กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 317.2 ศึกใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้น
หลิวจงคนลับมีดที่เปิดร้านขายผ้าแพรต่วนอยู่ในเมืองหลวง ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานผู้พิชิตทุ่งหญ้ากว้างนอกด่าน
ในมือของเฉิงหยวนซานถือทวนเหล็กหนึ่งอัน สายตาจับจ้องมาที่จอมยุทธ์พเนจรผู้นั้นเขม็ง
ส่วนหลิวจงคนลีบมีดกลับมองโจวเฝย แล้วค่อยชำเลืองมองเฉินผิงอันที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า คล้ายว่ากำลังเลือกคู่ต่อสู้
เฝิงชิงป๋ายถอนหายใจ กำกระบี่ยาวในมือแน่น ปวดหัวอย่างถึงที่สุด หากที่พึ่งใหญ่ของตนยังไม่มา ตนก็คงต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ แล้ว ต่อให้ที่พึ่งใหญ่ไม่มา ขอแค่พี่น้องที่รักมาก็พอแล้ว
เฝิงชิงป๋ายดวงตาเป็นประกาย คลี่ยิ้มถูกใจ
ห่างออกไปไกลมีชายชุดดำลักษณะสุภาพสง่างาม ตรงเอวห้อยมีดยาวคนหนึ่งเดินมา
เฝิงชิงป๋ายยิ้มพลางโบกมือทักทาย “พี่ใหญ่ถัง มาแล้วหรือ?”
บุรุษวัยกลางคนพยักหน้ารับน้อยๆ
เฉิงหยวนซานใจกระตุก รู้สึกยุ่งยากเล็กน้อย
ผู้ที่มาคือเสาหลักแห่งเป่ยจิ้น แม่ทัพใหญ่หลงอู่ ถังเถี่ยอี้ ในฐานะแม่ทัพอันดับหนึ่งของปัจจุบัน น้อยครั้งนักที่เขาจะบุกตะลุยโจมตีข้าศึกด้วยตัวเอง คนบนโลกจึงรู้แค่ว่าชาวบู๊ที่มีชาติตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้ชอบใช้มีด ทว่าวิชามีดตื้นหรือลึก ตบะสูงหรือต่ำ กลับไม่มีใครรู้ นอกจากจะนำทัพได้เชี่ยวชาญดุจเทพสงครามแล้ว ถังเถี่ยอี้กลับถูกผู้คนกล่าวขานถึงเรื่องส่วนตัวที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งมากกว่า เล่าลือกันว่าคนผู้นี้ชื่นชอบการเขียนคิ้วมากเป็นพิเศษ เขาวาดคิ้วให้ภรรยาและอนุในรูปแบบต่างๆ และเมื่อผลงานของเขาปรากฏสู่ตลาด สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงของเป่ยจิ้นต่างก็พากันลอกเลียนแบบ
เฉิงหยวนซานเอ่ยเบาๆ “หลิวเหล่าเอ๋อร์ อย่าได้ประมาท ถังเถี่ยอี้ผู้นี้ใช้มีดได้อย่างเผด็จการ เชี่ยวชาญการตัดสินแพ้ชนะในมีดเดียว เป็นตายในสองมีด”
หลิวจงกล่าวอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ใช้มีด? ข้าไม่สนใจเขาหรอก”
เขาชี้ไปยังเฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปไกล “เจ้าเด็กนั่น เป็นของข้า”
หลิวจงไม่แยแสเฉิงหยวนซานอีก เขาเดินดิ่งไปข้างหน้า แม้แต่เฝิงชิงป๋ายก็ไม่สนใจ เอาแต่เดินหน้าไปอย่างเดียว มือหนึ่งลูบคลำเส้นผมสีดอกเลาเบาๆ อีกมือหนึ่งซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ
ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานต้องรับมือกับยอดฝีมือถึงสองคน
แต่แล้วเฉิงหยวนซานก็ทำในสิ่งที่อยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน เขาถือทวนเดินไปข้างถนน เปิดทางให้กับถังเถี่ยอี้ ยื่นมือบอกเป็นนัยว่าเชิญไปรวมตัวกับเฝิงชิงป๋ายได้ตามสบาย เขาจะไม่ขัดขวางเด็ดขาด
ตอนที่ถังเถี่ยอี้เดินผ่านข้างกายเฉิงหยวนซาน ยังไม่ลืมหันหน้าไปยิ้มถามเขาว่า “จะไม่รับมีดข้าสักสองทีจริงๆ หรือ? แค่สองมีดเท่านั้น รวดเร็วมากเลยล่ะ”
เฉิงหยวนซานหลับตาทำสมาธิไม่สนใจอีกฝ่าย
เฝิงชิงป๋ายรู้สึกนับถือปี้เซิ่งท่านนี้ยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่ายังจะมีอารมณ์ทำสมาธิได้อีก
ถังเถี่ยอี้เดินตรงไปหาเฝิงชิงป๋าย พูดเหมือนตำหนิ “คราวก่อนที่พบกัน ตกลงกันไว้แล้วว่าครั้งนี้เจ้าแค่มาจับปลาในน้ำขุ่นเท่านั้น เหตุใดถึงกลายเป็นรบแนวหน้าไปได้?”
เฝิงชิงป๋ายหัวเราะร่า “เสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความร่ำรวยอย่างไรล่ะ”
เมื่อปีก่อนคนทั้งสองรู้จักกันที่เมืองชายแดนแห่งหนึ่งของเป่ยจิ้น ตอนนั้นถังเถี่ยอี้เพิ่งจะยกทัพปราบปรามคนเถื่อนของทุ่งหญ้ากว้างให้ถอยร่นกลับไป จึงได้มาพบกันโดยบังเอิญ คนทั้งสองเพิ่งพบกันก็เหมือนสนิทกันมาหลายปี เฝิงชิงป๋ายยังถึงขั้นอยู่ในกองทัพที่ถังเถี่ยอี้เป็นผู้นำนานเกินครึ่งปี เขาร่วมศึกใหญ่ครั้งหนึ่งด้วยสถานะของทหารสอดแนม หากไม่เป็นเพราะเฝิงชิงป๋ายยืนกรานจะท่องเที่ยวไปทั่วภูเขาและแม่น้ำต่ออีกครั้ง ถังเถี่ยอี้ก็คิดจะขอตำแหน่งแม่ทัพจากฮ่องเต้แคว้นเป่ยจิ้นมาให้เขา
เฝิงชิงป๋ายได้พบกับคนที่คุ้นเคยก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”
ถังเถี่ยอี้หันหน้าไปมองปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่ยืนนิ่งไม่ขยับก่อน แล้วค่อยหันกลับมาถลึงตาใส่เฝิงชิงป๋าย “อวี๋เจินอี้ป่าวประกาศแล้วว่าจะเอาชีวิตน้อยๆ ของเจ้า ขนาดข้าก็ยังได้ยินเรื่องนี้ ตัวเจ้าเองจะไม่รู้เลยรึ? ตอนนี้มีคนมากเท่าไหร่ที่อยากได้ชีวิตน้อยๆ ของเจ้า เจ้านึกว่ามีแค่เฉิงหยวนซานคนเดียวจริงๆ รึไง?!”
เฝิงชิงป๋ายเม้มปากกลั้นยิ้ม
แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องมีความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ เรื่องราวนี้มากพอจะให้พวกเขาสองพี่น้องที่มาพบกันอีกครั้งในต่างถิ่นดื่มสุรารสเลิศร่วมกันหลายกา
แม้ถังเถี่ยอี้จะเกิดและเติบโตมาในพื้นที่มงคลดอกบัว ทว่าต่อให้เป็นในใบถงทวีป เฝิงชิงป๋ายก็ไม่เคยพบใครที่ถูกคอถูกใจเขาได้ขนาดนี้ อีกฝ่ายมีนิสัยใจกว้างเปิดเผย พรสวรรค์เลิศล้ำ ฝีมือยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นคำชื่นชมที่งดงามสักแค่ไหนก็ล้วนเอามาใช้กับผู้ฝึกยุทธ์ที่ในอกอัดแน่นไปด้วยตำราพิชัยสงครามผู้นี้ได้
บทประพันธ์เป็นเพียงเรื่องเล็ก ยุทธภพก็เพียงเท่านี้
ต้องรู้ว่าบทประพันธ์ยิ่งใหญ่คือตำราพิชัยสงคราม วรยุทธ์ยิ่งใหญ่คือยุทธศาสตร์ทางทหาร
นี่ก็คือความคิดของถังเถี่ยอี้
เกรงว่าตลอดทั้งพื้นที่มงคลดอกบัวคงมีแค่ถังเถี่ยอี้คนเดียวที่คิดเช่นนี้
เฝิงชิงป๋ายคิดจะเล่นแง่สักหน่อย จึงพูดยิ้มๆ ว่า “ขอแค่พี่ใหญ่ถังไม่ปรารถนาในศีรษะนี้ของข้า…”
ไม่รอให้เฝิงชิงป๋ายพูดจบ
เส้นสายตาของเขาก็ถูกกลบทับไปด้ายพายุมีดสีขาวหิมะที่ท่วมฟ้าถมดิน
นาทีสุดท้ายในชีวิต เฝิงชิงป๋ายมีเพียงความเลื่อนลอย
เจ๋อเซียนเฝิงชิงป๋ายถูกฟันออกเป็นสองท่อนคาที่ ร่างแต่ละครึ่งแยกกันกระแทกลงบนผนังสองฝั่งของถนน
ถังเถี่ยอี้เก็บมีดใส่ฝักช้าๆ
นั่นก็คือ ‘เลี่ยนซือ’ มีดปีศาจที่สูญหายไปหลายปีเล่มนั้น
หนึ่งในสี่โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ เทียบเคียงได้กับกวานดอกบัวสีเงินบนศีรษะของติงอิง ชุดกระโปรงสีเขียวของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน และร่างอรหันต์ทองคำของวัดป๋ายเหอ
สีหน้าของถังเถี่ยอี้ไม่มีทั้งความทุกข์และความสุข เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “เมื่อครู่นี้ตอนที่เดินทางมา เพิ่งจะได้ยินว่าเจ้าเลื่อนขั้นกลายเป็นสิบคนล่าสุดของใต้หล้า อยู่ในอันดับล่างสุด อันดับสิบ ตัวข้าเองก็อยู่บนรายชื่อนี้เช่นกัน นั่นคืออันดับที่เก้า เฝิงชิงป๋าย เจ้าคงเข้าใจว่าหลังจากได้พูดคุยกับอวี๋เจินอี้เป็นการส่วนตัวครั้งหนึ่งแล้วจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้จนถึงท้ายที่สุด ซึ่งเดิมทีก็เป็นเช่นนั้นจริง และที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อมาช่วยเจ้าจริงๆ แต่ที่ไม่ควรเลยก็คือ เจ้าไม่ควรอยู่อันดับสิบ ข้าอันดับเก้า สองพี่น้องไม่ควรอยู่บนรายชื่อในเวลาเดียวกัน”
ถังเถี่ยอี้ถอนหายใจน้อยๆ “เจ๋อเซียนก็ตายได้เหมือนกันนี่นะ”
หยิบกระบี่ที่อยู่บนพื้นเล่มนั้นมาห้อยไว้ตรงเอว ถังเถี่ยอี้จงใจเปิดเผยช่องโหว่ของตัวเองเหมือนตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้เจตนา
เพราะว่าบนโลกแทบไม่มียอดฝีมือขั้นสูงสุดคนไหนที่เคยเห็นวิชามีดของเขามาก่อน คนที่เคยเห็นก็ล้วนตายภายใต้คมมีดของถังเถี่ยอี้หมดแล้ว
เมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากที่ฮ่องเต้ของราชสำนักเป่ยจิ้นเกือบถูกผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพลอบฆ่าได้สำเร็จ ก็เริ่มสติวิปลาส จับตัวยอดฝีมือระดับหนึ่งระดับสองหลายสิบคนไปอย่างลับๆ ซึ่งคนเหล่านั้นต่างก็ถูกส่งมาเป็นตัวฝึกปรือวิชามีดให้กับแม่ทัพใหญ่หลงอู่ท่านนี้ เป็นเหตุให้ยุทธภพของแคว้นเป่ยจิ้นหมองหม่น ทรัพยากรผู้คนขาดแคลนกลางคัน ลู่ฝ่างที่อยู่บนยอดเขาเหนี่ยวคั่นไม่สนใจเรื่องทางโลก หอจิ้งซินที่มีรากฐานลึกล้ำก็ให้ความสำคัญกับการแทรกซอนกำลังเข้าไปยังราชสำนักของแคว้นอื่น เห็นได้ชัดว่ามีปณิธานอยู่ที่ใต้หล้า หาใช่ที่ยุทธภพไม่ จึงไม่เคยสอดมือเข้าแทรกเรื่องการเข่นฆ่าและบุญคุณความแค้นในยุทธภพแคว้นเป่ยจิ้น
ถังเถี่ยอี้อยู่ที่เป่ยจิ้น ในมือกุมกำลังทหารชายแดนที่เก่งกล้ามากที่สุดหลายแสนนาย เวลาว่างก็มักจะจับสาวงามมาวาดคิ้ว ชีวิตอิสระเสรีเกินจะเปรียบ
เขาเป็นอย่างที่เฉิงหยวนซานกล่าวจริง วรยุทธ์ที่เขาเรียนมาชั่วชีวิตนี้มีเพียงสองมีดเท่านั้น หนึ่งมีดอานุภาพเกรียงไกรทำลายได้แม้แต่เหล็กกล้า หนึ่งมีดถอยออกมาเพื่อหาจุดอ่อนของศัตรูแล้วค่อยรุกหน้าโจมตี
ดังนั้นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่ตบะเทียบเท่าถังเถี่ยอี้ไม่ได้ ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว ปรมาจารย์มากมายที่ขอแค่ตบะไม่สูงกว่าถังเถี่ยอี้ก็อันตรายมากเช่นกัน
น่าเสียดายก็แต่ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่พอเห็นช่องโหว่ของถังเถี่ยอี้แล้วกลับไม่ได้ละโมบในคุณความชอบพุ่งเข้ามาเสี่ยงอันตราย ผู้เฒ่าเพียงเดินจากไปเงียบๆ
เผชิญหน้ากับแม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งเป่ยจิ้นท่านนี้ ใช่ว่าเขาจะไม่มีพลังให้ต้านทาน กลับกันเลยด้วยซ้ำ เขาคิดว่าตัวเองมีโอกาสชนะสูงมาก แต่หากเจอกับสองมีดของถังเถี่ยอี้เข้าอย่างจัง ตนย่อมต้องบาดเจ็บไม่น้อย ถึงเวลานั้นเกรงว่าคงเป็นคราวที่คนอื่นมาเด็ดหัวตนบ้างแล้ว
ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นเฝ้าอยู่ด้านหลัง คนรอดีดหนังสติ๊ก
ถังเถี่ยอี้พลันก้มหน้าลงมอง เห็นเพียงว่าลวดลายที่สลักอยู่บนฝักมีด ‘เลี่ยนซือ’ ในมือเล่มนั้นเหมือนมีปรอทเงินไหลริน แผ่ประกายแสงห้าสีจางๆ จากนั้นก็ไล่ตามด้ามมีดและฝ่ามือของเขา ขยายลามมาถึงไหล่ คอของถังเถี่ยอี้ ถังเถี่ยอี้ยังคงกำด้ามมีดไว้ตลอดเวลา รอจนประกายแสงเหล่านั้นผลุบหายเข้าไปในผิวหนัง เส้นเอ็นและกระดูกอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ถังเถี่ยอี้ถึงรู้สึกว่าในที่สุดเลี่ยนซือที่เพิ่งได้มาโดยบังเอิญเมื่อไม่นานนี้ผสานรวมเป็นหนึ่งกับร่างกายของตนอย่างแท้จริงแล้ว
โจวเฝยที่อยู่ห่างออกไปจุ๊ปากพูด “โชคไม่เลวเลยจริงๆ สังหารเจ๋อเซียนคนหนึ่ง ได้รับสมบัติอาคมที่ยอมรับตัวเองเป็นเจ้านายไปอีกชิ้น กลายเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก ลำดับในรายชื่อต้องขยับขึ้นหน้าไปอีกแน่”
โจวเฝยหันหน้าไปยิ้มตาหยีสั่งสอนโจวซื่อบุตรชายและยาเอ๋อร์ “เห็นหรือยัง เป็นคนควรเป็นเช่นนี้ รอจนนาทีสุดท้ายแล้วค่อยลงมือถึงได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ดังนั้นยิ่งกระโดดโลดเต้นออกไปเสนอหน้าเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งตายอนาถมากเท่านั้น พวกเจ้าลองดูสองตะพาบเฒ่าอย่างติงอิงและอวี๋เจินอี้ พวกเขาปรากฏตัวแล้วหรือยัง? ยังใช่ไหมล่ะ อืม และยังมีถงชิงชิงนางมารเฒ่าแห่งหอจิ้งซินอีกคนที่หลบซ่อนอำพรางตัวได้ลึกล้ำยิ่งนัก ไม่ว่าใครก็หานางไม่เจอ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ มีเจ๋อเซียนที่ไหนบ้าง พอมาอยู่ที่นี่แล้วต้องใช้ชีวิตหนีตายแบบนี้ ขนาดติงอิงเองก็ยังหาตัวนางไม่พบมาหลายปีแล้ว ความสามารถในการแสวงหาโชคและหลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้าย นางคืออันดับหนึ่งในใต้หล้าจริงๆ”
โจวเฝยหัวเราะเสียงฝาดเฝื่อน
มาเจอกับบิดาที่นิสัยประหลาดเช่นนี้ เขาโจวซื่อไม่กลายเป็นบ้าก็ถือว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว
เพื่อช่วยท่านอาลู่ผู้นั้นทำลายจิตมาร ต้องทำเรื่องสกปรกโสมมมากมาย อันที่จริงโจวซื่อเองก็มองออกว่า ไม่ว่าจะเป็นสาวงามหรืออำนาจ บิดาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาเลยสักนิด
ปีนั้นตอนที่เขายังเป็นเด็กเคยเห็นท่านอาลู่บุกเข้ามาในตำหนักคลื่นวสันต์กับตาตัวเอง บิดาของเขายืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้กระบี่แทงทะลุหัวใจ
และระหว่างคนทั้งสองยังมีสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่ยินยอมพร้อมกระโจนสู่ความตายมายืนขวางไว้เพื่อปกป้องบิดา
นางก็คืออาจารย์แม่ที่ท่านอาลู่ให้ความเคารพนับถือมากที่สุด
บิดาโจวเฝยเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด เขาผลักหญิงสาวที่ลุ่มหลงในรักคนนั้นออก เดินขึ้นหน้าไปทีละก้าว ปล่อยให้กระบี่เล่มนั้นแทงทะลุแผ่นหลังไปทีละชุ่น ในสายตาของบิดามีเพียงลู่ฝ่าง จนกระทั่งใบหน้าแทบจะแนบชิดกับลู่ฝ่างถึงได้หยุดเดิน แล้วถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “ลู่ฝ่าง ตื่นหรือยัง?”
โจวซื่อถอนหายใจ
นี่ก็คือการฝึกตนของตระกูลเซียนบ้านเกิดบิดา ช่างพิลึกพิลั่นยิ่งนัก
ยาเอ๋อร์ที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวยิ่งเงียบงัน
อาจารย์ของนาง หรือก็คือเจ้าลัทธิมารลูกศิษย์เพียงคนเดียวของติงอิงได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อปีก่อน หลังกลับมาถึงลัทธิ ไม่ว่าจะรักษาตัวอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่มองดูร่างกายตัวเองเน่าเปื่อยทรุดโทรม พลังชีวิตไหลหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าคำสั่งเสียสุดท้ายก่อนตายของวีรบุรุษในสายตายาเอ๋อร์ผู้นี้กลับประหลาดยิ่งนัก ‘เจินเหรินอยู่บนโลก โดนไฟไม่ไหม้ ตกน้ำไม่จม แล้วเซียนเหรินล่ะ? ข้าเองก็เคยเห็นมาแล้ว’
ในฐานะลูกศิษย์ของเจ้าลัทธิ สำหรับเจ๋อเซียนที่ไม่รู้ที่มาอย่างชัดเจนพวกนี้ นางไม่ได้มีอคติและความเกลียดแค้นมากนัก นางถึงขั้นไม่ฝันใฝ่ถึงการบินทะยานที่กล่าวถึงในตำนาน นางหลงรักโลกมนุษย์อันเป็นบ้านเกิดของตน คิดแค่อยากจะงัดข้อกับฝานกว่านเอ่อร์ที่ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา พรสวรรค์หรือจิตใจทะเยอทะยานล้วนไม่แพ้ให้ตน ประคับประคองสนับสนุนองค์ชายรองให้ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็รวบรวมสี่แคว้นให้เป็นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางเป็นฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยน เป็นมารดาของแผ่นดินก็ดี หรือจะให้สืบทอดตำแหน่งผู้นำยุทธภพรุ่นใหม่ต่อจากติงอิง อวี๋เจินอี้ก็ช่าง นางล้วนพึงพอใจมากแล้ว
เพียงแต่ว่าครั้งนี้หอจิ้งหย่างกับ ‘เทพเทวา’ ท่านนั้นกลับเลือกภูเขากู่หนิวของแคว้นหนันเยวี่ยนเป็นสถานที่บินทะยาน ส่วนนางดันถูกท่านปู่ผู้นั้นหาตัวพบ กลายมาเป็นทหารแนวหน้า
นางเศร้าใจและขมขื่นอย่างยิ่ง อดหันไปมองยังทิศทางที่ตั้งของบ้านหลังนั้นในตรอกไม่ได้
อาจารย์ปู่ของข้าหนอ ทำไมท่านไม่ออกมาทำอะไรสักหน่อยเล่า?
ถังเถี่ยอี้จากไปแล้ว เพราะเจอกับโจวเฝย เขาไม่มีความมั่นใจมากพอ ต่อให้ได้ครอบครองมีดเลี่ยนซือที่สมบูรณ์แบบ ลางสังหรณ์ก็ยังบอกกับเขาว่าปะทะกับโจวเฝย มีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น
ก็เหมือนกับที่เมื่อหลายปีก่อนพวกปรมาจารย์น่าสงสารทั้งหลายต้องกลายมาเป็นหินลับมีดเมื่อเจอกับเขาถังเถี่ยอี้
ดังนั้นเขาจึงไปหาเรื่องปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานแทน
แต่ที่ทำให้ถังเถี่ยอี้โมโหก็คือเจ้าหมอนั่นกลับดอดหนีไปก่อนแล้ว ทั้งยังเก็บลมปราณ กลายเป็นเหมือนปลาที่ลงสู่แม่น้ำอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้
ถังเถี่ยอี้เคียดแค้นอยู่ในใจ หากเป็นเมืองหลวงแคว้นเป่ยจิ้น เฉิงหยวนซานมีแต่ต้องรอความตายเท่านั้น
เขาสามารถโยกย้ายกองทัพของทั้งเมืองไล่ล่าปรมาจารย์คนใดก็ได้ที่หล่นจากอันดับรายชื่อ
แน่นอนว่าความคิดที่จะสังหารติงอิงกับอวี๋เจินอี้นั้น ถังเถี่ยอี้ไม่มีอยู่ในหัวแม้แต่น้อย ไม่มี แล้วก็ไม่กล้ามี
ครั้งนี้เขาแอบออกจากเป่ยจิ้นมาแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างเงียบเชียบ และแทบทุกก้าวล้วนอยู่ในแผนการของอวี๋เจินอี้ บางทีอาจจะนานยิ่งกว่านั้น นั่นคือเริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาได้มีดปีศาจเลี่ยนซือเล่มนี้มาครอบครอง
ถังเถี่ยอี้ไม่ได้ปรารถนาในการคว้าแสงเงินแสงทองบินทะยานเพื่อไปเยือนบ้านเกิดของเซียนอะไรทั้งนั้น เพราะแค่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ก็มีพื้นที่มากพอให้เขาแสดงความสามารถของตัวเองแล้ว!
……
ติงอิงกับเด็กชายที่ชื่อเฉาฉิงหล่าง คนหนึ่งนั่งอาบแดดอยู่บนม้านั่ง คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว ถือมีดผ่าฟืนไว้ในมือที่สั่นสะท้าน
หลังจากที่ติงอิงรู้ว่าถงชิงชิงไม่ได้อยู่ในสิบอันดับแรก เขาก็ถอนหายใจ หันหน้ามาเอ่ยกับเด็กชายยิ้มๆ ว่า “ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว ผู้หญิงคนนั้นช่าง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ต่อให้เป็นมารร้ายใหญ่อย่างติงอิงก็ยังไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะวิจารย์ถงชิงชิงอย่างไรถึงจะถูกต้องที่สุด
ติงอิงรู้จักถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินดีกว่าใครทุกคนบนโลกใบนี้
หนึ่งเพราะคนทั้งสองอายุเท่ากัน เป็นคนรุ่นเดียวกัน อีกทั้งยังรู้จักกันเมื่อนานมาแล้ว ติงอิงคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์อีกคนหนึ่งตามหลังหลูป๋ายเซี่ยงแห่งลัทธิมาร อายุยังน้อยก็เลื่อนขั้นเป็นสิบคนหลังของใต้หล้า ดังนั้นจึงท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพังมานานแล้ว สถานะของถงชิงชิงในเวลานั้นคล้ายกับฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินในเวลานี้ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับฝานกว่านเอ่อร์ที่วางแผนทุกก้าวย่าง กุมเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วนไว้ในกำมือแล้ว อาจารย์ของนาง ถงชิงชิงคือผีขี้ขลาดอย่างเต็มตัว เมื่อถูกบีบให้ต้องขึ้นเป็นเจ้าหอจิ้งซินคนถัดไป นางกลับหน้าด้านอยู่ในสำนักเฉยๆ ไม่ยอมออกไปแสวงหาช่วงชิงใต้หล้ามาให้แก่สำนัก ติงอิงใจกล้าไม่เกรงใคร มีครั้งหนึ่งเขาแอบลอบเข้าไปในหอจิ้งซิน ไปเยือนศาลาชมจันทร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบซึ่งเป็นพื้นที่ต้องห้าม ผลคือเจอกับถงชิงชิงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในศาลา นางขดตัวพิงราวระเบียง เด็กสาวกำลังพร่ำพูดระบายความในใจ ไม่ทันสังเกตเห็นติงอิงเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการตำหนิว่าอาจารย์ของนางใจร้ายใจดำ คิดจะขับไล่นางออกจากสำนัก ตำหนิศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงที่โง่เกินไป ไม่รู้จักตั้งใจเรียนวรยุทธ์ ถึงขนาดเอาชนะตนที่แอบอู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ได้ จากนั้นก็เริ่มนับนิ้วพูดถึงยอดฝีมือทั้งหลายในยุทธภพว่าพวกเขาร้ายกาจอย่างไร ดุร้ายแค่ไหน สุดท้ายแม้แต่ยอดฝีมือระดับสองนางก็ไม่ปล่อยผ่าน รู้จักแต่ละคนดีราวกับเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง เสมือนว่าคนพวกนั้นล้วนเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่ร้อยปียากจะพานพบ…
—–