กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 321.1 นักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างบ่อน้ำ
ก่อนจะแอบเข้ามาในตำหนักรัชทายาท ฮองเฮาโจวซูเจิน หรือควรจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเจ้าหอจิ้งหย่าง หรืออีกสถานะหนึ่งคือนักรบเดนตายของหอจิ้งซิน นางได้อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางเงามืดที่ร่มเย็นแห่งหนึ่ง มองไปทางกำแพงเมืองทิศใต้ที่คนทั้งสองกำลังต่อสู้กันด้วยความปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนภูเขาถล่มพื้นดินปริแยก
ต่อให้เปิดเอกสารลับที่มีฝุ่นเกาะหนาชั้นมากที่สุดในหอจิ้งหย่างออกดู ก็เป็นเวลาหลายหกสิบปีมาแล้วที่พื้นที่มงคลดอกบัวไม่เคยมีการเข่นฆ่าที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้มาก่อน
คนเพียงสองคน แต่กลับตีกันเหมือนสองกองทัพประจัญบาน สร้างภาพบรรยากาศดุจดั่งมีทะเลทรายเหลืองอร่ามหมื่นลี้และกองทัพม้าเหล็กทวนทอง
ฮ่องเต้เว่ยเซี่ยนผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนคือผู้ไร้เทียมทาน ในช่วงยุคสมัยนั้นไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ หลูป๋ายเซี่ยงในช่วงยุคหลังก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาสามารถใช้กำลังของตัวเองคนเดียวข่มให้คนทั้งยุทธภพหายใจหายคอไม่สะดวกนานถึงหกสิบปี เซียนกระบี่สาวสุยโย่วเปียนก็ยิ่งเงียบเหงาจนได้แต่ขี่กระบี่บินทะยาน จูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์เลือกที่จะเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก ใช้กำลังของคนคนเดียวต่อสู้กับคนเก้าคน ปรมาจารย์สิบท่านบนอันดับรายชื่อแห่งใต้หล้าถูกเขาสังหารไปเกินครึ่ง
คราวนี้ติงอิงได้มาเจอกับเจ๋อเซียนหนุ่มที่มีชื่อว่าเฉินผิงอัน
ก็ราวกับดวงตะวันและดวงจันทราแข่งขันประชันแสงโดยมีท้องนภาอยู่เบื้องบน
ทุกคนได้แต่ยืดคอยาวๆ ออกไปดู รอคอยผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
โจวซูเจินถอนหายใจหนึ่งที ชำเลืองตามองชายหนุ่มหญิงสาวสองคนที่อยู่บนหลังคาสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่ง นางไม่ได้พุ่งทะยานตรงไปหาพวกเขา แต่พลิ้วกายลงในระเบียงแห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบแล้วเดินทอดน่องเอื่อยเฉื่อย หากเจอพวกสาวใช้หรือผู้ดูแลก็จะหลบอ้อมไปอยู่หลังเสา แนบตัวติดกับเสาบดบังสายตาจากมนุษย์ธรรมดาเหล่านั้น
บางครั้งก็กระโดดขึ้นไปบนเสาคาน มองดูแล้วประหนึ่งแถบผ้าหลากสีสันที่กำลังล่องลอยไปเบื้องหน้า สถานะของนางในตอนนี้ไม่เหมาะให้เผยตัวในตำหนักแห่งนี้
แม้ว่านางจะเป็นฮองเฮาคนปัจจุบันของแคว้นหนันเยวี่ยน แต่กลับไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของรัชทายาทและองค์ชายรอง ถึงขั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับอาการป่วยตายของฮองเฮาคนก่อน ข่าวลือและความลับต่างๆ ในวังหลวงล้วนมีเกี่ยวพันกับโจวฮองเฮาอย่างที่นางเลี่ยงไม่ได้
ร่างที่พุ่งวูบไปมาของโจวซูเจินทำให้เว่ยเหยี่ยนและฝานกว่านเอ่อร์สังเกตเห็นได้พอดี คนทั้งสองจึงทะยานลงมาจากหลังคา มาพบกับฮองเฮาที่มีความงามเสียงเลื่องลือผู้นี้ในสวนดอกไม้
ฝานกว่านเอ่อร์ค่อนข้างจะสงสัยและเป็นกังวล เพราะไม่รู้ว่าเหตุใดโจวซูเจินถึงมาอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังเผยกายต่อหน้านางและรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนด้วย
โจวซูเจินผู้นี้ก็คือศิษย์พี่หญิงที่ปีนั้นเป็นคนพบเจอฝานกว่านเอ่อร์และพานางไปอยู่ที่หอจิ้งซิน หลังจากนั้นไม่นานโจวซูเจินก็ได้สวมรอยเป็นสาวงามผู้เข้าร่วมการคัดเลือกซึ่งเป็นตัวตนที่ทางหอจิ้งซินสร้างให้อย่างตั้งใจ ได้เข้าไปอยู่ในวังหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างราบรื่น ก่อนจะเดินทีละก้าวจนมาสู่ตำแหน่งฮองเฮา
โจวซูเจินกล่าวอย่างจนใจ “สถานการณ์คับขัน ไม่ทันกาลแล้ว ต้องโทษที่ศิษย์พี่หญิงอย่างข้าทำอะไรไม่เรียบร้อย แล้วก็ต้องโทษมารเฒ่าติงที่ปรากฏตัวอย่างประจวบเหมาะเกินไป”
เว่ยเหยี่ยนมอง ‘เสด็จแม่’ แล้วค่อยหันกลับมามองฝานกว่านเอ่อร์ ในใจเหมือนมีพยับเมฆหนาชั้นปกคลุม
เขาไม่ถือสาหากตัวเองต้องลงเรือลำเดียวกับฝานกว่านเอ่อร์เพื่อเอาชนะน้องชายที่ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารเป็นผู้สนับสนุน จากนั้นเดินทีละก้าวจนขยับเข้าใกล้กับเก้าอี้มังกรตัวนั้น ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น สุดท้ายจับมือกับสาวงามวางแผนรวบรวมสี่แคว้นให้เป็นปึกแผ่น แต่หากบอกว่าสกุลเว่ยทุกคนในแคว้นหนันเยวี่ยนล้วนถูกหญิงสาวจากหอจิ้งซินเหล่านี้กุมเล่นไว้ในกำมือมานานแล้ว ถ้าเช่นนั้นต่อให้ตนจะได้นั่งเก้าอี้มังกร ได้สวมชุดคลุมมังกร แล้วจะยังมีความหมายอะไร?
แต่โจวซูเจินกลับไม่มีเวลามาสนใจความคิดของกษัตริย์ที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างของเว่ยเหยี่ยน นางพูดเข้าประเด็นกับฝานกว่านเอ่อร์ว่า “ปีนั้นการที่อาจารย์ส่งตัวข้ามาอยู่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นอกจากสถานะฮองเฮานี้แล้ว อาจารย์ยังต้องการให้ข้าทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ นั่นก็คือได้กระโปรงเขียวชุดนั้นมาครอบครอง ไม่ช้าไม่เร็ว จำเป็นต้องเป็นช่วงสุดท้ายก่อนระยะเวลาหกสิบปีนี้จะหมดลงพอดี แต่ข้าไม่กล้าเข้าใกล้มารเฒ่าติงเกินไป ไม่กล้าปรากฏตัวให้เขาเห็นเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะทำให้มารเฒ่าหงุดหงิด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มขออภัยให้ฝานกว่านเอ่อร์ กล่าวเสียงขื่น “ดังนั้นศิษย์พี่หญิงจึงได้แต่ถอยมาเลือกลำดับรองลงมา ก่อนที่โจวเฝยจะลงจากภูเขาก็เคยป่าวประกาศแล้วว่าต้องการเจ้าศิษย์น้องหญิงเป็นของรางวัล เขาปรารถนาในความงามของเจ้ามานานแล้ว ดังนั้นข้าจึงจงใจให้คนเปิดเผยความลับแก่ตำหนักคลื่นวสันต์ บอกว่าเจ้าอยากครอบครองชุดกระโปรงตัวนั้น แล้วโจวเฝยก็ตรงไปหาภิกษุอวิ๋นหนีที่วัดจินกังจริงๆ ด้วยนิสัยของโจวเฝย หากเจ้าตกอยู่ในกำมือของเขา ขอแค่ศิษย์น้องหญิงเอ่ยปาก ไม่ว่าจุดประสงค์เดิมที่โจวเฝยไปแย่งกระโปรงสีเขียวชุดนั้นมาจะคืออะไร เขาก็ต้องยินดีมอบกระโปรงตัวนั้นให้ศิษย์น้องอย่างแน่นอน”
ฝานกว่านเอ่อร์ยังคงไม่เข้าใจ “ข้าได้กระโปรงตัวนั้นมาแล้วอย่างไร? ได้หนึ่งในสี่โชควาสนาใหญ่ก็จะโชคดีได้บินทะยานงั้นหรือ? แต่ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่หญิงก็เคยพูดไม่ใช่หรือว่า อาจารย์เคยสั่งไว้ว่า ไม่ให้ข้าจงใจไล่ตามโอกาสในการบินทะยาน?”
“น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้โจวเฝยได้มอบกระโปรงตัวนั้นให้กับยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารไปแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้…ยังดีที่อาจารย์ก็เคยคาดเดาสถานการณ์เช่นนี้มาไว้แล้ว”
โจวซูเจินควักกระจกทองแดงบานเล็กออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์จึงบอกกับข้าว่าเมื่อถึงเวลานั้น ให้ข้ามอบมันแก่เจ้า”
ฝานกว่านเอ่อร์รับกระจกมาแล้วพลิกกลับไปกลับมา หมุนซ้ายหมุนขวา แต่ก็มองความผิดปกติใดๆ ไม่ออกแม้แต่น้อย
โจวซูเจินส่ายหน้า “ข้าศึกษามันมาหลายปีก็มองเส้นสนกลในไม่ออกเหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่กระจกธรรมดาบานหนึ่งเท่านั้น”
โจวซูเจินหันไปคลี่ยิ้มให้เว่ยเหยี่ยน “องค์ชาย ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะกลายมาเป็นหุ่นเชิดของหอจิ้งซินเรา พวกเราไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น แล้วก็ไม่มีศักยภาพมากพอให้มีความทะเยอทะยานนี้ด้วย อาจารย์เคยบอกไว้ว่า บนโลกมีติงอิง อวี๋เจินอี้และจ้งชิวสามคนนี้อยู่ ก็เหมือนมีภูเขาสามลูกใหญ่ที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ โดยเฉพาะหากสองคนแรกมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ แผนการทั้งหมดของหอจิ้งซินก็เป็นแค่การละเล่นของเด็กที่ไม่มีความหมายต่อใต้หล้านี้เลย”
เพราะยึดกฎเลี่ยงการเอ่ยนามของผู้สูงศักดิ์ โจวซูเจินจึงไม่เต็มใจเอ่ยคำพูดบางอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของถงชิงชิงผู้เป็นอาจารย์ต่อหน้าคนนอกอย่างเว่ยเหยี่ยน
อันที่จริงปีนั้นตอนที่ถงชิงชิงมาพบหน้าโจวซูเจินผู้เป็นลูกศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย นางได้เอ่ยคำพูดที่ออกมาจากใจจริงอีกบางส่วน นางบอกว่า ‘ทำมามากมายขนาดนี้ก็เพียงแค่เพราะข้ากลัวตาย ดังนั้นข้าถึงได้อยากรู้ว่าทั่วทุกมุมในใต้หล้าแห่งนี้มีใครทำอะไรบ้าง ข้าต้องการรู้ทุกเรื่อง เพื่อที่ข้าจะสามารถหลบเลี่ยงอันตรายทั้งหมดได้’
อีกอย่างโจวซูเจินก็ไม่เชื่อว่านี่เป็นคำพูดจากใจจริงของอาจารย์
อาจารย์มีตบะสูงถึงเพียงนั้น กลายเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของใต้หล้ามาตั้งนานแล้ว พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ที่เลิศล้ำของอาจารย์ คนนอกอาจจะไม่รู้ แต่โจวซูเจินกลับรู้ดีว่า นางเป็นรองแค่มารเฒ่าติงอิงเท่านั้น! ขอแค่อาจารย์ตั้งใจ สามอันดับแรกในใต้หล้าย่อมเป็นของที่อยู่ในกระเป๋าของนาง แล้วนับประสาอะไรกับที่เบื้องหลังอาจารย์ยังมีหอจิ้งซิน มีสายสืบและนักรบเดนตายมากมายอยู่ในราชสำนักของสี่แคว้น ยังต้องกลัวอะไรอีก? ใต้หล้านี้สิที่ต้องกลัวนางถึงจะถูก ไม่ใช่หรือ?
รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนครุ่นคิดอย่างตั้งใจ เขาไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ หรือควรจะพูดอีกอย่างว่าไม่ได้เชื่อทั้งหมด
ฝานกว่านเอ่อร์ถือกระจกทองแดงไว้ในมือ จมสู่ภวังค์ความคิด
……
ภิกษุเฒ่าวัดจินกังถอดจีวร เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ของคนปกติทั่วไป เขารู้สึกไม่ค่อยเคยชินเท่าไหร่นัก เวลานี้เขาไปเยือนวังหลวงเพื่อไปทวงคืนอรหันต์ร่างทองของวัดป๋ายเหอมาจากฮ่องเต้ ก่อนเข้าวัง ทหารยามบอกให้เขารอฮ่องเต้เรียกพบอยู่หน้าประตูวังก่อน เขาจึงพนมมือทั้งสิบ ท่องคำหนึ่งว่าอามิตาภพุทธ
พอเข้าวังมาแล้ว ฮ่องเต้ก็มารอภิกษุเฒ่าที่ห้องทรงพระอักษรด้วยองค์เอง ก่อนหน้านี้ต่อให้เป็นฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนก็ยังไม่รู้จักภิกษุผู้อธิบายพระธรรมแห่งวัดจินกังท่านนี้ เพียงแต่ว่าเมื่อรายชื่อสิบคนปรากฏขึ้นในครั้งล่าสุดถึงได้รู้ว่าภิกษุผู้ต่อดวงประทีปที่ไร้สัญชาติไร้นามผู้นี้ นอกจากจะมีศักดิ์สูงในวัดจินกังแล้ว ยังมีวิชาอภินิหารของศาสนาพุทธที่ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งอีกด้วย
เกี่ยวกับเรื่องอรหันต์ร่างทอง ฮ่องเต้สกุลเว่ยตอบรับอย่างไม่มีความลังเล ยอมให้อดีตภิกษุอวิ๋นหนีนำกลับไป
ภิกษุเฒ่าที่เพิ่งกลับมาเป็นฆราวาสได้ไม่นานรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เดิมทีเขายังคิดเตรียมคำพูดไว้มากมาย ยกตัวอย่างเช่นรับปากว่าจะอุทิศตนให้แก่สกุลเว่ยแคว้นหนันเยวี่ยนไปอีกสามสิบปี
ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานไม่ได้ไปรวมตัวกับพวกลูกศิษย์ เพราะทำอย่างนั้นจะสะดุดตาเกินไป ง่ายที่จะถูกคนพบตัว
อีกทั้งผู้เฒ่าก็ไม่สะดวกถือทวนเดินเตร่ไปมา จึงได้แต่เลือกมาหลบร้อนอยู่ใต้สะพานหินโค้งแห่งหนึ่ง
เขาตัดสินใจแล้วว่าเมื่อเสียงกลองครั้งที่สองดังขึ้นบนภูเขากู่หนิว หากคนสิบคนบนรายชื่อที่อยู่ในเมืองหลวงตายกันไปแล้วอย่างน้อยเกินครึ่ง เขาถึงจะเผยตัว หาไม่แล้วก็ยอมสูญเสียโอกาสบินทะยานครั้งนี้ไปดีกว่า
เฉิงหยวนซานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกปรมาจารย์ที่อยู่บนรายชื่อจะตายกันไปให้หมด
ส่วนข้อที่ว่าทำแบบนี้จะผิดต่อความตั้งใจเดิมหรือไม่ เฉิงหยวนซานไม่สนใจ เขาสนใจแค่ผลลัพธ์เท่านั้น ถ้อยคำเป็นหมื่นเป็นพันในหนังสือประวัติศาสตร์ นอกจากสี่คำว่าชนะเป็นราชาแพ้เป็นโจรที่โชกไปด้วยเลือดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรอีก?
ถังเถี่ยอี้ที่อยากจะใช้เฉิงหยวนซานมาเป็นหินลับมีด เมื่อหาปี้เซิ่งไม่เจอก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด ตอนนี้โอกาสในการเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุด แท้จริงแล้วอยู่ที่สถานะของเขา
หากถูกเปิดโปงว่าแม่ทัพใหญ่แคว้นเป่ยจิ้นมาเดินเล่นอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนต้องเกิดปัญหาใหญ่มากแน่นอน แม้จะบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเป่ยจิ้นกับหนันเยวี่ยนนับว่าพอใช้ได้ แต่แคว้นหนันเยวี่ยนมีความทะเยอทะยานสูง เคยป่าวประกาศมานานแล้วว่าจะรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียว ถังเถี่ยอี้ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกพาส่งออกนอกอาณาเขตของอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท หากไม่ต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อสกุลเว่ยก็ต้องตายอย่างเฉียบพลันอยู่ในเมืองหลวงต่างแคว้นแห่งนี้
—–