กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 322.1 แต่ละแห่งคือยอดบน แต่ขาดหนึ่งภูเขา
นักพรตเฒ่ามองเด็กหญิงร่างผอมแห้งตรงๆ เป็นครั้งแรก
นักพรตเฒ่าร่างสูงใหญ่ เด็กหญิงตัวน้อยกลับผอมบางเหมือนกิ่งไผ่
แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ภายใต้การจับจ้องมองมาของนักพรต เด็กหญิงที่เดิมทีใช้ศีรษะพุ่งชนบ่อหวังหลุดพ้นจากความทรมาน เหมือนคนได้ดื่มน้ำเย็นในช่วงที่อากาศร้อนที่สุด อีกทั้งยังเป็นน้ำบ๊วยในชามกระเบื้องขาวใบใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์ ความเจ็บปวดนั้นพลันหายไป นางหอบหายใจเอาอากาศเข้าปากคำใหญ่ พิงหลังอยู่นอกบ่อ เงยหน้ามองเทพเซียนผู้เฒ่าคนนั้นอย่างขลาดๆ ก่อนที่สัญชาตญาณจะพาให้สายตาของนางมองปราดไปอย่างว่องไวเพื่อตามหาว่าผู้เฒ่าเก็บ ‘ไข่มุก’ เม็ดนั้นไปไว้ที่ไหน
นี่เรียกว่าเจ็บแล้วไม่รู้จักจำ
ยังดีที่นักพรตคนนี้มีท่าทีที่เป็นมิตรต่อคนในโลกมนุษย์ผิดไปจากคนทั่วไป เขาไม่ถือสาสายตาค้นหาของเด็กหญิงที่ไม่รู้จักกลัวตายผู้นี้ แต่ผู้เฒ่ารู้ตัวตนของเด็กหญิงผู้นี้ดี เป็นเหตุให้ยิ่งรู้สึกรังเกียจซิ่วไฉเฒ่าที่ปากเอาแต่พร่ำพูดว่า ‘บัณฑิตแค่ขอยืมของ’ เข้าไปอีก
ในอดีตคนทั้งสองเคยเดิมพัน ซิ่วไฉเฒ่าที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวของความยากจนอาศัยพฤติกรรมเล่นแง่และไม่ได้ดั่งใจก็ตีโพยตีพายของสตรี เอาชนะจนได้ของแทนตัวชิ้นหนึ่งไปจากเขา บอกกับเขาว่าหากเจอกับคนที่ได้ถือครองของแทนตัวชิ้นนั้น จะต้องปกป้องชีวิตของคนผู้นั้นให้อยู่รอดปลอดภัย นักพรตเฒ่ากล้าเดิมพันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ จึงรับปาก แต่ความแค้นเคืองในใจที่มีต่อซิ่วไฉเฒ่าไม่ใช่น้อยๆ เลย ภายหลังได้พบกันอีกครั้ง ประลองมรรคกถากันไปรอบหนึ่ง โดยการที่คนทั้งสองนั่งลงถกกถามรรค อธิบายเหตุผลกันบนเส้นชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่มงคลดอกบัวและถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา ที่เลือกสถานที่แห่งนี้ก็เพราะพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ ต่อให้ปราณวิญญาณจะเบาบางแค่ไหน ก็ยากที่จะต้านทานการประชันบนมหามรรคาของคนทั้งสองได้ สุดท้ายแล้วยังคงเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่ยึดครองความได้เปรียบเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ซิ่วไฉเฒ่าหน้าไม่อายผู้นั้นยังแอบจัดวางหมากเม็ดนี้ไว้ในพื้นที่มงคลดอกบัว นี่ต้องเรียกว่าเงาดำใต้โคมจริงๆ
นักพรตเฒ่าจ้องมองเด็กหญิงที่อยู่ใต้เปลือกตาด้วยสายตาใสกระจ่างและเย็นชา ประหนึ่งดวงอาทิตย์ลอยสูงกลางนภาที่ไม่เคยสนใจความร้อนเย็นในโลกมนุษย์ ยิ่งไม่คิดเล็กคิดน้อยกับความดีความเลวของมนุษย์ในโลก
นักพรตเฒ่ากะพริบตาปริบๆ แค่ไม่กี่ทีก็มองเห็นประสบการณ์ในชีวิตนี้ของเด็กหญิงได้ครบถ้วนหนึ่งรอบ
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
นักพรตเฒ่ามองไปยังจวนบางแห่งแล้วแค่นเสียงเย็นชา ความเคียดแค้นลดน้อยลงไปหลายส่วน ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็พอจะเข้าใจความตั้งใจของซิ่วไฉเฒ่าได้คร่าวๆ ใช้ใจคิดคำนวณและอนุมานก็รู้สึกว่าพอใช้ได้ นักพรตเฒ่ารู้สึกลังเลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาหันหน้ามองไปทางกำแพงเมืองทิศใต้ ร้องเอ๊ะหนึ่งที ด้วยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นักพรตเฒ่าดีดนิ้วเบาๆ ลงไปกลางหว่างคิ้วของเด็กหญิง นางตัวแข็งทื่อไม่อาจกระดุกกระดิก
จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บริเวณโดยรอบปากบ่อเกิดเป็นริ้วคลื่นกระเพื่อมไหว นักพรตเฒ่าเดินออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็หายวับไป พื้นที่ในช่วงบริเวณนั้นซึ่งรวมไปถึงตำแหน่งที่แม่นางน้อยอยู่ แม่น้ำแห่งกาลเวลาเริ่มหมุนย้อนกลับ รายละเอียดเล็กน้อยทุกอย่างที่ดวงตาเปล่ามองไม่เห็น กฎการโคจรของฟ้าดินล้วนเริ่มหมุนกลับไป เด็กหญิง ‘หยิบ’ ตำราเหล่านั้นขึ้นมา ภาพสุดท้ายหยุดอยู่ตอนที่นางทำท่าจะถุยน้ำลายใส่บ่อน้ำ
นางมึนงงเล็กน้อย ในใจบังเกิดความหวั่นกลัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะส่ายหน้า สุดท้ายก็ไม่กล้าทำตัวป่าเถื่อน ได้แต่หอบเอาตำราที่ขโมยมาวิ่งห้อออกไป
ภูเขากู่หนิวอยู่ห่างจากทางทิศใต้ของเมืองหลวงไปยี่สิบกว่าลี้
บนกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อแหว่งเว้า ซากปรักหร็อมแหร็มบางตา มีปรมาจารย์ยอดฝีมือหลายท่านที่ออกจากในเมืองมาร่วมชม ‘ซากปรักหักพังแห่งสนามรบ’ อวี๋เจินอี้กับจ้งชิวหยุดการเข่นฆ่าลงชั่วคราว อวี๋เจินอี้ในเวลานี้กำลังรับสัมผัสกับการโคจรของลมปราณเหนือหัวกำแพงเมือง รวมไปถึงปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่ยังคงเหลือค้างอยู่ในฟ้าดินอย่างเงียบเชียบ ส่วนจ้งชิวกลับไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก มือทั้งคู่ของเขาวางลงบนป้อมยิงธนูแห่งหนึ่งที่พังถล่มไม่เหลือสภาพดี ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
กระบี่บินแก้วหยุดอยู่ข้างกายของอวี๋เจินอี้ ยิ่งขยับเข้ามาใกล้หัวกำแพงเมือง ความเร็วในการแหวกอากาศของกระบี่บินก็ยิ่งเชื่องช้า พอขึ้นมาบนหัวกำแพงก็สั่นสะท้านเบาๆ ราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
หลิวจงคนลับมีดตามกระบี่แก้วมาถึงทางเดินม้า เขากระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงที่พังเละเทะแล้วนั่งขัดสมาธิ ในมือถือมีดเลาะกระดูกที่เสียหายอย่างหนัก ผู้เฒ่าใช้นิ้วโป้งลูบคลึงไปตามตัวมีดที่ใสแวววาวราวกับกระจก ทำตัวกำเริบเสิบสานมาทั้งชีวิต สุดท้ายถูกกระบี่เล่มหนึ่งซ้อมจนมีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ นี่คงเรียกว่ากรรมตามสนองทันตาเห็นกระมัง
ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยจิ้นพกมีด ‘เลี่ยนซือ’ เดินขึ้นมาบนหัวกำแพงเมืองอย่างเชื่องช้า เขาเลือกพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง หยุดยืนนิ่ง มือกำด้ามมีด พลังอำนาจแผ่ไพศาล
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่หลบร้อนอยู่ใต้สะพานนับว่าทำลายเกียรติของปรมาจารย์อย่างแท้จริง
โจวเฝยและลู่ฝ่างก็มาที่กำแพงเมืองทางทิศใต้เช่นกัน ด้านหลังมีหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อและยาเอ๋อร์ที่สวมรองเท้าเกี๊ยะติดตามมา
ฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินเดินขึ้นหัวกำแพงมาอย่างระมัดระวัง นางไม่กล้าเดินไปบนทางเดินม้าสองฝั่งของกำแพงเมืองอย่างเปิดเผย แต่ใช้วิชาตัวเบาเหยียบไต่บนผนังกำแพงขึ้นมา ตำแหน่งที่เลือกอยู่ระหว่างราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนกับแม่ทัพใหญ่หลงอู่เป่ยจิ้น
ศึกของคนทั้งสองที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองได้ย้ายออกไปนอกเมืองแล้ว
จากแนวเส้นยาวตั้งแต่หัวกำแพงเมืองที่ทุกคนยืนอยู่ไปจนถึงภูเขากู่หนิว ฝุ่นตลบคละคลุ้งเหมือนเต่ายักษ์พลิกตัวกลับหลัง แหวกเปิดพื้นดิน
กลุ่มพ่อค้าและนักเดินทางที่อยู่บนทางหลวงที่พักม้านอกเมืองทางทิศใต้สลายตัวกันไปนานแล้ว
ติงอิงไม่เพียงแต่เดินขึ้นหน้าทวนกระแส ปล่อยหมัดออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อทลายแม่น้ำปราณกระบี่สายยาวที่เฉินผิงอันปล่อยออกมา ยังปล่อยให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเพื่อที่จะได้ประชิดตัวอีกฝ่าย บีบให้เฉินผิงอันจำต้องใช้กระบวนท่ากระบี่มาต้านรับ วิชาอันมหัศจรรย์ของติงอิงไม่ได้ถูกพันธนาการอยู่แค่กับวิชาของสำนักหรือพรรคที่สอนวรยุทธ์แห่งใดแห่งหนึ่ง แต่ทุกวิชาล้วนถูกเขานำมาใช้ ทุกกระบวนท่าเมื่อเทียบกับกระบวนท่าอันเป็นวิชาก้นกรุของปรมาจารย์ใหญ่อย่างพวกอวี๋เจินอี้แล้ว มองภายนอกดูคล้าย แต่แท้จริงไม่ใช่ เพราะมีความต่างทางจิตวิญญาณอยู่มาก
ฝ่ามือตบลงบนหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ของเฉินผิงอัน ทว่าพายุลมกรดกลับระเบิดขึ้นที่ด้านหลังของเฉินผิงอัน
เวลาเพียงชั่วดีดนิ้วมือ ปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ก็เหมือนน้ำวนหมุนคว้างไม่เป็นระเบียบ ยากจะจับวงโคจรได้
หลังจากที่เฉินผิงอันถูกซัดจนร่วงลงไปบนพื้น เสื้อผ้าของติงอิงเองก็ขาดวิ่น เส้นผมยุ่งเหยิง แต่ไม่ได้หยุดอยู่เฉย เขาพลิ้วตัวลงมาจากหัวกำแพงเมือง รักษาระยะห่างของทั้งสองไว้ในระยะสองช่วงแขนตลอดเวลา ไม่ยอมให้เฉินผิงอันผลักดันเวทกระบี่และปณิธานกระบี่ให้ถึงขอบเขตสูงสุดได้ง่ายๆ ติงอิงมั่นใจได้เลยว่า ทุกกระบี่ของเจ๋อเซียนที่สวมชุดขาวตรงหน้าผู้นี้ล้วนทัดเทียมได้กับการออกแรงอย่างเต็มกำลังในหนึ่งกระบี่ของเซียนกระบี่หญิงสุยโย่วเปียน
แน่นอนว่าไม่รวมสามกระบี่ตอนที่สุยโย่วเปียนใช้บินทะยาน
ตอนนั้นเมื่อโอกาสมาถึง โชคชะตาของเซียนกระบี่หญิงก็เปลี่ยนแปลง ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่ามีความเป็นไปได้มากว่านางจะได้ครอบครองโชคชะตาบู๊เกือบครึ่งของใต้หล้า จึงไม่สามารถดูแคลนสุยโย่วเปียนได้
ด้วยเหตุนี้ติงอิงจึงรู้ดีว่า วิถีสวรรค์ของที่แห่งนี้ไม่ได้ขัดขวางการบินทะยานโดยใช้เรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาอันบริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ์ ยังถึงขั้นปล่อยให้สุยโย่วเปียนดึงเอาโชคชะตาบู๊ไปตามใจชอบ เป็นเหตุให้ตอนนั้นเมื่อสุยโย่วเปียนล้มเหลวในการบินทะยาน เลือดเนื้อสลาย เหลือเพียงโครงกระดูก ระหว่างทางที่ร่วงกลับลงมาในโลกมนุษย์ กระดูกขาวก็กลายเป็นเถ้าธุลี จิตวิญญาณแหลกสลาย นี่เป็นเพราะนางขาดศักยภาพที่มากพอ จะโทษคนอื่นไม่ได้
หมัดหนึ่งของติงอิงต่อยเปรี้ยงลงบนใจกลางตัวกระบี่ของเฉินผิงอัน ตัวกระบี่โค้งงอเป็นเส้นโค้งขนาดใหญ่ ปลายกระบี่ปราณยาวแทบจะแทงเข้าที่ไหล่ของติงอิงเอง เฉินผิงอันจำต้องประกบนิ้วสองนิ้วมาแนบติดที่ปลายกระบี่ ดีดเส้นวงโค้งที่ถูกหมัดของติงอิงต่อยให้กลับมาราบเรียบ ร่างถอยกรูดไปด้านหลัง ดีดเท้าแตะพื้นเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ พริบตาเดียวก็ไถลตัวออกไปบนถนนทางหลวงไกลสิบกว่าจั้ง
เมื่อเห็นว่าติงอิงไม่ได้ไล่ตามมาโจมตีอย่างน่าประหลาดใจ เฉินผิงอันกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคดี เขารีบใช้กระบวนท่าสยบเสินโถวจากใน ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ มาสลายปราณกระบี่ให้แผ่ไปปกคลุมรอบด้าน
พายุหมัดซัดกระหน่ำรุนแรง เกิดเป็นรุ้งยาวเจ็ดแปดเส้นเสมือนจริงพุ่งมากระแทกชนบนปราณกระบี่
เฉินผิงอันขยับซอยเท้าสั้นๆ ทีละก้าว เสียงฟ้าร้องเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ปราณกระบี่และพายุหมัดแหลกสลาย กลายเป็นกลุ่มแสงสีสันงดงามเจิดจ้าแทบจะเวลาเดียวกัน ราวกับว่ากองทัพม้าเหล็กสองกองที่รบกันอยู่แนวหน้าเส้นชายแดนของสองแคว้นได้พินาศวอดวายไปพร้อมกัน
ติงอิงที่อยู่ห่างออกไปออกหมัดไม่หยุด นี่ไม่อาจเรียกว่าเป็นกระบวนท่าอะไรได้เลย เป็นแค่การออกหมัดที่ธรรมดาที่สุดเท่านั้น ทุกท่าล้วนเป็นไปตามใจปรารถนา
ขณะเดียวกันกับที่ออกหมัดก็เดินออกมาเบาๆ หนึ่งก้าว ดึงระยะห่างเข้ามาใกล้อีกสองจั้ง
รอจนเฉินผิงอันต้านทานพายุหมัดทั้งหมดได้อย่างยากลำบาก ติงอิงก็ขยับมาประชิดตัวอีกครั้ง ทำเอาเฉินผิงอันไม่มีเวลาผลัดเปลี่ยนลมปราณ
เฉินผิงอันทั้งรบทั้งถอยอยู่ตลอดเวลา ส่วนติงอิงก็ปล่อยพลังอำนาจดุดันน่ายำเกรงออกมาตลอดเวลาเช่นกัน
หากพูดถึงจุดสูงสุดของพลังอำนาจแต่ละฝ่าย ของเฉินผิงอันอยู่ที่กระบี่แรกบนหัวกำแพงเมือง
เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่นั้น ต่อให้เป็นติงอิงที่เย่อหยิ่งทระนงตนจนสายตามีแค่เทพเทวาบนสวรรค์ก็ยังได้แต่ถอยหนีอย่างหดหู่ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่สภาพจิตใจก็ยังเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ส่วนพลังอำนาจสูงสุดของติงอิงนั้นกลับอยู่ในตอนที่ตกเป็นรอง เดินทวนกระแสปราณกระบี่ไหลบ่าขึ้นหน้าไป
หลังจากนั้นมาเฉินผิงอันก็เริ่มเดินลงเนิน แต่ที่น่าแปลกก็คือติงอิงกลับไม่สามารถรักษาพลังอำนาจและสภาพจิตใจของคนที่ได้เปรียบเอาไว้ได้
ปราณกระบี่ที่ถูกกระจายออก แม้ว่าจะมองดูเหมือนมีพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามเหมือนน้ำทะลักท่วมทำนบ แต่ติงอิงก็มั่นใจว่าสามารถต้านทานได้ อย่างมากที่สุดคือหลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยมาหนึ่งกระบี่แล้วมีโอกาสได้หายใจหายคอ ติงอิงก็แค่สูญเสียโอกาสชิงลงมือก่อนไปเท่านั้น
ทว่าเมื่อปราณกระบี่รวมตัวกันกลายเป็นเส้นพุ่งมาดุจกระแสน้ำขึ้น ติงอิงกลับได้แค่หลบเลี่ยงประกายคมกริบของอีกฝ่ายเท่านั้น
สามลี้นอกเมือง บริเวณใกล้เคียงกับทางหลวงมีเนินเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ติงอิงใช้สองนิ้วของมือข้างหนึ่งดีดปลายกระบี่ ก่อนจะเพิ่มแรงลงบนฝ่ามือในฉับพลันแล้วผลักไปที่หน้าอกของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันปลิวลิ่วไปกระแทกเนินเขาเหมือนว่าวที่สายป่านขาด
ติงอิงถึงขนาดต่อยให้ร่างของเฉินผิงอันทะลุเนินเขาขนาดเล็กนี้ไป ประหนึ่งลูกธนูแทงทะลุหน้าอกของศัตรู
ฝุ่นคลุ้งตลบไปยันแผ่นฟ้า
พลังอำนาจจากฝ่ามือนี้ของติงอิงมากมหาศาล แค่ดูจากกระบี่ที่หลุดออกจากมือของเฉินผิงอันก็พอจะมองออกแล้ว กระบี่ปราณยาวลอยคว้างขึ้นไปสู่จุดสูงสุดกลางอากาศแล้วก็เริ่มร่วงดิ่งลงมา ไม่ต่างจากที่คาดการณ์ไว้ มันร่วงตกลงบริเวณเนินเขาใกล้กับติงอิง
ติงอิงหรี่ตาลง เขามองไม่เห็นสภาพอเนจอนาถของเฉินผิงอัน ขณะเดียวกันกับที่ไม่อยากถ่วงเวลาล่าช้าในการพุ่งออกไปซ้ำอีกฝ่าย อันที่จริงติงอิงก็ยังลังเลอยู่ว่าควรจะจัดการกระบี่ที่อยู่ข้างหน้านั้นอย่างไร ควรจะฉวยโอกาสที่เจ้าของมันอ่อนแอบังคับกระบี่ให้บินกลับมา แล้วโยนทิ้งไปที่หัวกำแพง พยายามให้มันอยู่ห่างจากสนามรบของคนทั้งสองให้ได้มากที่สุด ทำให้เจ๋อเซียนหนุ่มผู้นี้ไม่อาจกุมกระบี่ หรือควรจะใช้มันเป็นเหยื่อล่อเพื่อลอบฆ่าเฉินผิงอันในระยะประชิดดี?
แต่คู่ต่อสู้คนนี้ทำให้ติงอิงรีบล้มเลิกความคิดทั้งหมดไปทันที
ในใจของติงอิงพลันเกิดความระแวดระวัง ขนร่างทั้งลุกชัน รีบหยุดชะงักร่างที่กำลังพุ่งไป เท้าทั้งสองข้างกระทืบลงบนพื้นแรงๆ ตั้งกระบวนท่าหมัดใหญ่ที่มีพลังอำนาจเปี่ยมล้น พายุหมัดเหมือนพายุฝนที่เทกระหน่ำลงบนแถบพื้นที่ระหว่างกระบี่เล่มนั้นกับเนินเขา ต่อให้ติงอิงจะรับมือได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังเห็นว่าแสงสีขาวหิมะปล่อยให้พายุหมัดต่อยลงบนร่าง แล้วกระโดดลอยตัวขึ้นสูงจากบนเนินเขา เอื้อมมือออกมาคว้า ปราณยาวที่ตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ลอยตัวขึ้นสูงหลายฉื่อ แล้วถูกเฉินผิงอันคว้ามาอยู่ในฝ่ามือพอดี
เพื่อพุ่งผ่านพายุหมัดดุจฝนกระหน่ำของติงอิงออกไปให้ได้โดยไวที่สุด ก็เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันอ่อนกำลังจนเป็นม้าตีนปลายแล้ว ทว่าพอกระบี่มาอยู่ในกำมือ เฉินผิงอันกลับยังคงเงื้อกระบี่ฟันออกไป
ส่วนเรื่องที่ว่าอานุภาพของกระบี่นี้จะถูกลดทอนลงไปหรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะแค่ทำให้ติงอิงที่พละกำลังเปี่ยมล้นรู้สึกคันๆ หรือแค่ทำให้ติงอิงบาดเจ็บเล็กน้อยแบบที่ไม่ระคายผิวหนังของเขา
เฉินผิงอันไม่คิดถึงพวกมันเลยสักนิด
โลกที่น่าเหลือเชื่อใบนี้ บนถนนเส้นนั้น ทุกคนต่างก็ร้องตะโกนให้ผู้คนเข่นฆ่ากันอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับว่าไม่มีใครสนใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเฉินผิงอันคือใคร เป็นคนดีหรือคนเลว ทำไมถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
ความรู้สึกแบบนี้ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด ตอนนั้นที่เฉินผิงอันเห็นหลิวเสี้ยนหยางนอนป่วยอยู่บนเตียงแล้วเดินไปบนสะพานเพียงลำพัง
เขาก็สาบานกับตัวเองแล้วว่าชีวิตนี้จะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกเด็ดขาด จะไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือนหมาตัวหนึ่งที่กระดิกหางขอความสงสารจากสวรรค์ หวังจะทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง
ระยะเวลาที่เฉินผิงอันเรียนคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริงไม่นับว่าสั้น ทว่าจิตวิญญาณที่เฉินผิงอันคว้าจับได้อย่างแท้จริงกลับไม่ได้มาจากคัมภีร์กระบี่เล่มนี้ แต่มาจากสามกระบี่
หนึ่งคือกระบี่ที่อาจารย์ฉีฟันผ่าค่ายกลของหลิ่วชื่อเฉิงชุดชมพูในวัดร้างได้อย่างง่ายดาย
ครั้งที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันเคยใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าเสื้อเกราะทองคำ
ในม้วนภาพวาดภูเขาและแม่น้ำของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าคืออีกสองกระบี่ กระบี่ของจิตวิญญาณกระบี่ ตอนอยู่บนกำแพงเมืองแคว้นหนันเยวี่ยน เฉินผิงอันเคยเลียนแบบจนมีความคล้ายคลึงหนึ่งส่วน เมื่อปล่อยกระบี่นั้นออกไปก็ทำให้ติงอิงเกือบจะรู้สึกว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นแค่อันดับสองในใต้หล้า
อีกทั้งเฉินผิงอันยังเคยปล่อยกระบี่ไปครั้งหนึ่งตอนอยู่บนภูเขาสุ้ยซานทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ก็คือสามกระบี่นี้
นอกจากนี้ยังมีอีกสองกระบี่ แต่เฉินผิงอันยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะไม่คุ้นเคยกับคนที่ออกกระบี่ อยู่ห่างไกลเกินไป เฉินผิงอันจึงไม่สามารถบรรลุถึงจิตวิญญาณที่มากพอจะให้ตัวเองออกกระบี่ได้
กระบี่หนึ่งเป็นของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่แหวกผ่าม่านรัตติกาล คนยังไม่ปรากฏตัว กระบี่ก็มาถึงก่อนแล้ว
กระบี่หนึ่งเป็นของสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ที่ผลักกระบี่ออกจากฝักมาแค่ชุ่นกว่าก็มีภูเขาลูกหนึ่งทอดขวางเบื้องหน้า
เฉินผิงอันกำปราณยาวเอาไว้ กระบี่ที่เขาฟันออกไปนี้เป็นของอาจารย์ฉีที่จับกระบี่ไม้ไหวฟันผ่าค่ายกลของนครจักพรรดิขาวที่หลิ่วชื่อเฉิงร่ายไว้ในวัดร้างได้อย่างง่ายดาย
ในใจของติงอิงเกิดความลังเลขึ้นมาอีกครั้ง กระบี่ที่ห่อหุ้มพลังอำนาจสะท้านฟ้านี้ทำให้เขาคุ้นเคยยิ่งนัก ในเมื่อบนหัวกำแพงตนถอยไปแล้วหนึ่งครั้ง คราวนี้จะยังถอยอีกหรือไม่?
กลางอากาศสูงเบื้องหน้าติงอิงคือหนึ่งคนหนึ่งกระบี่
เฉินผิงอันเงื้อกระบี่ฟันฉับลงมา
แสงสีทองเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าดิน
เรียนวิชาหมัดก็ต้องออกหมัด เรียนวิชากระบี่ก็ต้องออกกระบี่
จะดีจะชั่วก็ต้องทำให้คนอื่นได้ยินบ้างว่าตนกำลังพูดอะไร
ชั่วพริบตานั้นความคิดของติงอิงพลันแจ่มชัด ร่างกายและจิตใจล้วนมั่นคง
หนึ่งกระบี่ถอย สองกระบี่ถอย ทุกกระบี่ก็ต้องถอย แล้วข้าติงอิงจะต้องถอยไปถึงไหน? ไม่สู้ลองงัดข้อกับสวรรค์ดูบ้างเป็นไร?!
คิดซะว่าเจ๋อเซียนที่ชื่อเฉินผิงอันเบื้องหน้าผู้นี้ก็คือเทพเทวาท่านนั้น ฆ่าคนผู้นี้ตายได้ ค่อยฆ่าคนที่ยิ่งใหญ่กว่า แล้วนั่นก็จะกลายเป็นสถานการณ์ใหม่เอี่ยมที่ฟ้าดินสว่างสดใส ฟ้าและคนมีความแตกต่าง!
ไม่สู้ให้ข้าติงอิงได้ลองเป็นเทพเทวาดูสักครั้ง?!
—–