กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 317.3 ศึกใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้น
ติงอิงรู้สึกเหมือนเห็นผีเข้าจริงๆ ไฉนใต้หล้าถึงมีสตรีที่กลัวตายได้ขนาดนี้
ถึงอย่างไรถงชิงชิงก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่ขยับเข้าใกล้ยี่สิบคนของใต้หล้า ในที่สุดนางก็สังเกตเห็นติงอิง จากนั้นนางก็ทำท่าเหมือนคนเห็นผีเช่นกัน
ประโยคแรกที่นางพูดกับติงอิงคือประโยคที่แฝงไว้ด้วยการสะอื้น บอกว่าขอแค่ไม่ฆ่านาง นางก็จะแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
แน่นอนว่าถงชิงชิงคือสาวงามคนหนึ่ง นางงดงามน่าหลงใหลยิ่งกว่าลูกศิษย์อย่างฝานกว่านเอ่อร์ และโจวซูเจินฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนมากนัก
ทว่าต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ สิ่งที่ติงอิงจดจำได้แม่นยำที่สุดก็คือสีหน้าของถงชิงชิงในเวลานั้น น้ำตาคลอดวงตา ริมฝีปากเม้มแน่น ท่าทางอ้อนวอนที่อ่อนแอบอบบางคล้ายกวางสาวในป่าลึกที่พบเจอเข้ากับนายพรานถือมีดพร้าโดยบังเอิญ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาติงอิงหลงใหลในการฝึกวรยุทธ์ ไม่เคยมีความรักฉันท์ชายหญิง กับถงชิงชิงเองก็ไม่มีริ้วคลื่นความรักใดๆ เกิดขึ้น ทว่านิสัยของถงชิงชิง รวมไปถึงสีหน้าของนางในศาลาจิ้งซินปีนั้นกลับยากที่จะทำให้ติงอิงลืมเลือนได้
การพบกันครั้งนั้นไม่ได้มีปัญหาใดเกิดขึ้น ติงอิงไปที่หอเก็บตำราของหอจิ้งซินแล้วขโมยตำราลับมาเล่มหนึ่ง แล้วจึงหลบหนีออกไปอย่างเงียบเชียบ
หลังจากที่ติงอิงจากไปแล้ว ถงชิงชิงที่ตกใจก็รีบกลับไปที่เรือนพักของตัวเอง ไม่แม้แต่จะนำข่าวที่มีคนบุกรุกเข้ามาไปบอกใคร
ภายหลังติงอิงเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในศึกโกลาหลของแคว้นหนันเยวี่ยนเมื่อหกสิบปีก่อน ติงอิงช่วงชิงกวานดอกบัวสีเงินชิ้นนั้นมาได้ กลายมาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ภายหลังยังสังหารเจ๋อเซียนอีกหลายสิบคน ได้รู้ความลับของพวกเขาคนแล้วคนเล่า ระหว่างนี้ก็มีครั้งหนึ่งที่ติงอิงได้บังเอิญเจอกับถงชิงชิง ช่วงเวลานั้นเกรงว่านางคงไม่มีหน้าจะอยู่ต่อในหอจิ้งซินอีกแล้วถึงได้เริ่มออกมาท่องยุทธภพ ทว่าเรื่องราวไม่ราบรื่นดังใจปรารถนา อีกทั้งนางยังมีรูปโฉมงดงามสะดุดตา จึงถูกเจ้าสำนักปิงฝูเหมินซึ่งเป็นหนึ่งในสามลัทธิมารเวลานั้นจับตัวไป หากไม่เป็นเพราะติงอิงเดินทางผ่านปิงฝูเหมินพอดีแล้วช่วยถงชิงชิงไว้ได้ เกรงว่าเทพธิดาท่านนี้คงกลายไปเป็นที่ระบายความกำหนดของเจ้าหมูอ้วนผู้นั้นไปแล้ว ติงอิงไม่ได้ช่วยนางเปล่าๆ ไม่จำเป็นต้องให้เขาสอบสวนเค้นถามก็ได้รู้ความลับที่สำคัญมากมายของหอจิ้งซิน รวมไปถึงเวทลับชั้นเยี่ยมหลายสิบวิชาที่นางจดจำได้อย่างแม่นยำ เกินครึ่งล้วนเป็นวิชาที่ใช้รักษาชีวิตและวิชาเผ่นหนีเอาตัวรอดทั้งสิ้น หรือไม่ก็คือวิชาแปลงโฉมที่มหัศจรรย์ พลังการสังหารยิ่งใหญ่ นางได้เห็นผ่านตาแล้วก็ไม่เคยลืม สามารถจดจำได้อย่างง่ายดาย แต่กลับไม่อาจเล่าเรียนจนเป็นแม้แต่วิชาเดียว…
หากไม่เป็นเพราะติงอิงไม่ได้ต้องการรู้ทั้งหมด เกรงว่านางคงแล่นกลับไปที่หอจิ้งซินแล้วขโมยวิชาลับตระกูลเซียนมาให้เขาอีกหลายๆ เล่ม อีกทั้งยังตบอกรับรองด้วยดวงตาคลอน้ำตาเจียนจะหยดว่า พวกมันสามารถทำให้ติงอิงไร้ศัตรูทัดเทียม มีวิชายุทธ์เลิศล้ำผงาดค้ำฟ้า รวบรวมยุทธภพให้เป็นหนึ่งเดียว…
นางคงลืมไปแล้วว่า ตอนนั้นติงอิงก็ได้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้ามาตั้งนานแล้ว
หลายปีต่อมา หลังจากที่ถงชิงชิงกลับหอจิ้งซินไปสืบทอดตำแหน่งเจ้าหอ ติงอิงได้ไปหานางครั้งหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าไม่เจอตัวนาง เขารู้เลยว่าผีขี้ขลาดผู้นี้น่าจะฝึกวิชาลับไม่แพร่งพรายของหอจิ้งซินได้สำเร็จ สามารถทำให้สตรีที่แก่ชรากลับคืนสู่ความเยาว์อีกครั้ง อีกทั้งฝีมือยังเหมือนเรือที่ลอยสูงตามน้ำ อายุยิ่งน้อยเท่าไหร่ ฝีมือก็ยิ่งลึกล้ำเท่านั้น แต่แน่นอนว่านางย่อมสูญเสียรูปโฉมที่งามล่มบ้านล่มเมืองแต่เดิมไป ทว่าสำหรับถงชิงชิงแล้ว เกรงว่าค่าตอบแทนก้อนนี้คงไม่นับเป็นอะไรได้ แล้วก็จริงอย่างที่ติงอิงคาดการณ์ไว้จริงๆ สุดท้ายถงชิงชิงก็ได้เลื่อนสู่สิบอันดับในใต้หล้า
ดังนั้นการมาเยือนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนี้ ติงอิงจึงคอยจับตามองเด็กทุกคนที่มีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่ในตัว
หามาหกเจ็ดคนแล้วก็ล้วนไม่ใช่ถงชิงชิง
ที่น่าสนใจก็คือไม่แน่เสมอไปว่าเด็กเหล่านี้เรียนวรยุทธ์แล้วจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง แต่หากฝึกวิชาตระกูลเซียนของเจ๋อเซียนย่อมต้องรุดหน้าได้พันลี้ในหนึ่งวันอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าติงอิงไม่มีความสนใจจะเลี้ยงดูพวกนางให้เป็นอวี๋เจินอี้หรือโจวเฝยคนถัดไป
สุดท้ายติงอิงก็มาเจอกับเฉาฉิงหล่างที่อยู่ใต้เปลือกตาตัวเอง เพราะจู่ๆ เขาก็เกิดความคิดประหลาดอย่างหนึ่งว่า ต่อให้เขาจะเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่ติงอิงรู้สึกว่าด้วยนิสัยเพื่อรักษาชีวิตแล้วล้วนทำได้ทุกวิธีการของถงชิงชิง บวกกับวิชาลับประหลาดมากมายของหอจิ้งซิน โดยเฉพาะอาคมเซียนหลายเล่มที่เกี่ยวพันกับการถ่ายโอนวิญญาณ ไม่แน่ว่านางอาจจะมาซ่อนอยู่ในร่างของเฉาฉิงหล่างจริงๆ ส่วนร่างที่แท้จริงถูกนางเอาไปซ่อนไว้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ คนมีชีวิตอยู่ย่อมเลี่ยงได้ยากที่จะไม่เผยพิรุธ แต่หากเป็น ‘คนตายคนหนึ่ง’ กลับหาเจอได้ยากแล้ว
เพียงแต่ว่าทุกอย่างล้วนถูกพลิกคว่ำเพราะรายชื่อนั้น ถงชิงชิงกลับไม่อยู่ในรายชื่อสิบคน
นี่หมายความว่าตอนนี้ถงชิงชิงต้องไม่ได้อยู่ในร่างของเด็กแน่นอน!
เห็นได้ชัดว่าถงชิงชิงที่ขี้ขลาดอย่างถึงที่สุดแน่ใจแล้วว่าตนที่รู้จักตัวตนของนางดีจะต้องมาหานาง และมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าหลังจากครั้งก่อนที่นางได้อยู่ในอันดับสิบคน นางก็รีบอนุมานวิชาเซียนนั้นย้อนกลับทันทีโดยการบวกอายุเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้ตบะลดต่ำลง ติงอิงมั่นใจเลยว่าสิบคนบนรายชื่อก่อนหน้าวันนี้ ต้องเป็นโจวซูเจินเจ้าหอจิ้งหย่างคนปัจจุบันที่เล่นตุกติก เพราะเดิมทีฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้ก็เป็นลูกศิษย์ของหอจิ้งซินอยู่แล้ว
แต่โจวซูเจินไม่สามารถตัดสินใจลำดับบนรายชื่อในท้ายที่สุดได้ เพราะคนสิบคนที่เพิ่งจัดอันดับใหม่นั้นเป็นการตัดสินใจจาก ‘เทพเทวา’ บางท่าน นี่ถึงทำให้ถงชิงชิงเผยพิรุธออมา
เวลานี้นั่งอยู่ในลานบ้าน ติงอิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
เขาอยากรู้มากกว่า เจ๋อเซียนที่ไม่เหมือนใครผู้นี้ ตอนอยู่บ้านเกิดจะเป็นผู้ฝึกตนแบบใด
ส่วนข้อที่ว่าคราวนี้ถงชิงชิงใช้ ‘ตัวตน’ ไหน หรือไปหลบซ่อนอย่างลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ใด ติงอิงไม่อยากรู้อีกแล้ว แค่นี้ก็น่าสนใจมากพอแล้ว
ต่อให้ตนเดาความจริงได้ผิดพลาด ถงชิงชิงสามารถเอาชนะเขาติงอิงในครั้งนี้ได้ ติงอิงก็ไม่คิดมาก
เรื่องที่เขาติงอิงแสวงหาคือได้ครอบครองชะตาแห่งบู๊อย่างน้อยแปดส่วนของใต้หล้า ใช้เรือนกายที่บริสุทธิ์บินทะยานในตอนกลางวัน สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ และจะไม่มีคนทำได้ในอนาคต เดินไปให้ไกลยิ่งกว่า สูงยิ่งกว่าจูเหลี่ยนและสุยโย่วเปียน!
เขาจะต้องเอาชนะเทพเทวาของฟ้าดินแถบนี้ให้ได้
อย่างน้อยก็ต้องบีบให้อีกฝ่ายยอมทำลายกฎเกณฑ์แล้วลงมือด้วยตัวเอง ออกมาสั่งหารตน ถ้าอย่างนั้นต่อให้เขาติงอิงต้องตายก็ไม่เสียดายแล้ว
ติงอิงหันกลับไปมองทางหน้าต่างแล้วพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องรีบร้อน ข้าต้องปล่อยเจ้าออกไปแน่ แต่ว่าถึงเวลานั้นเจ้านายของเจ้าย่อมต้องร่างสลายมรรคามอดดับไปแล้ว หวังว่าวันหน้าเจ้าจะยังหาตัวเขาที่จุติมาเกิดใหม่ได้เจอ ช่วงชิงโอกาสในอีกหกสิบปีข้างหน้าร่วมกับเขา แค่นี้เท่านั้น”
ติงอิงลุกขึ้นยืน
……
เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างร่องลึก ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัดโดยที่ไม่มีลม
หลิวจงคนลับมีดเดินเข้าหาเฉินผิงอัน ไม่สนใจเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างปี้เซิงเฉิงหยวนซาน ถังเถี่ยอี้และเฝิงชิงป๋ายเลยแม้แต่น้อย
ในด้านความมุ่งมั่นตั้งใจ หลิวฉงได้รับการยอมรับจากทุกคนว่าอยู่ในสามอันดับแรกของใต้หล้า สำหรับเรื่องนี้อวี๋เจินอวี้มีข้อสรุปมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้อวี๋เจินอี้ยังเคยออกจากพรรคหูซาน เดินทางมาหาหลิวจง เกลี้ยกล่อมคนผู้นี้ว่าเพียงวางมีดเล่มนั้นในมือลง เส้นทางแห่งวิถีวรยุทธ์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขามีแต่จะกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
เพียงแต่ว่าหลิวจงไม่ได้ตอบรับ เขาบอกว่ามีดเล่มนั้นคือภรรยาของเขา ไม่อาจทอดทิ้งได้ นี่เรียกว่าไม่ควรทอดทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก
อวี๋เจินอี้ที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้มพลันหัวเราะเสียงดัง ดื่มเหล้าร่วมกับหลิวจงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วถึงจากไป
นี่ไม่ใช่ข่าวลือเล็กๆ ที่เล่ากันปากต่อปากในยุทธภพ แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของอวี๋เจินอี้เป็นคนพูดเองกับปาก
หลิวจงคนลับมีดไม่ได้อยู่ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ชื่อเสียงไม่ดีไม่เลว ไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ เพียงแต่ว่าทุกคนที่ตายด้วยน้ำมือของเขามักจะมีสภาพอเนจถอนาถอย่างถึงที่สุด ยิ่งเป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือ สภาพการตายก็ยิ่งน่าเวทนาจนแทบทนมองไม่ได้ ถึงขั้นทำให้คนที่เห็นขย้อนเอาน้ำดีออกมา
จ้งชิวกลับขึ้นมาเดินบนถนนอีกครั้งแล้ว
เขา เฉินผิงอัน หลิวจง อยู่ในสภาวะที่ถ่วงดึงซึ่งกันและกัน
จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “ข้ายังต่อสู้กับเขาไม่จบ หลิวจง เจ้ารอให้พวกเรารู้ผลแพ้ชนะก่อนแล้วค่อยชักมีดก็ยังไม่สาย ส่วนข้อที่ว่าถึงเวลานั้นเจ้าจะประมือกับข้า หรือจะต่อสู้กับเขา ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้”
สายตาของหลิวจงฉายประกายเร่าร้อน ก่อนจะชักมีดฆ่าคน เขาต้องเริ่มบดฝันเหมือนการลับมีดด้วยความเคยชิน มองดูแล้วน่าขนลุกขนชันยิ่งนัก
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ก็ได้ ขอแค่พวกเจ้าไม่รังเกียจที่ข้าฉวยโอกาสโจมตีตอนที่คนอื่นอ่อนแอ ขอแค่มีความมั่นใจว่าจะมีชีวิตอยู่รอดจนถึงท้ายที่สุดก็พอ แต่หากไม่มี…”
เขาชี้ไปที่เฉินผิงอัน “ราชครูจ้งตอนนี้ก็เจ้าจากไปได้เลย ปล่อยเขาไว้กับข้าก็พอ ชั่วชีวิตนี้ข้าหลิวจงยังไม่เคยกรีดผ่าท้องของเจ๋อเซียนมาก่อนเลย”
สำหรับราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนที่อยู่ในเมืองเดียวกัน หลิวจงรู้สึกนับถือจากใจจริง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในร้านตัวเองก็เคยเอ่ยเช่นนี้กับปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานมาก่อน
จ้งชิวชี้ไปที่ชุดเขียวบนร่างของตัวเองที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าว่าข้าเหมือนคนเต็มใจจะหยุดมือหรือไม่?”
หลิวจงถอนหายใจ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอให้พวกเจ้ารู้ผลแพ้ชนะกันก่อน”
จ้งชิวถาม “โจวเฝยก็เป็นเจ๋อเซียนเหมือนกัน ทำไมเจ้าถึงไม่ไปฆ่าเขาล่ะ?”
หลิวจงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย คนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้เป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเจ้า เวลาที่สับเนื้อเขา แต่ละมีดย่อมโดนเนื้อเน้นๆ แบบนั้นถึงจะให้ความรู้สึกที่ดี โจวเฝยผู้นั้นเชี่ยวชาญเวทปีศาจ ไม่แน่ว่าแม้แต่ศพก็อาจจะไม่มี ข้าทุ่มชีวิตแก่ๆ เปลืองแรงมากมายขนาดนั้น ถึงเวลากลายเป็นว่าไม่ต่างจากเอาตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ข้าไม่ทำหรอก”
จ้งชิวส่ายหน้าอย่างระอาใจ
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจหลิวจงคนลับมีดผู้นี้ เขาผายฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นมาข้างหน้า บอกเป็นนัยแก่จ้งชิวว่าสามารถสู้กันต่อได้แล้ว
หลิวจงอึ้งตะลึง กระทืบเท้าผาง “โอ้โห ท่าทางเช่นนี้มันช่างหล่อเหลาสง่างามซะจริง น่าเสียดายที่ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่พวกสาวๆ ไม่อย่างนั้นคงหวั่นไหวแน่แล้ว ไม่ได้ๆ หากปล่อยให้เจ้าออกไปท่องยุทธภพ จะไม่เป็นการทำร้ายแม่นางงดงามหลายสิบหลายร้อยคนหรอกหรือ ต้องฆ่าๆ เลือกเจ้า ไม่ใช่เลือกโจวเฝย เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วจริงๆ”
จิตใจของจ้งชิวและเฉินผิงอันต่างก็เหมือน ‘เข้าสู่มรรคา’ สงบนิ่งดุจบ่อน้ำเก่าแก่ไร้คลื่นแล้ว จึงคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของหลิวจง
หลิวจงพลันสงบปากสงบคำทันที
เขาที่อยู่ใกล้กับคนทั้งสองมากที่สุดรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เพราะดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงน้ำหยดดังติ๋ง
นาทีถัดมาพายุรุนแรงลูกใหญ่ก็พุ่งมาปะทะใบหน้า แม้ว่าหลิวจงจะยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก แต่ชายแขนเสื้อและเส้นผมต่างก็ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิ่ง
ที่แท้จ้งชิวและคนหนุ่มผู้นั้นเหวี่ยงหมัดใส่กัน พายุหมัดจึงพัดกระจายไปทั่วด้าน รอบกายของคนทั้งสองเกิดฝุ่นผงคละคลุ้ง ก้อนหินสีเขียวบนถนนปริแตก พัดกระจุยกระจายไปทั่ว
หลิวจงยกมือตบเศษหินก้อนหนึ่งที่กระเด็นมาเร็วดุจลูกธนู เบิกตากว้างมองไป ไม่ยอมพลาดแม้สักชั่วขณะเดียว
เจ้าพวกตัวดี คนทั้งสองลงมือครั้งนี้เรียกได้ว่าจะต่อยตีกันจนภูเขาร้าวแผ่นดินปริแตกจริงๆ
จ้งชิวที่สวมชุดสีเขียวกับเฉินผิงอันที่สวมชุดสีขาวขยับตัวว่องไวจนเงาร่างของพวกเขาแทบจะกลายมาเป็นควันขาวและควันเขียวแล้ว
ทุกที่ที่คนทั้งสองผ่าน ฟ้าพลิกดินตลบ
การต่อสู้ประชิดตัวที่อันตรายสุดขีดนี้ ไม่มีครั้งไหนที่เงาร่างของคนทั้งสองแยกออกห่างจากกันเกินหนึ่งจั้ง อย่างมากก็แค่ห่างกันไม่เกินสามช่วงแขน หากตัดออกคนละหนึ่งช่วงแขนก็หมายความว่าต่อให้คนทั้งสองถูกหมัดกระแทกใส่ ก็ไม่มีทางถอยออกไปเกินหนึ่งช่วงแขน!
คนอื่นทำพิธีกรรมในเปลือกหอยทาก (เปลือกหอยทากเปรียบเปรยถึงสถานที่ที่เล็กแคบ ประโยคนี้เปรียบเปรยถึงการกระทำเรื่องราวใหญ่โตในพื้นที่แคบย่อมยากที่จะทำออกมาได้ดี ซึ่งสามารถแยกออกไปได้อีกสองความหมาย หนึ่งแสดงถึงคนที่มีความสามารถเนื่องจากทำเรื่องใหญ่ได้แม้จะอยู่ในพื้นที่เล็กๆ สองแสดงถึงการถูกพันธนาการ ถูกจำกัด) แต่เจ้าคนบ้าสองคนนี้กลับคิดจะทำลายเมืองเขย่าภูเขาในพื้นที่แค่ตารางนิ้วเดียวด้วยเรือนกายที่มีเลือดเนื้อจริงๆ น่ะหรือ?
เงาร่างที่ล่องลอยทั้งสองแทบจะทำลายถนนทั้งเส้นให้พังพินาศ
แต่ราวกับเหมือนตกลงกันมาก่อนแล้ว สิ่งปลูกสร้างและอาคารสูงสองข้างจึงไร้ความเสียหาย
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ควบคุมปณิธานหมัดได้ในระดับอัศจรรย์สูงสุดอย่างแท้จริง
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา
โจวเฝยพลันตบหน้าผากตัวเอง “จ้งชิวตัวดี นี่เจ้าคิดจะก่อความวุ่นวายอย่างเดียวเลยนี่นา”
“ไปเถอะๆ ทนมองต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงอย่างไรก็ยังมีติงอิงและอวี๋เจินอี้คอยเก็บกวาดเรื่องเละเทะพวกนี้”
สองมือของโจวเฝยแยกกันคว้าจับไหล่ของโจวซื่อและยาเอ๋อร์ราวกับหิ้วลูกเจี๊ยบ จากนั้นก็พุ่งทะยานจากไป
แม้ว่าสาวงามแห่งตำหนักคลื่นวสันต์จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังลอยตัวขึ้นกลางอากาศล่องลอยติดตามโจวเฝยไป
ตรงสุดปลายทางของถนน ฝุ่นคละคลุ้งมืดฟ้ามัวดิน
ตรงมุมหัวเลี้ยว จ้งชิวทะยานร่างจากไปตามถนนใหญ่อีกเส้นหนึ่งด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าใบหน้าของราชครูท่านนี้จะเปื้อนฝุ่นมอมแมม แต่เขากลับไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวแม้แต่น้อย กลับกันคือเหมือนว่าได้ทำเรื่องที่สาแก่ใจเรื่องหนึ่งเสียมากกว่า
ส่วนเฉินผิงอันยังยืนอยู่บนถนนเส้นเดิม เขาเดินออกมาจากกลุ่มฝุ่นที่ฟุ้งตลบเพียงลำพัง ไม่เหลือปณิธานหมัดและพลังอำนาจอันน่าครั่นคร้ามอยู่แม้แต่นิด
เหมือนคนหนุ่มธรรมดาที่สุดคนหนึ่งที่แค่เดินออกมาหนึ่งก้าวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิวจงคนลับมีดแล้ว
หลิวจงกะพริบตาปริบๆ ถามว่า “ไม่ตีกันแล้วได้ไหม?”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หลิวจงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าคิดว่าได้ ทุกคนต่างก็ไม่มีความแค้นต่อกัน ถนนกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ต่างคนต่างเดินได้ไม่มีปัญหา!”
เฉินผิงอันเบี่ยงสายตามองไปทางเรือนหลังนั้นพลางพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้”
หลิวจงหัวเราะหึหึ “ก่อนจะไป ขอปากมากถามสักคำได้ไหมว่า เจ้ากับราชครูจ้งเป็นอะไรกัน?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ให้คำตอบว่า “เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน”
เฉินผิงอันกล่าวเสียงหนัก “รีบไปซะ ตามไปให้ทันจ้งชิว หากเป็นไปได้ก็ช่วยเขารับมือกับคนผู้หนึ่ง หากเจ้าเชื่อข้าก็อย่าหนี มีเพียงร่วมมือกับจ้งชิวเท่านั้นถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตจนถึงท้ายที่สุด”
หลิวจงพยักหน้ารับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เดินสวนไหล่เฉินผิงอันไป ส่วนเฉินผิงอันก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เบี่ยงเท้าขยับมาด้านข้างหนึ่งก้าวก็มายืนอยู่ระนาบเดียวกับแผ่นหลังของหลิวจงพอดี
อีกฝั่งหนึ่ง จ้งชิวหยุดยืนนิ่ง คนผู้หนึ่งที่มีหน้าตาเป็นเด็กยืนอยู่บนกระบี่เล่มหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ สกัดขวางทางไปของจ้งชิว
ส่วนทางฝั่งของเฉินผิงอัน ติงอิงที่สวมกวานดอกบัวสีเงินไว้บนศีรษะก็เดินออกมาจากตรอกเล็กอย่างเชื่องช้า
ระหว่างสองนิ้วของผู้เฒ่าคีบกระบี่บินเล่มหนึ่งที่สั่นสะท้านส่งเสียงร้องครวญไม่หยุด
—–