กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 323.2 ชุดขาวเข้าเมือง ไม่กล้าเคาะประตู
ผู้เฒ่าหัวโล้นคนหนึ่งแบกห่อสัมภาระใบใหญ่เดินขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง ฝีเท้าแผ่วเบาว่องไว ซึ่งก็คือภิกษุอวิ๋นหนีแห่งวัดจินกังที่เพิ่งถอดจีวร
เมื่อเดินผ่านข้างกายของฝานกว่านเอ่อร์ที่นั่งกุมศีรษะอยู่บนพื้น ผู้เฒ่าก็ชำเลืองตามามองด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเทพธิดาสาวแห่งหอจิ้งซินผู้นี้เหตุใดถึงได้ดูเจ็บปวดนัก
แต่เมื่อผู้เฒ่ามองเห็นภาพที่โจวเฝย ‘ใช้มือฉีก’ ชุดกระโปรงสีเขียว ผู้เฒ่าที่ไม่ใช่ภิกษุอีกต่อไปพลันคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล “โจวเฝย!”
โจวเฝยหัวเราะหยัน “เจ้าลาหัวโล้นเฒ่า เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าการที่ปีนั้นกระโปรงตัวนี้ไปหาเจ้าเป็นเพราะความหวังดี? นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในแผนการของนังมารเฒ่าถงชิงชิงเท่านั้น ถูกนางปั่นหัวมาเกินครึ่งชีวิตแล้วยังหลงงมงายไม่เลิกอีกรึ? ชุดกระโปรงคือหนึ่งในสี่สมบัติอาคมอันเป็นโชควาสนา เรื่องนี้ไม่ผิด แต่ข้างในมันคือความว่างเปล่างั้นหรือ? ไม่เลย จิตวิญญาณของถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินแฝงตัวอยู่ในนี้มาตั้งนานแล้ว”
ผู้เฒ่าไม่สะทกสะท้าน เบิกตากว้างคล้ายจินกังถลึงตาในตำหนักใหญ่ของวัด “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?! ตกลงกันแล้วว่าเจ้าต้องพา ‘แม่นางชิงชิง’ ออกไปจากใต้หล้าแห่งนี้ ส่วนข้าก็จะนำอรหันต์ร่างทองมามอบให้เจ้า เจ้าโจวเฝยกล้าผิดคำพูด ข้าก็กล้าฆ่าเจ้า!”
โจวเฝยเหมือนถูกหยอกให้ขบขัน “ลาหัวโล้นอย่างเจ้าเรียกกระโปรงตัวหนึ่งว่าแม่นางชิงชิง นี่หมายความว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าสะอึกอึ้งพูดไม่ออก รู้สึกร้อนตัวไม่น้อย
โจวเฝยชี้ไปยังฝานกว่านเอ่อร์ที่อยู่ห่างไปไกล สายตาฉายแววชื่นชม “ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของถงชิงชิงคนนี้ ซึ่งเป็นว่าที่เจ้าหอจิ้งซินในอนาคต เกรงว่าคงเป็นกายหยาบของเจ๋อเซียนในโลกนี้ของถงชิงชิง! ปีนั้นนางเปลี่ยนจากความชรากลับสู่ความเยาว์วัย มีรูปโฉมเป็นเด็กน้อยไม่ต่างจากอวี๋เจินอี้ จากนั้นก็ละทิ้งขอบเขตและตบะของตัวเองไป ล่องไปตามกระแสแห่งชีวิตอมตะ กลายมาเป็นหญิงสาวอย่างฝานกว่านเอ่อร์ผู้นี้ บวกกับที่หอจิ้งซินช่วยนางปิดบังอำพราง เจ้าและข้า คนใต้หล้า หรือแม้แต่ติงอิงต่างก็ถูกนางปั่นหัว!”
โจวเฝยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แม้แต่ตัวเองก็ยังหลอก ถงชิงชิง เจ้ามันอำมหิตนัก! ช่างเถิดๆ ทุกอย่างนี้ก็เป็นแค่ของนอกกายเท่านั้น”
โจวเฝยสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ปล่อยให้กระโปรงสีเขียวล่องลอยออกไป
ไม่มีกระโปรงสีเขียวก็หมายความว่าหากคิดจะครอบครองอรหันต์ร่างทองก็ได้แต่แย่งชิงมาจากมือของภิกษุอวิ๋นหนีเท่านั้น
ทว่าโจวเฝยลองชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียดูแล้ว เขาก็เลือกที่จะสละโชควาสนาสองอย่างนี้ ต้องการแค่ให้ตัวเองได้ติดในรายชื่อเป็นปรมาจารย์อันดับที่สามเท่านั้น
เพราะนั่นก็ทำให้เขาพายาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารไปได้เช่นกัน!
เมื่ออยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ สำหรับเจ๋อเซียนที่เป็นผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลแล้ว หนึ่งคือเหมือนการทำพิธีกรรมในเปลือกหอย ถูกมัดมือมัดเท้า อีกหนึ่งคือเมื่อไม่มีข้าวสาร ต่อให้เป็นสตรีแต่งงานแล้วที่เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถหุงข้าวออกมาได้ (เปรียบเปรยว่าหากไม่มีเงื่อนไขที่จำเป็น ต่อให้เป็นคนเก่งแค่ไหนก็ยากจะทำได้สำเร็จ)
การปรากฏตัวของเฉินผิงอันผู้นั้นทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดวุ่นวาย ในเมื่อติงอิงยังตายได้ ในใต้หล้าแห่งนี้ยังจะมีใครกล้าพูดอีกว่าตัวเองไม่มีทางตายอีก?
โจวเฝยกังวลว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำมาจะเปล่าประโยชน์ ถึงเวลานั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะถูกคนอื่นฆ่า แม้ว่ามันไม่มีผลต่อการที่เขาจะไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว ทว่าความเสียหายก็ค่อนข้างมากอยู่ดี
ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ในบรรดาสิบคนใต้หล้านี้ มีคนตายไปแค่สองคน หนึ่งหัวหนึ่งหาง ติงอิงและเฝิงชิงป๋าย
ยังเหลืออีกแปดคน นี่หมายความว่ายังต้องมีคนตายอีกห้าคน คำสัญญาในจดหมายลับฉบับนั้นถึงจะเป็นผล
ลู่ฝ่างไม่เสียแรงที่เป็นสหายรักของเจ้าประมุขตระกูลเจียงผู้นี้มาหลายปี เพียงไม่นานเขาก็เข้าใจจุดเชื่อมโยงของเรื่องราวทั้งหมดได้ “วางใจเถอะ อีกหกสิบปีให้หลังมีข้าคอยจับตามองอยู่ โจวซื่อต้องได้เลื่อนสู่สามอันดับแรกแน่นอน”
โจวเฝยเลือกเป็นฝ่ายถอยให้หนึ่งก้าวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แน่นอนว่าภิกษุอวิ๋นหนีย่อมไม่ยินดีและไม่กล้าบีบบังคับคนผู้นี้ เขาจึงติดตาม ‘แม่นางชิงชิง’ ผู้นั้นไปหยุดอยู่ข้างกายฝานกว่านเอ่อร์
นางใช้สองมือนวดคลึงหว่างคิ้วของตัวเองอย่างแรง
จากนั้นโฉมสะคราญงามพิลาสที่อายุยังน้อยผู้นี้ก็ยืดเอวขึ้นตรง ใช้มือสองข้างตบหน้าตัวเองเสียงดังเพี๊ยะๆ
ฝานกว่านเอ่อร์ยื่นสองนิ้วมาคีบคอเสื้อของชุดกระโปรงสีเขียวที่อยู่ตรงหน้า สะบัดสองสามที พอสวมลงบนร่างตัวเองแล้วก็กระชากออก จากนั้นโยนมันไปให้กับภิกษุเฒ่าที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ แม่นางชิงชิงของเจ้ายังอยู่ เจ้าแค่ไปรออยู่ที่ภูเขากู่หนิวเท่านั้น อีกไม่นานนางก็จะกลับคืนมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เดิมทีนางก็เป็นเจ้าของตัวจริงของชุดกระโปรงตัวนี้อยู่แล้ว จิตวิญญาณของข้าก็แค่ยืมพักอาศัยแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น อีกทั้งหลังจากสิงร่างแล้วก็ถูกข้าพันธนาการจนไม่ต่างอะไรไปจากสิ่งของไร้ชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะไม่ถูกติงอิงผู้นั้นจับได้โดยง่าย ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้เจ้าพูดอะไรกับชุดกระโปรงตัวนี้ จะเป็นคำสอน หรือจะเป็นถ้อยคำจากอารมณ์ความรู้สึก ข้าก็ไม่ได้ยินสักคำเดียว”
ภิกษุเฒ่าที่กอดชุดกระโปรงไว้ในอ้อมอกหน้าแดงเล็กน้อย
ฝานกว่านเอ่อร์หรี่ตาจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด ไม่ได้สนใจภิกษุที่เกิดอารมณ์ทางโลกมานานแล้วอีกต่อไป
ความทรงจำค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา ประหนึ่งธารน้ำใสที่ไหลรินเข้าสู่ผืนนาหัวใจ แต่กลับถูกนางจงใจเอาไปวางไว้ในมุมหนึ่งของทะเลสาบหัวใจ ยังไม่ให้ความสนใจมันก่อน
แต่ใช้ตัวตนของ ‘ฝานกว่านเอ่อร์ลูกศิษย์หอจิ้งซิน’ ตัวจริงมาเริ่มทบทวนเรื่องราว
ศิษย์พี่หญิงโจวซูเจินรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ พานางที่อายุยังน้อยกลับสำนักไปด้วยกัน ตอนที่อยู่ในศาลาจิ้งซินอันเป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนัก ฝานกว่านเอ่อร์แค่ได้กราบไหว้รูปภาพนั้นสามครั้งเท่านั้น
นางเคยเป็นคนในใต้หล้าที่อยากพบเจอ ‘ถงชิงชิง’ มากที่สุด ดังนั้นสุดท้ายโจวซูเจินถึงได้มอบกระจกทองแดงบานหนึ่งให้กับนาง
นางเรียนเวทวานรขาวแบกกระบี่ ถูกคนในยุทธภพขนานนามว่า ‘สะพายหรือไม่สะพายกระบี่ คือฝานกว่านเอ่อร์สองคน’
แต่ฝานกว่านเอ่อร์ค้นพบว่ากระบี่สุดท้ายของสุดยอดวิชาแห่งสำนักวิชานี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครในใต้หล้าใช้ได้มาก่อน ทั้งไม่มีกระบี่เช่นนั้น แล้วก็ไม่มีร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นเช่นนั้น ทว่าตอนนั้นโจวซูเจินกลับยังยืนกรานให้นางตั้งใจศึกษาเวทวานรขาวแบกกระบี่นี้ให้ดี
ด้วยเหตุนี้ตอนที่อยู่วัดป๋ายเหอ เจ๋อเซียนเฉินผิงอันถึงได้รู้สึกประหลาดใจว่า เหตุใดทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าฝานกว่านเอ่อร์ ‘เข้าใกล้มหามรรคา’ แล้ว ทว่ากลับเหมือนคนที่แบกภาระหนักอึ้งก้าวเดิน เดินได้อย่างอืดอาดเชื่องช้า นั่นก็เป็นเพราะว่านางขาดจิตวิญญาณไปเกินครึ่ง เหมือนศพเดินได้ศพหนึ่ง จะสามารถปราดเปรียวมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้อย่างไร
ฝานกว่านเอ่อร์เองก็เคยถามรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนตอนอยู่บนสะพานว่า เคยรู้สึกว่าคุ้นเคยกับบุคคลและเรื่องราวมากมายมาก่อนหรือไม่ หลังจากนั้นตอนอยู่ตำหนักรัชทายาท พ่อครัวเฒ่าที่เดิมทีมีตบะเป็นอันดับสามของใต้หล้าก็เคยมองออกถึงความประหลาดในตัวฝานกว่านเอ่อร์ เพียงแต่ว่าตอนนั้นผู้เฒ่าเข้าใจผิดคิดว่านางคือ ‘เจ๋อเซียน’ บางท่านที่กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง ดังนั้นจึงง่ายที่จะถูก ‘ผีสิงร่าง’ บนร่างถึงได้มีลมปราณบางอย่างล้อมวนเวียน
นึกถึงสองครั้งที่นางเป็นฝ่ายไปหาเฉินผิงอันเหมือนถูกผีดลใจ
ฝานกว่านเอ่อร์ก็ยิ้มกว้าง ดีนักนะ มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่ถึงได้มีความสามารถทำให้อาจารย์อาไท่ซ่างยอมรับปากให้เขามาสิงร่างตน? เสี่ยงอันตรายเยื้องกรายมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว ก็เพื่อมาเตือนภัยให้แก่เฉินผิงอันผู้นั้น? น่าเสียดายก็แต่กฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้ยิ่งใหญ่เกินไป คิดจะฉวยโอกาสไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นสองครั้งนั้น ‘ฝานกว่านเอ่อร์’ จึงได้แต่เบิกตามองเขาโดยที่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว เกรงว่าเฉินผิงอันคนนั้นคงนึกว่าตนเป็นหญิงบ้ากระมัง?
‘ฝานกว่านเอ่อร์’ เหยียบอยู่บนซากของกำแพงเมือง โน้มตัวไปด้านข้าง เอาแขนข้างหนึ่งวางไว้บนขา ทอดสายตามองไปไกล รอยยิ้มยิ่งเข้มข้น
ตอนนั้นที่อยู่ในตลาดกลางคืน คนที่นั่งโต๊ะใกล้นางกับเฉินผิงอัน มองดูเหมือนชาวบ้านธรรมดากำลังด่ากัน ทั้งสองฝ่ายตบโต๊ะถลึงตา ด่ากันว่าเป็นหญิงคณิกา เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามครั้ง ไม่อย่างนั้นจะไปเปิดหอโคมเขียวที่บ้านของอีกฝ่ายอะไรนั่น
ความหมายลึกซึ้งที่แท้จริง แน่นอนว่าต้องเป็นคำว่า ‘เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามครั้ง’
แต่คำด่าอื่นๆ นั้นช่างไม่ผ่านการไตร่ตรองเสียเลย แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นคำพูดของเจ้านักพรตน้อยหน้าเหม็นคนนั้น ครั้งนี้หากกลับไปที่ใต้หล้าไพศาลเมื่อไหร่ ต่อให้บุรพาจารย์ไท่ซ่างจะขัดขวางตนก็ต้องถกเถียงกับเจ้าเด็กน้อยที่ขัดหูขัดตามานานผู้นั้นให้รู้ดำรู้แดงสักครั้ง เก้าสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ติงอิงเคยพบกับตนโดยบังเอิญอยู่หลายครั้ง คงไม่ได้เป็นการกระทำโดยพลการของนักพรตน้อย ทว่าคราวนั้นที่ถูกเจ้าสำนักปิงฝูเหมินจับตัวไป นางกล้าแน่ใจเลยว่าต้องเป็นเจ้าตะพาบน้อยจอมอาฆาตผู้นั้นที่เล่นงานตน แม้ว่ามองดูเหมือนจะน่าตกใจ แต่เอาเข้าจริงกลับไร้อันตราย ทว่าพอย้อนกลับมานึกดูก็น่าสะอิดสะเอียนไม่น้อย
อีกทั้งยังมีเรื่องสิงร่างอีก
ที่สำคัญที่สุดก็คือ บุรพาจารย์ไท่ซ่างทำลายกฎของพื้นที่มงคลดอกบัว ซึ่งเป็นการทำลายแผนการทั้งหมดของ ‘ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน’ เช่นกัน สิ่งที่ทุ่มเทมาจึงเสียเปล่า
ก่อนที่ถงชิงชิงจะได้รับกระจกทองแดงและชุดกระโปรงสีเขียว นักพรตน้อยก็ชิงตัดสินรายชื่อสิบคนบนกระดานอย่างรวดเร็ว
หรือจะบอกว่าบุรพาจารย์ไท่ซ่างที่ขี้เหนียวมาทั้งชีวิต ได้เจอกับเศรษฐีร่ำรวย ก็เลยไม่สนใจเงินก้อนนั้นแล้ว? คิดจะทุ่มเงินพาตนออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวโดยตรง?
ในสายตาของฝานกว่านเอ่อร์ หรือควรจะเรียกว่าถงชิงชิง
คนชุดขาวผู้นั้นขยับเข้ามาใกล้ใต้กำแพงเมืองแล้ว
ไม่ถูกสิ หากจะพูดให้ถูกต้อง ตอนนี้นางน่าจะเป็นนักพรตหญิงหวงถิงของภูเขาไท่ผิง ไม่ใช่ฝานกว่านเอ่อร์ที่เป็นหุ่นเชิดซึ่งถูกคนชักนำโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยิ่งไม่ใช่ถงชิงชิงที่กลัวตายผู้นั้น
นางร้องเรียกหนึ่งครั้ง ชูแขนขึ้นสูง ยกนิ้วโป้งออกไปให้เจ้าหมอนั่นที่อยู่นอกเมือง
นักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใบถงทวีปผู้นี้รู้สึกชื่นชมบุรุษที่อายุน้อยกว่าตนเป็นครั้งแรกในชีวิต
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น มองฝานกว่านเอ่อร์ที่เขาไม่คุ้นเคยแถมนางยังทำตัวประหลาด แล้วขมวดคิ้ว
เขาเพียงแค่มองมาทางจ้งชิว คนทั้งสองสบตาแล้วยิ้มให้กัน
ในใจของเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะเป็นยุทธภพแห่งใดก็ควรมีคนอย่างซ่งอวี่เซาและจ้งชิวอยู่ นั่นถึงจะเรียกว่ายุทธภพ
หวงถิงเลิกคิ้ว รอยยิ้มกดลึกมากกว่าเดิม “น่าสนใจ ข้าชอบ!”
เฉินผิงอันที่อยู่นอกเมืองหยุดเดิน
บนหัวกำแพง คนที่เลื่อนสู่อันดับสิบคนแบ่งออกเป็นอวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูซาน เขาสวมกวานดอกบัวสีเงินที่เป็นของติงอิงเอาไว้แล้ว ข้างกายมีกระบี่แก้วเล่มหนึ่งลอยอยู่ เวลานี้หยิบพัดพับไม้ไผ่หยกเล่มหนึ่งออกมา ซี่ไม้ไผ่ทุกซี่บนนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวัน บันทึกสุดยอดวิชาในยุทธภพเอาไว้
จ้งชิวมีสีหน้าปล่อยวาง เขาฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงที่พังภินท์ ไหล่สองข้างลู่ลง ไม่เหมือนราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนในเวลาปกติผู้นั้นอีก
โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์
ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยจิ้นที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบคลึงด้ามมีดเลี่ยนซืออยู่ตลอดเวลา
คนลับมีดหลิวจง
ภิกษุอวิ๋นหนีที่โอบกอดชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนนุ่มไว้ในอ้อมอก
เฉิงหยวนซานที่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ในมุมใดของเมืองหลวง
เฝิงชิงป๋ายจอมยุทธ์พเนจรอันดับสิบตายภายใต้คมมีดเลี่ยนซือของสหายรักอย่างถังเถี่ยอี้ไปแล้ว
มารเฒ่าติงที่อยู่ในอันดับหนึ่งกลับตายด้วยน้ำมือของเจ๋อเซียนที่ชื่อว่าเฉินผิงอัน
นอกจากสิบคนนี้ บนหัวกำแพงยังมีหวงถิงที่พลังอำนาจทั่วทั้งร่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่านางจะไม่อยู่ในสิบอันดับ แต่ตอนนี้เกรงว่าแม้แต่โจวเฝยก็คงยังไม่กล้าท้าทายนาง หลังจากที่จิตวิญญาณผสานเข้ากับกายหยาบ ใบหน้าของนางก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เดิมทีก็งามเลิศล้ำอยู่แล้ว ตอนนี้กลับมีประกายสดใสเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน ยิ่งเป็นโฉมสะคราญงามล่มเมืองมากขึ้น
ลู่ฝ่างแห่งภูเขาเหนี่ยวคั่นเตรียมจะอยู่ต่อในพื้นที่มงคลดอกบัวอีกหกสิบปี ทั้งเพื่อจิตแห่งมรรคาของตัวเอง แล้วก็เพื่อบุตรชายของสหายรัก รับผิดชอบเป็นผู้ปกป้องมรรคาครึ่งตัวให้กับอีกฝ่าย
สิ่งที่โจวซื่อหนุ่มปักบุปผาคิด นอกจากความเสียใจที่ใกล้จะต้องจากลาแล้ว ยังมีความคาดหวังต่ออนาคตที่งดงามในอีกหกสิบปีให้หลังด้วย
ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารใกล้จะถูกโจวเฝยพาไปจากใต้หล้าแห่งนี้ การตายของติงอิง นางก็คือคนที่หมดอาลัยตายอยากมากที่สุด
เวลานี้เมื่อทุกคนมองเห็นเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นั้นหยุดยืนอยู่บนทางหลวงนอกเมือง
สายตาของอวี๋เจินอี้มืดทะมึน มองไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ จากบนใบหน้า
จ้งชิวยิ้มอย่างเข้าใจ คนที่สังหารมารเฒ่าติงได้ก็ควรต้องเผด็จการเช่นนี้! เหมือนเฉินผิงอันกำลังพูดว่าพวกเจ้าต่างก็เห็นว่า การต่อสู้กับติงอิง ข้าเฉินผิงอันได้รับบาดเจ็บ ใครคิดจะปล้นสะดมตอนไฟไหม้ก็ลงจากกำแพงเมืองมา พวกเราจะได้สู้กันให้รู้เป็นรู้ตาย
หลิวจงคนลับมีดถอดหายใจ นั่งหลังพิงกำแพงด้วยความกลัดกลุ้ม ได้เห็นศึกใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ผีร้องไห้เทพหลั่งน้ำตาบนภูเขากู่หนิวแล้ว เขาไม่มีอารมณ์มาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้อีกจริงๆ เพราะรู้สึกว่าไม่มีความหมาย หากครั้งนี้ยังมีโอกาสได้เดินลงจากหัวกำแพงเมือง กลับไปยังร้านตรงสะพานเคอเจี่ยได้อย่างปลอดภัย วันหน้าก็คงทำตัวเป็นเศรษฐีของตัวเองไปให้ดี อย่างมากสุดก็แค่เลือกลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เข้าตาสักสองคนมาสืบทอดวิชาของเขา
ในดวงตาของถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งหลงอู่มีประกายความเดือดดาลเสี้ยวหนึ่งวาบผ่านไป เพียงแต่ว่าลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็หลับตาทำสมาธิ เมื่อตาไม่เห็น ใจจะได้ไม่ต้องหงุดหงิด
สุดท้ายเฉินผิงอันจึงเดินผ่านประตูเมืองมาตรงๆ เช่นนี้ แล้วค่อยๆ จากไปไกล
อวี๋เจินอี้ลอยตัวขึ้น เหยียบบนกระบี่บินแก้ว เตรียมจะไปที่ภูเขากู่หนิว
ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นที่กรูมารวมตัวกันจากสถานที่ต่างๆ ในใต้หล้าเริ่มไหลหายไปรอบด้าน เขาอวี๋เจินอี้คือผู้ฝึกตน ไหนเลยจะยอมพลาดโอกาสที่พันปียากจะพานพบสักครั้งนี้ไป
ปราณวิญญาณไม่เหมือนกับโชคชะตาบู๊แห่งใต้หล้าที่ล่องลอยเป็นภาพมายา มันไม่เลือกคน ขอแค่มีความสามารถ ไม่ว่าใครก็โอบมากอดไว้ในอ้อมอกได้
—–