กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 313 อุบัติภัย
โจวเฝยขยี้สองนิ้ว วิญญาณของหญิงสาวที่อยู่ตรงปลายนิ้วเขาก็รวมตัวกันกลายเป็นไข่มุกสีขาวหิมะเม็ดหนึ่งที่ถูกเขาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อเบาๆ เงยหน้ามองภิกษุเฒ่าแห่งวัดจินกังอีกครั้งก็ไม่เหลือความผ่อนคลายเบาสบายเฉกเช่นก่อนหน้านี้ เขาพูดเข้าประเด็นโดยตรง “กลับมาพูดเรื่องอาภรณ์ตัวนั้น ข้ารู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับเจ้า ด้วยเรื่องนี้จ้งชิวยังตั้งใจมาที่วัดนี้เพื่อพบเจ้าโดยเฉพาะ”
ทว่าภิกษุเฒ่ากลับยังไม่เต็มใจจะพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน สายตาที่เต็มไปด้วยแววหวนระลึกความทรงจำมองไปยังผืนป่าเขียวชอุ่มนอกกระท่อม “อาตมามีศิษย์น้องคนหนึ่ง ตอนยังหนุ่มเคยฝึกพระธรรมด้วยกัน เขาบอกว่าทนเห็นเรื่องราวที่น่าเศร้าบนโลกใบนี้ไม่ได้มากที่สุด หากได้เห็น เขาก็อดคิดไม่ได้ทุกทีว่า เดิมทีโลกมนุษย์ก็มีศาสนาพุทธ แต่โลกมนุษย์กลับยังเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขากลายเป็นอรหันต์ได้จริง แล้วจะอย่างไร? ภายหลังข้าออกจากวัดเล็กที่บ้านเกิดแห่งนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้ศิษย์น้อง…”
“ได้กลายเป็นอรหันต์แล้วหรือยัง?”
โจวเฝยข่มกลั้นโทสะในใจ ส่ายหน้าเบาๆ พลางเอ่ยเย้ยหยันว่า “สถานที่เล็กๆ เช่นนั้นจะกลายเป็นอรหันต์ที่แท้จริงได้อย่างไร ไต้ซือเฒ่า เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
ภิกษุชราส่ายหน้า “ข้าแค่อยากรู้ว่าศิษย์น้องยังมีชีวิตอยู่บนโลกหรือไม่ ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ข้าคิดถึงโจ๊กที่ศิษย์น้องทำอย่างมาก”
โจวเฝยเตรียมจะลุกขึ้นยืน “ข้าไม่อยากเสียเวลาพูดจาวกไปวนมากับเจ้าแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปเอง ลงไปถามศิษย์น้องที่อยู่ด้านล่างด้วยตัวเองเถอะว่ายังทำโจ๊กเป็นหรือไม่”
ภิกษุชราสีหน้าเฉยเมย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากข้าช่วยเอาร่างอรหันต์ทองคำในวังหลวงมาให้เจ้าโจวเฝยได้ เจ้าจะช่วยรับปากข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”
โจวเฝยกลับลงไปนั่งอีกครั้ง รู้สึกสนใจไม่น้อย “ ‘ข้า’?”
ภิกษุชรายื่นมือมาลูบศีรษะที่โล้นเตียน กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ข้าไม่อยากเป็นพระสงฆ์แล้ว ตั้งแต่เด็กก็ถูกเอามาทิ้งไว้หน้าประตูวัด อาจารย์มีเมตตาจึงรับมาเลี้ยง ตอนนั้นอยู่กับศิษย์น้องสองคน วันๆ ก็คิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่เรื่องที่คิดบ่อยที่สุดแท้จริงแล้วคืออยากลองหวีผมกับเขาบ้าง”
โจวเฝยกุมท้องหัวเราะก๊าก
ภิกษุชราปลดจีวรตัวนอกออก พับอย่างเป็นระเบียบแล้ววางไว้ด้านข้าง เอ่ยเบาๆ ว่า “ขอเจ้าโปรดช่วยนางหาวิธีที่จะทำให้หลุดพ้น อย่าให้ถูกกักอยู่ใน ‘สถานที่เล็กๆ’ แห่งนี้อีกเลย”
ชุดกระโปรงสีเขียวที่ชายแขนเสื้อกว้างสะบัดพลิ้วไหวตัวหนึ่งปรากฏกายอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง
สาวงามทั้งหลายที่อยู่นอกกระท่อมปรนนิบัติโจวเฝยมานานหลายปี ความรู้จึงกว้างขวาง แต่พอได้เห็นชุดกระโปรงล่องลอยอยู่กลางอากาศกับตาตัวเองก็ยังอดรู้สึกตื่นตะลึงไม่ได้
ชุดกระโปรงลอยมาหยุดอย่างข้างภิกษุชรา ชายกระโปรงค่อยๆ ลดตัวสัมผัสพื้น สุดท้ายพอจะมองเห็นได้ว่าอยู่ในท่าคุกเข่าอย่างนอบน้อม
หลังจากที่ภิกษุชราถอดจีวรออกก็ไม่พิถีพิถันกับถ้อยคำที่ใช้อีกต่อไป “หลายปีมานี้รับผิดชอบหน้าที่เป็นพระผู้ต่อดวงประทีปและพระผู้อธิบายพระสูตร ผ่านมาปีแล้วปีเล่า บรรยายพระธรรมและถ้อยคำในพระไตรปิฎกนับพันนับหมื่นประโยคให้พวกเขาฟัง บุคคลหลากหลายรูปแบบ สามลัทธิเก้าสาขา พวกเขาฟังแล้วก็แค่ฟัง บนสนามรบยังคงมีสงคราม การฆ่าล้างแค้นในยุทธภพยังคงอยู่ หรือจะให้พระสงฆ์อย่างข้ายกมีดกำจัดความโหดร้ายเพื่อแลกมาด้วยความสงบสุข ใช้การฆ่าหยุดยั้งการฆ่าอย่างนั้นหรือ? จะให้เอามีดจ่อคอ บีบบังคับให้พวกเขาหันหน้าเข้าหาศาสนาพุทธ หันมากระทำความดี?”
ชุดกระโปรงยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นมาปิดเหนือคอเสื้อ ทำท่าเหมือนคนกำลังปิดปากหัวเราะ
ภิกษุชราจ้องมองโจวเฝย “ทำได้หรือไม่?”
โจวเฝยไม่ได้รีบให้คำตอบ ภิกษุชราแห่งวัดจินกังที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คืออริยะแห่งศาสนาพุทธของฟ้าดินแห่งนี้ เชี่ยวชาญการเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่ ตัวอักษรดุจวัชระ พลังอำนาจเปี่ยมล้น
โจวเฝยถอนหายใจ “คนซื้อขายต้องมีความจริงใจให้กัน ภิกษุชราอย่างเจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเมื่อได้โชควาสนาที่ถูกกำหนดมาประเภทนี้แล้วก็จะไปจากสถานที่แห่งนี้ได้?”
ภิกษุชราหันหน้าไปมองกระโปรงสีเขียว กล่าวอย่างจนใจ “แต่นางไม่เหมือนกันนี่นา”
แม้ว่าโจวเฝยจะเป็นเจ๋อเซียนที่สติปัญญาเปิดกว้างมานานมากแล้ว แต่ก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองรู้กฎเกณฑ์ทุกอย่าง เพราะถึงอย่างไรก่อนที่จะลงมายังโลกมนุษย์ก็ต้องเจอเวทลับตระกูลเซียนบางอย่างที่พันธนาการจิตวิญญาณอย่างแท้จริงมาไม่น้อย
หอจิ้งซิน วัดจินกัง หอจิ้งหย่าง
ผู้นำของสามสถานที่นี้ เมื่อผ่านเคราะห์กรรมและการตกตะกอนมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้น้อยกว่าเขา
ภิกษุชราคลี่ยิ้ม “ประสกโจวถามคำถามเช่นนี้ได้ ข้าก็วางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว”
โจวเฝยพูดพึมพำกับตัวเอง “สำหรับข้าแล้ว สถานการณ์ที่ดีที่สุด แน่นอนว่าคือการพาโจวซื่อจากไปด้วยกัน แต่หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นล่ะ อย่างเช่นสถานการณ์ในตอนนี้ โจวซื่อถูกคนทำร้ายบาดเจ็บสาหัส แทบจะไม่มีโอกาสจับปลาน้ำขุ่นแอบแทรกเข้าไปในสิบอันดับได้แล้ว ข้าก็จำเป็นต้องแน่ใจว่าเมื่อตัวเองจากไปแล้ว อีกหกสิบปีให้หลัง โจวซื่อจะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น โจวซื่อ ยาเอ๋อร์ ฝานกว่านเอ่อร์ คนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อไปเยือนฟ้าดินที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่า ขอแค่มีคนยินดีดูแลพวกเขา พวกเขาย่อมสามารถปลดปล่อยประกายเจิดจ้า สร้างความรุ่งโรจน์ได้อย่างแน่นอน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ โจวเฝยก็แสดงความแค้นเคืองอย่างยากจะปิดบัง “ลู่ฝ่างเจ้าคนโง่เง่า ทั้งๆ ที่มองออกแล้ว แต่กลับไม่เคยใคร่ครวญให้กระจ่างอย่างแท้จริง ข้าผู้อาวุโสจะไปหาอาจารย์แม่ ศิษย์พี่หญิง ศิษย์น้องหญิงอะไรให้เขาจากไหนได้อีก! ปีนั้นยังมีหน้าเอากระบี่มาทิ่มข้าได้ลงคอ…”
ภิกษุชราเงยหน้ามองมา
โจวเฝยพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ระหว่างร่องนิ้วก็มีจดหมายฉบับหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
ก้มหน้าลงอ่านเนื้อหาภายในแล้วโจวเฝยก็หัวเราะเสียงดังก้อง “สวรรค์ช่วยข้าแท้ๆ”
เขาหันหน้าไปมองโฉมสะคราญที่มีความงามแตกต่างกันออกไปแล้วในใจก็ทอดถอนใจไม่หยุด รู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง ไม่พูดถึงถงชิงชิงคนบนเส้นทางเดียวกันที่ไม่ต้องคาดหวังให้เปลืองแรง พูดถึงแค่โจวซูเจินฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยน ฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินและยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมาร แค่สามคนนี้ ต่อให้พรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ของหญิงสาวทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้าจะดีแค่ไหน ก็ยังห่างชั้นกับพวกนางไกลโขนัก
……
เว่ยเหยี่ยนรัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนที่สวมชุดลำลองพาคนสองคนเดินลอดผ่านระเบียงของตำหนักองค์รัชทายาทไปด้วยกัน คนหนึ่งในนั้นคืออาจารย์ผู้มีพระคุณของเขา ผู้เฒ่ามีร่างเล็กเตี้ยเหมือนลิงผอมแห้ง ทว่าเขากลับเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีชื่อเสียงของใต้หล้าในปัจจุบัน
อีกคนหนึ่งก็คือฝานกว่านเอ่อร์เทพีผู้ได้รับความเลื่อมใสจากเหล่าชาวยุทธ์แคว้นหนันเยวี่ยน เทพธิดาที่มาจาหอจิ้งซินอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของยุทธภพ
สีหน้าของเว่ยเหยี่ยนแปลกประหลาด ค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความรู้สึกโชคดี เพียงแต่ว่ามีอาจารย์อยู่ด้วย เขาจึงไม่กล้าแสดงออกชัดเจนนัก
ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ถ่ายทอดวรยุทธ์อันเลิศล้ำให้แก่เว่ยเหยี่ยนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าตัวดี หลบอยู่ใต้เปลือกตาของข้ามานานหลายปีโดยที่ข้าไม่เคยสังเกตเห็น ไหนๆ ก็จะเจอหน้ากันแล้ว ข้าก็อยากจะขอดูความสามารถแท้จริงของสิบผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้าดูสักหน่อย ราชครูจ้งคือวีรบุรุษที่หาได้ยากในโลก ข้านับถือมาโดยตลอด แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพ่อครัวที่ก่อไฟทำกับข้าวคนหนึ่งจะร้ายกาจได้สักแค่ไหน!”
ผู้เฒ่าสบถด่าเสียงดังโฉงเฉง
ที่แท้รายชื่อสิบผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้าฉบับใหม่ล่าสุดที่ออกโดยหอจิ้งหย่างได้ระบุชื่อแซ่ ที่อยู่ ระดับความสูงต่ำของวรยุทธไว้ด้วยคร่าวๆ พวกติงอิง อวี๋เจินอี้ล้วนเป็นคนหน้าเก่าแล้ว ทว่าคนหนึ่งในนั้นเหมือนโผล่ออกมากะทันหัน อีกทั้งยังเก็บซ่อนตัวตนอย่างมิดชิด เขาอยู่ในตำหนักองค์รัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยน สถานะคือพ่อครัวคนหนึ่ง
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นควัน กลิ่นเกลือ กลิ่นน้ำมันกำลังแอบอู้งาน เขานั่งอยู่ด้านนอกห้องครัวที่เป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด ในมือถือถั่วเหลืองคั่วสีทองอร่ามหนึ่งกำมือใหญ่ โยนเข้าปากทีละเม็ด ด้านในพวกลูกศิษย์หลานศิษย์ที่เขาอบรมสั่งสอนมาเองกับมือกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อกลางวันของวันนี้
พ่อครัวเฒ่าเห็นเงาร่างของรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนแล้วก็ถอนหายใจ ใบหน้าแก่ชรายับยู่ อยากจะหาความสงบบ้างไม่ได้เลยจริงๆ
เว่ยเหยี่ยนไล่พวกพ่อครัวและสาวใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป พ่อครัวเฒ่าก็ไม่ได้ห้ามปราม ยังคงนั่งยองอยู่ที่เดิม ทอดถอนใจเฮือกๆ เหมือนยอมรับชะตากรรม
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ก่อนหน้านี้ยังโมโหเกรี้ยวกราด พอได้เจอกับปรมาจารย์ที่อยู่ในรายชื่อผู้นี้เข้าจริงๆ ท่าทางดุดันหมายจะซักไซ้เอาความผิดก็พลันหายไป กลายมาเป็นเงียบงัน จ้องตาแก่ที่เป็นผู้มีฝีมือซึ่งซ่อนตัวอยู่ในราชวงศ์ผู้นี้เขม็ง
ทว่าพ่อครัวเฒ่ากำลังเหล่ตามองฝานกว่านเอ่อร์อยู่ตลอดเวลา มองเร็วๆ แวบหนึ่งก็ดึงสายตากลับ แต่เหมือนจะอดใจไม่ไหวจึงมองไปอีกครั้ง ขนาดฝานกว่านเอ่อร์เองยังรู้สึกประหลาดใจ
เว่ยเหยี่ยนบ่นในใจ หรือว่าคนผู้นี้เป็นพวกเฒ่าหัวงูอย่างนั้นรึ?
สิบผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้าในแต่ละยุคสมัย นอกจากโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์และถงชิงชิงที่เป็นผู้หญิงแล้ว อันที่จริงกลับไม่มีใครให้ความสนใจสาวงามบนโลกมนุษย์มานานแล้ว
ทว่าประโยคแรกของพ่อครัวเฒ่าทำให้ทุกคนตกใจกันอย่างมาก “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ๋อเซียนแบ่งออกเป็นกี่ประเภท?”
เว่ยเหยี่ยนและผู้เฒ่าร่างผอมแห้งหันมามองหน้ากัน
ส่วนฝานกว่านเอ่อร์ที่เนื่องจากมาจากหอจิ้งซินจึงพอจะรู้เรื่องวงในอยู่บ้าง
พ่อครัวเฒ่าคีบถั่วเหลืองคั่วเม็ดหนึ่งโยนใส่ปาก “ใต้หล้านี้เหลือแค่อาหารอร่อย ก็อย่าทำให้มันผิดหวังเลย หากแม้แต่สิ่งนี้ยังถูกแย่งชิงไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็…ก็คงเป็นได้แค่ผีขี้เหล้าเท่านั้น!”
พ่อครัวเฒ่าไม่มองฝานกว่านเอ่อร์อีก โยนถั่วเหลืองคั่วอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือใส่ปากจนหมด ปัดมือลุกขึ้นยืน “เจ๋อเซียนลงมาโลกมนุษย์เพื่อหาประสบการณ์จากชีวิตความเป็นไปในทางโลก ประเภทหนึ่งก็คือคนอย่างโจวเฝยและเฝิงชิงป๋ายที่รู้และเข้าใจตัวเองมาตั้งแต่แรก รู้ว่ามาเยือนโลกมนุษย์เพราะต้องการสิ่งใด ดังนั้นไม่ว่าการกระทำของพวกเขาจะดูน่าตะลึงพรึงเพริดในสายตาของพวกเราแค่ไหน ทว่าในสายตาของพวกเขาแล้วกลับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน แต่ว่าสิ่งที่เจ๋อเซียนประเภทนี้ต้องการกลับไม่ลึกซึ้งนัก อีกคนหนึ่งก็คือบรรพบุรุษหอจิ้งซินของเจ้าอย่างถงชิงชิงที่เหมือนกำลังหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง”
“ประเภทที่สองก็คือคนอย่างลู่ฝ่าง สติปัญญาถูกเปิดค่อนข้างช้า แต่สักวันจะต้องถูกปลุกขึ้นมาท่ามกลางสถานการณ์ที่คับขันบางอย่าง”
“มีอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น พวกเขาจะต้องทำตามสิ่งที่ใจปรารถนาไปชั่วชีวิต เป็นเหตุให้ไม่อาจตื่นขึ้นมาได้ มีชีวิตอย่างสับสนเลอะเลือน ผ่านไปชาติแล้วชาติเล่า นานวันเข้าบ้านเกิดกลายเป็นมาตุภูมิ ต่างถิ่นกลับกลายมาเป็นบ้านเกิด คนประเภทนี้จะค่อนข้างพิเศษ พวกเขามักจะมีรูปโฉมที่โดดเด่น พรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์สูงมาก แต่ในสายตาของคนภายนอก ความสำเร็จมักจะอยู่ห่างจากพวกเขาไกลที่สุด ทุกครั้งที่ใกล้จะสำเร็จก็มักจะเหมือนขาดอยู่อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น”
พ่อครัวเฒ่าหันมาจ้องฝานกว่านเอ่อร์อีกครั้ง “แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ที่บนร่างของคนประเภทนี้จะมีกลิ่นอายของการ ‘ไม่สอดคล้องกฎเกณฑ์’ บางอย่าง เฉกเช่นคำเรียกขานว่า ‘เกิดจิตมาร’ ‘ผีเข้าสิงร่าง’ ของพวกชาวบ้านร้านตลาด ซึ่งมีจำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ นังหนู ช่วงนี้เจ้ารู้สึกบ้างหรือไม่ว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเอง?”
ฝานกว่านเอ่อร์ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้ารับ “มีอยู่สองครั้ง”
พ่อครัวเฒ่าผงกศีรษะ ยิ้มตาหยี “มารเฒ่าติงร้ายกาจจริงๆ บนโลกนี้ไม่มีใครที่สังหารไม่ได้ บนโลกนี้ไม่มีใครที่ให้อภัยไม่ได้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าคนบ้าของปีนั้นเลย แถมยังฉลาดขึ้นด้วย ข้าว่าคราวนี้เขาน่าจะสมใจปรารถนา อวี๋เจินอี้คิดจะปกป้องโลกมนุษย์แถบนี้ ในสายตาของข้าก็ร้ายกาจมากเหมือนกัน แต่ในสายตาของคนบางคนเกรงว่าคงเป็นแผนการที่เล็กไปหน่อย กลับเป็นจ้งชิวราชครูที่ถูกอวี๋เจินอี้กดข่มมาตลอดเวลาต่างหาก เมื่อหลายปีก่อนเขาท่องไปทั่วภูเขาแม่น้ำสี่แคว้นและพื้นที่รกร้างกันดารแปดทิศเพียงลำพัง ข้าว่าเขาน่าจะได้ดิบได้ดีมากกว่า”
พ่อครัวเฒ่าถอนหายใจ “ส่วนข้าน่ะหรือ พูดมากทำมาก ผิดก็มาก ไม่สนใจไม่ใคร่รู้ก็เท่ากับรอความตาย ก่อนหน้านี้ยังคิดจะทรมานต่อเองอีกสักหน่อย แต่ยิ่งเป็นช่วงหลัง ยิ่งได้เห็นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่มีกำลังใจมากเท่านั้น สถานการณ์วุ่นวายในครั้งนี้ มารร้ายติงกับอวี๋เจินอี้คือศัตรูคู่อาฆาต มีพวกเขาสองคนจับตามองอยู่ คราวนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่บนรายชื่อล้วนไม่มีทางหนีได้พ้น ส่วนข้าน่ะหรือ เจ๋อเซียนคืออะไรกันแน่ ข้าไม่อยากรู้มานานแล้ว คิดแค่ว่าหากยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสักยี่สิบสามสิบปีก็พอใจมากแล้ว ดังนั้น…”
พ่อครัวเฒ่าพลันลงมือ สองนิ้วประกบกันเป็นท่ามุทรากระบี่ แทงทะลุไปยังช่องโพรงต่างๆ ที่สำคัญของตัวเอง ทันใดนั้นเลือดสดก็ไหลนอง ลมปราณที่หากอยู่ในสายตาของอวี๋เจินอี้หรือเฉินผิงอันที่เป็น ‘เจ๋อเซียน’ ก็แทบจะใกล้เคียงกับคำว่า ‘สอดคล้องมรรคา’ พลันแหลกสลายในชั่วพริบตา ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดของใต้หล้าแห่งนี้ร่วงดิ่งลงมาตลอดทาง กลายมาเป็นยอดฝีมือที่ยังเป็นรองผู้เฒ่าร่างผอมเหมือนลิงอีกหนึ่งระดับ เขาเลือกที่จะถอนตัวออกจากสถานการณ์วุ่นวายที่คลื่นลมมรสุมกำลังพัดกระหน่ำครั้งนี้ด้วยตัวเอง
พ่อครัวเฒ่าหน้าซีดขาว แต่กลับยิ้มอย่างปล่อยวาง ถามรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนว่า “ตำหนักองค์รัชทายาทกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เลี้ยงคนแก่ไร้ประโยชน์คนหนึ่งไว้สักยี่สิบสามสิบปีคงไม่มีปัญหากระมัง? แน่นอนว่าหากต้องการให้ข้าออกแรงเมื่อไหร่ องค์ชายก็ตรัสมาได้เลย”
เว่ยเหยี่ยนพยักหน้ารับ “ท่านแค่รักษาตัวอยู่ในตำหนักให้สบายใจก็พอ ข้าไม่มีทางมารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของท่านอย่างส่งเดชแน่นอน”
……
บนยอดเขากู่หนิว โจวซูเจินที่เพิ่งเดินมาถึงตีนเขาก็ต้องย้อนกลับไปทางเดิมอีกครั้งถือจดหมายลับฉบับหนึ่งไว้ในมือ ยื่นส่งให้อวี๋เจินอี้ด้วยรอยยิ้มฝาดเฝื่อน
อวี๋เจินอี้รับมา อ่านเนื้อหาบนจดหมายแล้วก็ขมวดคิ้วถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
โจวซูเจินกล่าวอย่างจนใจ “ต้องมาจากหอจิ้งหย่าง แต่ไม่มีทางเป็นฝีมือของหอจิ้งหย่างข้าแน่”
อวี๋เจินอี้เงยหน้ามองม่านฟ้า
เมื่อยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงมากพอ เทพมองภูเขาและแม่น้ำ โลกมนุษย์เป็นดั่งภาพธารดวงดาวที่ยิ่งใหญ่ เพียงแต่ยากที่จะมองไปเห็นรายละเอียดของคนคนหนึ่งได้อย่างชัดเจน
สำหรับเรื่องนี้อวี๋เจินอี้เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง
ยกตัวอย่างเช่นในสายตาของเขามองเห็นมารเฒ่าติง เฉินผิงอัน ลู่ฝ่างที่อยู่ในตรอกจ้วงหยวน ประกายแสงของสามคนนี้โดดเด่นสะดุดตา
ห่างออกไปไกลกว่านั้นก็เช่นในวัดจินกังที่มีอยู่สองจุด ตำหนักองค์รัชทายาทมีสี่จุด ทว่าจุดที่สว่างที่สุดกลับหม่นหมองลงอย่างฉับพลัน
การมองไกลเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเผาผลาญปราณวิญญาณที่อวี๋เจินอี้สั่งสมมานานปี แต่หากอวี๋เจินอี้คิดจะมองคนบางคน ‘ใกล้ๆ’ อย่างละเอียดก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย
……
บ้านหลังที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน มารเฒ่าติงที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงินพลันได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งที่มาจากหอจิ้งหย่าง
อ่านมาถึงช่วงท้าย ดวงตาของผู้เฒ่าพลันเป็นประกาย
มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยรึ?
ต่อให้เป็นติงอิงก็ยังรู้สึกหวั่นไหว
เขาชำเลืองตามองเฉาฉิงหล่างแล้วจุ๊ปากพูด “เจ้าเด็กน้อย เจ้านี่มันโชคดีไม่เบา!”
แสดงว่าคนต่างถิ่นคนนั้นต้องถูกใครผลักลงหลุมอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ชักนำให้เกิดการล้อมโจมตีครั้งใหญ่ขนาดนี้ได้
ในประวัติศาสตร์ที่ติงอิงรู้มา ทุกๆ ระยะเวลาหกสิบปีแทบไม่เคยมีใครสอดมือเข้ามาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยมีเจ๋อเซียนท่านไหนถูกคนโจมตีหนักขนาดนี้
—–