กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 325.1 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
ปลายนิ้วสองข้างของนักพรตเฒ่าคีบเงินหิมะน้อยเหรียญหนึ่ง มันค่อยๆ หลอมละลายอยู่บนปลายนิ้วของเขาทีละนิด
เขาก้าวหนึ่งก้าวก็ออกจากเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน มาถึงซากของภูเขากู่หนิวอย่างเงียบเชียบ ต่อให้เป็นอวี๋เจินอี้ที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมาของเขา
นอกกระท่อมที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย อวี๋เจินอี้ยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่ใต้แสงจันทร์ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนและยอดฝีมือจากพรรคหูซานล้วนถูกเขาสั่งให้กลับสำนักไป ช่วงนี้ห้ามไม่ให้ใครปรากฏตัวอีกเด็ดขาด
ผู้นำฝ่ายธรรมะในใต้หล้าที่หน้าตาเป็นเด็กน้อยผู้นี้ เวลานี้สวมกวานดอกบัวสีเงินไว้บนศีรษะ นี่คือหนึ่งในสัญญาระหว่างคนทั้งสอง หลังจบเรื่อง ติงอิงต้องมอบกวานเต๋าชิ้นนี้ให้เขา กวานเต๋ามีชื่อว่า ‘โกวเฉิน’ (การสำรวจหลักการเหตุผลที่ลึกล้ำ หรือหมายถึงเนื้อหาที่สูญหายไป) คือสมบัติอาคมที่มหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่มีคำว่าหนึ่งใน นอกจากสามารถปกป้องเรือนกายและจิตวิญญาณของคนที่สวมกวานไว้บนศีรษะได้แล้ว ยังสามารถหล่อหลอมเรือนกาย ปรับสภาพจิตใจให้สงบ อีกข้อหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ กวานเต๋าชิ้นนี้สามารถช่วยตามหาเจ๋อเซียนที่ซ่อนตัวอยู่รอบด้านได้
เดิมทีอวี๋เจินอี้ก็พอจะรู้วิชามองภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือของเซียนอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขากู่หนิวแล้วมองมาทางเมืองหลวง พวกติงอิง เฉินผิงอันและลู่ฝ่าง ในสายตาของเขาจะเห็นเป็น ‘ดวงไฟ’ ที่เจิดจ้าสะดุดตามากที่สุด ตอนนี้มีกวานเต๋าชิ้นนี้ก็ยิ่งเหมือนพยัคฆ์ติดปีก อวี๋เจินอี้มีความมั่นใจถึงเก้าส่วนว่า ขอแค่ตนหลุดออกจากวงล้อมในครั้งนี้ไปได้สำเร็จ วันหน้าเจ๋อเซียนทุกคนที่อยู่ใต้หล้าก็ยากที่จะกระดิกตัว
ข้างกายอวี๋เจินอี้คือกระบี่แก้วที่ลอยตัวอยู่
ในชายแขนเสื้อยังมีอาวุธหนักตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งที่เพิ่งได้มาครอบครอง
นักพรตน้อยที่แบกน้ำเต้าสีทองอร่ามลูกใหญ่ยักษ์ไว้บนหลังคนนั้นไม่ได้ผิดคำพูดจริงๆ คนที่ไม่เต็มใจบินทะยาน เลือกที่จะเดินลงมาจากหัวกำแพงเมืองล้วนได้สมบัติอาคมหนึ่งชิ้น และอวี๋เจินอี้ก็เจอตำราหยกเล่มหนึ่งจากซากภูเขากู่หนิ่วที่พังราบเป็นหน้ากลอง มันคือ ‘อักษรบอกกล่าวแก่สวรรค์’ ที่ฮ่องเต้ในยุคโบราณใช้เวลาทำพิธีบวงสรวง เพียงแต่ว่าตัวอักษรค่อนข้างจะแปลกประหลาด ไม่เคยมีบันทึกไว้ในสี่แคว้น อวี๋เจินอี้รู้ดีว่าคำตอบคงอยู่ในหอจิ้งหย่างหรือไม่ก็ในหอจิ้งซิน สถานที่สองแห่งนี้เข้าใจเจ๋อเซียนที่อยู่ฟ้านอกฟ้ามากที่สุดแล้ว
สำหรับการตายของติงอิง อวี๋เจินอี้ไม่ได้รู้สึกอะไร ยิ่งไม่มีความเสียใจ อย่างมากสุดก็แค่โมโหกับการทุ่มเทกำลังไปอย่างเสียเปล่าของติงอิง เป็นเหตุให้แผนการมากมายของเขาและพรรคหูซานล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปด้วย
เจ้างัดข้อกับสวรรค์ ข้าควบคุมโลกมนุษย์
นี่ก็คือข้อตกลงระหว่างติงอิงและอวี๋เจินอี้ ต่างส่งเสริมชดเชยมหามรรคาให้แก่กันและกัน ดังนั้นหนึ่งผู้นำของฝ่ายธรรมะและหนึ่งผู้นำของฝ่ายอธรรม ปรมาจารย์ใหญ่สองท่านที่มีโอกาสว่าจะต่อสู้กันเอาเป็นเอาตายมากที่สุดจึงได้ตกลงเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ จัดวางแผนการไว้ที่หนันเยวี่ยน ความต่างของคนทั้งสองนั้นอยู่ที่ ติงอิงต้องการสังหารทุกคนบนอันดับรายชื่อเว้นจากพวกเขา ส่วนอวี๋เจินอี้กลับหมายหัวแค่พวกเจ๋อเซียนอย่างโจวเฝย ถงชิงชิง เฝิงชิงป๋าย แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันที่ปรากฏตัวเป็นคนสุดท้ายด้วย
อวี๋เจินอี้เริ่มสาวเท้าเดินเล่นอยู่ใต้แสงจันทร์ ไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือหายใจออกก็ล้วนเป็นการฝึกตน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ตอนนั้นอวี๋เจินอี้มีความเด็ดเดี่ยวมากพอจะละทิ้งตบะวิถีวรยุทธ์ขั้นสูงสุดของตัวเอง
เรื่องการฝึกตน อันดับแรกต้องให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจ นี่ต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพที่อวี๋เจินอี้ใฝ่ฝันอยากจะเห็น ขอบเขตของวิถีวรยุทธ์ต่ำเกินไป ชั่วชีวิตนี้ก็คงได้แต่คลุกดินคลุกโคลน เทียบกับพวกคนมุทะลุดุดันในวรยุทธ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พวกคนอย่างเฉิงหยวนซานโลภมากไม่รู้จักพอ อยากจะให้ทุกสิ่งที่ตามองเห็นเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของตัวเองทั้งหมด พวกคนอย่างถังเถี่ยอี้โลภในอำนาจบนสนามรบ วาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ครอบครองทั้งแผ่นดินและหญิงงาม ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อตายไปแล้วยังทิ้งชื่อเสียงที่ดีงามเอาไว้ในประวัติศาสตร์ แต่กลับไม่รู้เลยว่าหากไม่เป็นอมตะ ทุกอย่างที่วาดฝันก็เป็นแค่ภาพมายา พวกคนอย่างหลิวจงก็เอาแต่มุ่งไปในด้านการใช้กำลังเท่านั้น ยิ่งไม่มีค่าพอให้พูดถึง
น่าเสียดายก็แต่จ้งชิว
สหายที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาในอดีตคนนี้กลับขังตัวเองไว้ในสถานที่แห่งเดียว
ทิศทางที่อวี๋เจินอี้ก้าวเดินไปเป็นไปตามใจปรารถนา ก้าวย่างเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ตอนเป็นเด็กก้าวเดินไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ตอนโตมาหนึ่งก้าวพุ่งไกลหลายสิบจั้ง แต่กลับไม่เคยเดินออกจากทิศทางใดทิศทางหนึ่งไกลเกินไป บางครั้งก็เดินเลียบไปตามวิถีโคจรขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น
ภาพนี้ทำให้พวกแม่ทัพฝ่ายบู๊ผู้มีคุณูปการของแคว้นหนันเยวี่ยนซึ่งพาทหารมาเฝ้าอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ รู้สึกอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าตัวเองจะดวงซวย อวี๋เจินอี้เลือกฝ่าวงล้อมจากตำแหน่งของตนพอดี เมืองหลวงอยู่ใกล้แค่นี้ หันหน้าไปก็มองเห็น นี่หมายความว่าฮ่องเต้มองเห็นความเคลื่อนไหวของที่แห่งนี้ทั้งหมด หากอวี๋เจินอี้ตัดสินใจว่าจะฝ่าวงล้อมออกไปในคืนนี้ ใครจะกล้าทำตัวขี้ขลาดหลบเลี่ยงการรบ?
ไม่มีใครรู้สึกว่าการระดมกำลังทหารกล้าเกือบหมื่นนายของเมืองหลวงหนันเยวี่ยนมาล้อมโจมตี ‘เด็กน้อย’ คนหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ
ใครจะจินตนาการได้ว่าศึกของปรมาจารย์สองคนก็สามารถทำให้ภูเขากู่หนิวทั้งลูกหายไป เรือนกายของพวกเขามีเลือดมีเนื้อ เพียงแค่เชี่ยวชาญในกลยุทธ์การรบเท่านั้น หากตายท่ามกลางสงครามบนสนามรบ พวกเขาอาจจะไม่รู้สึกเสียใจ แต่หากต้องตายภายใต้การดีดนิ้วครั้งเดียว หรือภายใต้การโบกชายแขนเสื้อครั้งเดียวของเทพเซียนเหล่านี้เล่า? บางทียังไม่ทันได้เห็นเงาร่างของอีกฝ่าย พวกเขาก็อาจตายไปแล้ว เหลือไว้เพียงโครงกระดูกกองโต มารดามันเถอะ แบบนี้มันหมายความว่าไง?!
อวี๋เจินอี้ไม่ได้สนใจความคิดของพวกทหารแคว้นหนันเยวี่ยนจริงๆ
ตอนนี้บุคคลที่เขาเก็บมาใส่ใจอย่างแท้จริงมีแค่สองคน ‘ถงชิงชิง’ ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยลงมือมาก่อน ตอนที่อยู่บนหัวกำแพง เมื่อนางดึงกระบี่เล่มนั้นออกจากมาผิวกระจกที่ปริแตก ขนาดอวี๋เจินอี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงอันตรายเสี้ยวหนึ่ง
บุคคลที่ทำให้อวี๋เจินอี้รู้สึกหวั่นเกรงยิ่งกว่านาง แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันที่สังหารมารเฒ่าติงไปซึ่งๆ หน้า
อวี๋เจินอี้ไม่กลัวการโอบล้อมอย่างแน่นหนาของกองทัพใหญ่ ถึงขั้นไม่กลัวการไล่ฆ่าจากถงชิงชิง
มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้นที่อวี๋เจินอี้ไม่กล้าประมาท
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงไม่ขัดขวางการดึงดูดปราณวิญญาณของตน ปล่อยให้ขอบเขตของตนไต่ทะยานขึ้นอย่างมั่นคง อวี๋เจินอี้คิดเป็นร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ
หรือว่าเมื่อผ่านการต่อสู้กับติงอิง เฉินผิงอันได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นเพียงหมอนปักลายบุปผาแล้ว?
ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันหยุดยืนก่อนเดินเข้าเมือง แท้จริงแล้วเป็นแค่การแสร้งข่มขู่เพื่อตบตาทุกคนบนหัวกำแพงเท่านั้น?
อวี๋เจินอี้หยุดเดิน มองไปทางเมืองหลวง มองเค้าโครงของเมืองใหญ่ภายใต้แสงจันทร์ สุดท้ายเขาก็เลือกล้มเลิกความคิดหยั่งเชิงไป หากเฉินผิงอันร่วมมือกับหอจิ้งซินและจ้งชิว นั่นต่างหากถึงจะเป็นหายนะที่แท้จริง ถึงเวลานั้นด้วยสันดานหญ้าบนยอดกำแพง (เหมือนสุภาษิตไทยว่านกสองหัว) ของถังเถี่ยอี้และเฉิงหยวนซาน จะต้องขับเรือตามลม หันไปเข้าพวกกับแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างแน่นอน
อวี๋เจินอี้กลับไปที่กระท่อม ยื่นมือออกมา ฝ่ามือลูบผ่านตัวกระบี่บินแก้วไปเบาๆ
ตอนนี้เขาสามารถทำตัวเหมือนเซียนที่ขี่กระบี่ทะยานไปไกลได้แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับอิสระเสรีที่แท้จริงซึ่งบันทึกไว้ในตำรา กลับยังห่างชั้นอยู่มาก ไม่สามารถบินได้สูงนัก แล้วก็ไม่สามารถบังคับลมบินไปไกลเกิน ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
อวี๋เจินอี้กวาดตามองด้านบน มองดวงจันทร์บนฟ้า สักวันหนึ่งตนจะสามารถขี่กระบี่อยู่เหนือศีรษะคนบนโลก ก้มหน้าลงมองภูเขาและแม่น้ำ ผู้ที่อยู่สูงกว่าข้ามีเพียงตะวันจันทราและดวงดาวเท่านั้น
อวี๋เจินอี้พลันหลุบตาลงต่ำ บนหัวกำแพงแตกพังที่ยังซ่อมไม่เสร็จเรียบร้อยแห่งนั้น มองไม่เห็นโฉมหน้าของคนที่มาเยือนอย่างชัดเจน แต่ในสายตาของอวี๋เจินอี้กลับเห็นเป็นประกายแสงส่องสว่างกลุ่มหนึ่งที่ขัดตาเป็นพิเศษ
อวี๋เจินอี้หัวเราะหยัน “มาแล้วรึ?”
บนหัวกำแพงเมือง นักพรตหญิงอายุน้อยคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนป้อมยิงธนู มือข้างหนึ่งถือหม้อดินที่ยังมีไอร้อนลอยกรุ่น กลิ่นหอมตลบอบอวล มืออีกข้างจ้วงตะเกียบรวดเร็วราวกับบิน กินไปพลางพูดไปด้วย “โอ้มารดาข้า เจ้านี่มันอร่อยจริงๆ แค่เผ็ดไปหน่อยเท่านั้น ไม่ได้ๆ คราวหน้าจะกินทีเดียวสองชามไม่ได้แล้ว”
ประตูเมืองด้านล่างมีทหารม้าหลายนายควบม้าห้อทะยานออกมาเพื่อส่งข่าวทางการทหารซึ่งเป็นพระราชโองการฉบับหนึ่งที่ฮ่องเต้ทรงออกด้วยตัวเอง
กองทหารรักษาพระองค์และทหารรักษาการณ์ประจำเมืองหลวงสามกอง นอกจากกองทัพใหญ่ที่รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ประตูเมืองทางทิศใต้แล้ว กองอื่นที่กระจายตัวกันอยู่ตามจุดต่างๆ ล้วนถอยไปด้านหลังยี่สิบลี้
คล้ายเว้นพื้นที่ว่างไว้ให้ใครบางคน
ใครที่ว่านั้นก็คืออวี๋เจินอี้และนักพรตหญิงหน้าตางามเลิศล้ำบนหัวกำแพงเมืองผู้นี้
หวงถิงก้มหน้าก้มตาสวาปาม บางครั้งเงยหน้ามองไปทางภูเขากู่หนิว หากอวี๋เจินอี้เผ่นหนีไปเวลานี้ นางคงจนปัญญาที่จะไล่ตามไปได้ทัน
วางหม้อดินใบนั้นไว้ข้างกาย วางตะเกียบคู่หนึ่งไว้บนหม้อดินเบาๆ หวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงลุกขึ้นยืน ตบท้อง พูดอย่างคนเสียใจภายหลังว่า “กินอาหารมื้อดึกเยอะเกินไปแล้ว แบบนี้น้ำหนักจะไม่ขึ้นมาอีกสองจินหรือ เฮ้อ ฝานกว่านเอ่อร์ ถ้วยข้าว? อย่างเจ้าน่ะต้องเรียกว่าถังข้าวถึงจะถูก…” (เปรียบเปรยถึงคนที่กินจุ ภายหลังยังมีอีกความหมาย หมายถึงคนที่ไม่มีความสามารถ)
รอจนกองทหารของหนันเยวี่ยนที่ติดอาวุธพรั่งพร้อมทั้งสามกองเริ่มเคลื่อนย้ายจุดปักหลัก
สายตาของนักพรตหญิงหวงถิงที่ฉายประกายคมปลาบก็จ้องมองไปทางอวี๋เจินอี้ นางเช็ดปาก พูดเบาๆ ว่า “คาดว่าหลังจบศึกครั้งนี้คงกลับมาผอมได้อีกครั้ง”
……
เฉินผิงอันที่นอนหลับอยู่บนหลังคาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงดังสนั่นจากนอกเมือง ทอดสายตามองไกลไปทางทิศใต้ก็เห็นว่ามีประกายแสงกระบี่สองเส้นตัดสลับกัน สาดสะท้อนแสงเจิดจ้า
คือกระบี่บินแก้วของอวี๋เจินอี้กับกระบี่ที่เอาออกมาจากในกระจกของหวงถิง
เฉินผิงอันไม่ได้กลับที่พักไปเอาปราณยาว แต่หยิบหนึ่งกระบี่หนึ่งดาบออกมาจากกระบี่บินสืออู่ เอามาแขวนไว้ข้างเอวซ้ายขวา นั่นคือกระบี่ยาวชือซินซึ่งเคยเป็นของโต้วจื่อจือ และดาบแคบหยุดหิมะที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นของป้อมอินทรีบิน
จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไป เงาร่างประหนึ่งก้อนเมฆที่ล่องลอย
จ้งชิวมายืนอยู่บนหัวกำแพงนานแล้ว เฉินผิงอันจึงมาหยุดยืนอยู่ข้างกายราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้
เฉินผิงอันถาม “ตีกันแล้วหรือ?”
จ้งชิวพยักหน้ารับ “เดิมทีหวงถิงคือผู้ฝึกตนเหมือนที่บ้านเกิดเจ้า จึงมีสัมผัสที่เฉียบไวต่อปราณวิญญาณเหนือกว่าพวกเราหลายเท่า”
เฉินผิงอันกล่าว “นางรู้สึกว่าหากปล่อยให้อวี๋เจินอี้ดึงปราณวิญญาณมาเหมือนปลาวาฬสูบน้ำแล้วจะสู้เขาไม่ได้?”
จ้งชิวกล่าวอย่างจนใจ “เปล่าเลย หากเป็นเช่นนั้นหวงถิงคงลงมือตั้งนานแล้ว ตามคำบอกของนางคือจงใจรอให้อวี๋เจินอี้กินอิ่มเสียก่อน นางค่อยลงมือ เวลาอวี๋เจินอี้แพ้จะได้ไม่มีข้ออ้าง”
เฉินผิงอันไม่อาจเข้าใจความคิดของนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงคนนี้ได้เลย การเข่นฆ่าที่ตัดสินเป็นตาย เรื่องที่ต้องละเอียดรอบคอบและคิดเล็กคิดน้อยให้เยอะ ทำไมพอไปอยู่กับนางถึงกลายเป็นเหมือนการละเล่นของเด็กได้ขนาดนี้
เฉินผิงอันนึกย้อนกลับมามองตัวเอง ศึกบนถนนใหญ่ นับตั้งแต่หม่าเซวียน สตรีอุ้มผีผา ใบหน้ายิ้ม นอกจากที่ต้องคอยหยั่งเชิงความตื้นลึกหนาบางของใต้หล้าแห่งนี้อยู่ตลอดเวลาแล้ว เขายังต้องคอยอำพรางฝีมือที่แท้จริงครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นค่อยวางแผนเล่นงานลู่ฝ่างแห่งภูเขาเหนี่ยวคั่น สุดท้ายเป็นจ้งชิวกับติงอิง มีก้าวไหนบ้างที่ไม่เดินอย่างระมัดระวัง มีหมัดไหนบ้างที่ไม่ปล่อยออกไปอย่างหนักแน่นมั่นคง
แม้จะไม่เข้าใจความคิดของนางนัก แต่ในหัวใจของเฉินผิงอันกลับรู้สึกเลื่อมใสและอิจฉาหวงถิงผู้นี้ ท่องอยู่ในยุทธภพ คนที่ทำอะไรก็ตามโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์และความเป็นความตาย ก็ดูเหมือนว่าควรจะ…ไม่กลัวตายเช่นนี้
เฉินผิงอันพูดกับจ้งชิวเกี่ยวกับเรื่องตำราการสร้างสะพาน จ้งชิวยิ้มรับปากว่าจะช่วยหามาให้เขา
จากนั้นก็พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสตรีอุ้มผีผาและบัณฑิตยากจนสกุลเจี่ยงผู้นั้น
สำหรับราชครูของแคว้นหนึ่งแล้ว การตามหาบัณฑิตที่อยู่ในเมืองหลวงซึ่งมาร่วมสอบเคอจวี่เป็นเรื่องเล็กเช่นกัน แต่จ้งชิวไม่ได้ตอบรับทันที แต่ถามหนึ่งคำว่า “เจ้าแน่ใจว่าจะไปพบบัณฑิตคนนั้น?”
เฉินผิงอันตอบ “พบหรือไม่พบ ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
จ้งชิวถึงได้พยักหน้าตอบรับ
—–