอีกต่อไป
ติงอิงรู้ว่าใต้หล้าแห่งนี้ก็เหมือนการเลี้ยงแมลงพิษ
จุดลึกในใจของติงอิงซุกซ่อนความลับอย่างหนึ่งที่ไม่เคยมีใครรู้ เพื่อคลายปมปริศนานี้ เขาจึงสนใจแค่เรื่องเดียว นั่นคือหากเขาทำให้การเลี้ยงแมลงพิษหกสิบปีนี้ของตนกลายมาเป็นความว่างเปล่าเหมือนใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ
ใครคนนั้นจะมาพบตนหรือไม่
และจะเป็นใครกันแน่ที่จะมายืนต่อหน้าตน
ซึ่งก่อนหน้าที่จะเป็นเช่นนั้น ยังมีกุญแจสำคัญอยู่สองข้อ
หนึ่งคือโจวซื่อต้องตายอยู่บนถนน ทำให้ลู่ฝ่างและโจวเฝยเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในสถานการณ์ด้วยตัวเอง
สองคือเจ้าของกระบี่บินก็ต้องตายเช่นกัน
ติงอิงหันไปมองทางหน้าต่างแล้วคลี่ยิ้ม เขาคิดว่าไม่มีอะไรยาก
……
ผู้เฒ่าจมูกงองุ้มเหมือนเหยี่ยวคนหนึ่งเดินอยู่บนถนนที่คึกคักของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน แม้ไม่แสดงความโกรธก็ยังน่าเกรงขาม น่าจะเป็นคนจากทางเหนือเพราะเรือนกายของเขาสูงมาก โดดเด่นดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ ดึงดูดสายตาของชาวบ้านในพื้นที่ได้ไม่น้อย ข้างกายของผู้เฒ่ามีองค์รักษ์ชายหญิงสีหน้าสงบนิ่ง ฝีเท้าที่ก้าวเดินหนักแน่นปราดเปรียว พวกเขาแค่ชำเลืองตามาก็สามารถข่มให้สายตาอยากรู้อยากเห็นที่มองมาถอยกลับไป เมื่อมาถึงเมืองที่ดีเยี่ยมที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ ผู้เฒ่าก็ทอดถอนใจไม่หยุด คุ้นชินกับแผ่นฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ และความว่างเปล่าอ้างว้างของนอกด่านแล้ว ปรับตัวเข้ากับฝูงชนที่มากมหาศาลขนาดนี้ไม่ทันจริงๆ และในขณะที่อารมณ์ของผู้เฒ่าเริ่มจะย่ำแย่ ชายฉกรรจ์ลักษณะเปี่ยมไปด้วยพละกำลังคนหนึ่งก็เดินเร็วๆ มาจากทิศไกล แจ้งอาจารย์ผู้มีพระคุณด้วยภาษาของทุ่งราบกว้างว่าหาคนผู้นั้นเจอแล้ว เขาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าสะพานเคอเจี่ย ห่างจากที่แห่งนี้ไปไม่ไกล
ผู้เฒ่าให้ลูกศิษย์ผู้นี้นำทาง เพียงไม่นานก็เดินผ่านสะพานหินที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานไปถึงร้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ไม่นึกว่าจะเป็นร้านขายแพรต่วน ผู้เฒ่าบอกให้พวกลูกศิษย์รออยู่ด้านนอก กิจการของร้านซบเซา ไม่มีลูกค้าแวะเวียนมา ผู้เฒ่าเดินข้ามธรณีประตูไปเพียงลำพัง มองเห็นว่าด้านหลังโต๊ะคิดเงินตัวสูงมีศีรษะหนึ่งที่มีเส้นผมหร็อมแหร็ม เจ้าของหน้าตาขี้ริ้วโผล่ออกมา
เถ้าแก่ร้านเห็นผู้เฒ่าก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “โอ้ แขกที่หาได้ยากๆ ช่วงนี้เจอใครข้าก็ไม่รู้สึกแปลกใจแล้ว มีเพียงได้พบเจอเจ้านี่แหละ ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นแน่ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้ลูกชายของโจวเฝยจะมาบอกข้าก่อนแล้วว่าเจ้าต้องมา แต่อันที่จริงข้ากลับไม่เชื่อเท่าไหร่ แค่คิดว่าเขาจะมาหลอกให้ข้าออกจากภูเขาเพื่อช่วยป้องกันภัยให้พ่อเขา”
เถ้าแก่ร้านเดินอ้อมโต๊ะออกมา ผายมือบอกเป็นนัยให้ผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยวหาที่นั่งได้ตามสบายพลางกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวว่า “ปรมาจารย์ใหญ่เฉิง ท่านผู้อาวุโสรีบนั่งก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นพูดกับท่านแล้วข้าต้องคอยแหงนหน้า คงเมื่อยแย่”
ผู้เฒ่าที่เดินทางมาไกลไม่ถือสา พอนั่งลงบนเก้าอี้รับรองแขกหยาบๆ ตัวหนึ่งแล้วก็พูดเข้าประเด็นทันที “หากไม่เป็นเพราะข้าไม่เชื่อในรายชื่อสิบคนของหอจิ้งหย่าง ข้าก็คงไม่เสี่ยงมาที่นี่ ลำดับของเจ้าและข้าต่างก็ไม่อยู่ในห้าอันดับแรก มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด เฝิงชิงป๋ายที่มีสถานะเป็นเจ๋อเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย ยาเอ๋อร์ศิษย์หลานของมารเฒ่าติง โจวซื่อบุตรชายของโจวเฝย ตอนนี้ก็มีตั้งสามคนแล้ว ใครจะไปรู้ว่าจะมีเต่าน้อยตะพาบเฒ่าที่แอบซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำอีกหรือไม่”
เถ้าแก่ร้านพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
อวี๋เจินอี้ จ้งชิวสองในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ไปรวมตัวกันอยู่บนภูเขากู่หนิว นี่คือข่าวที่ป่าวประกาศแก่ภายนอกเพื่อให้คนในใต้หล้ามาร่วมชมความครึกครื้น
ครั้งนี้หอจิ้งหย่างเลือกจะมาป่าวประกาศอันดับรายชื่อสิบคนในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นี่ต่างหากถึงจะเป็นกุญแจสำคัญของความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่อย่างแท้จริง
ผู้เฒ่าที่มาจากนอกด่านแค่นเสียงเย็น “ข้าใช้ทวน เจ้าใช้ดาบ เหมือนกับจ้งชิว ต่างก็เป็นวิถีของหมัดนอก ไม่เหมือนกับจิ้งจอกเฒ่าอวี๋เจินอี้ ขอแค่เป็นศึกตาย ย่อมต้องทิ้งอาการบาดเจ็บไว้ไม่มากก็น้อย พวกเราสามคนต้องไม่มีทางทนได้ถึงอีกหกสิบปีให้หลังแน่นอน เพื่อโอกาสครั้งนี้ ข้าเข่นฆ่าตลอดทางจนมาถึงวันนี้ โรคแอบแฝงเล็กใหญ่บนร่าง ถึงอย่างไรก็ต้องมีคำอธิบาย!”
กล่าวมาถึงตอนสุดท้าย ผู้เฒ่าตบที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ เก้าอี้ไม่เป็นอะไร แต่พื้นร้านด้านล่างเก้าอี้กลับเกิดรอยปริร้าวแผ่ขยายลามไปทั่ว
ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าที่รออยู่ด้านนอกสัมผัสได้ถึงลมปราณที่ไหลเวียนในร้าน แต่ละคนก็ตั้งท่าเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ ลมหายใจเริ่มหนักกระชั้น
เถ้าแก่เอ่ยยิ้มๆ “ลูกศิษย์เหล่านี้ของเจ้า พรสวรรค์ไม่ได้โดดเด่นสักเท่าไหร่นัก ไหนเคยได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนเจ้าพบลูกหมาป่าน้อยที่มีพรสวรรค์น่าตะลึงตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ? หลายปีมานี้เจ้าตั้งใจอบรมสั่งสอนก็คงไม่ด้อยไปกว่าพวกลูกรักของสวรรค์อย่างยาเอ๋อร์ โจวซื่อหรอกกระมัง?”
ผู้เฒ่าแซ่เฉินกล่าวอย่างเฉยชา “ตายแล้ว พรสวรรค์ดีเกินไปก็ไม่ดี”
เถ้าแก่ร้านพูดอย่างขุ่นเคือง “เฉิงหยวนซาน! เสือร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง เจ้ายังมีความเป็นคนอยู่บ้างไหม?”
ผู้เฒ่าที่เดินทางไกลนับพันลี้จากนอกด่านมาถึงแคว้นหนันเยวี่ยนก็คือปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่อยู่ในอันดับแปดของสิบผู้ยิ่งใหญ่ใต้หล้า
เมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากที่ถูกหอจิ้งหย่างคัดออกจากอันดับสิบคน เขาก็ไปอยู่ที่ทุ่งหญ้ากว้างนอกด่าน เพียงไม่นานก็กลายเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของผู้ครองทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
เฉิงหยวนซานปรายตามองผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ปกปิดชื่อแซ่อยู่ในแคว้นหนันเยวี่ยน “หลิวจง เจ้ายังมีหน้ามาว่าข้าด้วยหรือ? คนลับมีด คนลับมีด เจ้าหลิวจงชอบเอาอะไรมาลับมีดมากที่สุด?”
คนลับมีดหลิวจงหัวเราะหึหึ
เฉิงหยวนซานกล่าวด้วยความสงสัย “ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ อีกทั้งแคว้นหนันเยวี่ยนยังเป็นถิ่นฐานที่จ้งชิวตั้งใจดูแลอย่างยากลำบาก คราวนี้จ้งชิวยืนอยู่ฝ่ายใดกันแน่? แรกเริ่มสุดข้านึกว่าเป็นอวี๋เจินอี้ แต่ตอนนี้มาลองดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่? แล้วมารเฒ่าติงล่ะคิดจะทำอะไร? เขาเป็นคนที่ไม่ต้องทำอะไรที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ แต่กลับมาที่แคว้นหนันเยวี่ยน เขาคิดอะไรอยู่?”
หลังจากที่ปี้เซิ่งหลิวหยวนซานเอ่ยถึง ‘คนลับมีด’ พลังอำนาจของหลิวจงก็เพิ่มทะยานขึ้นอย่างพรวดพราด แต่ตอนนี้พลังนั้นกลับร่วงดิ่งลง ร่างทั้งร่างกลับกลายมาเป็นผู้เฒ่าตัวเล็กของร้านที่เอาตัวรอดให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน เขาชี้หน้าเฉิงหยวนซาน เอ่ยหยอกเย้า “เจ้าน่ะชอบคิดมากเกินไป”
แต่เฉิงหยวนซานรู้ดีว่าตลอดหลายปีมานี้หลิวจงไม่เคยหยุดฝึกตนเพิ่มพูนตบะ หรืออาจถึงขั้นว่าตอนนี้ตบะของเขาได้รุดหน้าไปแล้วก้าวใหญ่
ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาแถบแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนี้มีจ้งชิวคอยเฝ้าพิทักษ์อยู่ข้างวังหลวง จึงไม่มีข่าวลือที่น่าตะลึงพรึงเพริดใดๆ แพร่ออกไป การฝึกวรยุทธ์ของหลิวจง หากไม่มีหินลับมีดจะไม่ถอยกลับรุดหน้าได้อย่างไร? หลายปีมานี้เฉิงหยวนซานเองนอกจากจะแอบสังหารยอดฝีมือนอกด่านอย่างลับๆ แล้ว ก็ยังแฝงตัวเข้ามาทิศใต้อยู่หลายครั้ง เขาลอบฆ่าปรมาจารย์ในยุทธภพที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่สิบอันดับแรกไปสองคนก็เพื่อขัดเกลาสภาพจิตใจท่ามกลางการเข่นฆ่าที่อันตราย มิกล้าเพิกเฉยละเลยแม้แต่น้อย
—–