กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 326.1 ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม
เฉินผิงอันเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้จริง เขาแสร้งทำเป็นแกล้งโง่เหมือนแม่ทัพเฒ่าลวี่เซียว ทำเป็นไม่ได้ยินน้ำเสียงเหน็บแนมในคำพูดของนักพรตเฒ่า รอจนเฉินผิงอันดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งอึก ในลานบ้านก็ไม่เห็นเงาของนักพรตเฒ่าอีก
นักพรตเฒ่ามักจะชอบปรากฎตัวและหายตัวไปอย่างลึกลับเสมอ เฉินผิงอันเองก็จนใจมากเหมือนกัน
ฟ้าเริ่มสว่างน้อยๆ เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่นั่งพิงประตูห้องครัวตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าคนมีเงินที่สวมชุดขาวผู้นั้นกำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน เขาหลับตาเหมือนคนตาบอด ฝ่ามือข้างหนึ่งแบออก หงายฝ่ามือขึ้นด้านบน วางไว้ประมาณหน้าท้อง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าอก เท้าที่ก้าวเดินออกไปไม่ยาวนัก อีกทั้งยังเดินช้ามาก
คล้ายกำลังลังเลว่าควรจะใช้หมัดต่อยไปที่หัวใจดีหรือไม่ นางรอคอยอย่างเบื่อหน่าย รู้สึกว่าเขาน่าจะปล่อยหมัดต่อยไปจริงๆ
หากไอ้หมอนี่ตาบอดจริงๆ ก็ดีน่ะสิ แล้วหากต่อยหมัดทะลุหน้าอกตัวเองดังกร๊อบก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
พอคิดมาถึงตรงนี้ เด็กหญิงร่างผอมแห้งก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา แต่กลัวว่าเขาจะมองออกจึงรีบตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นหาว
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น หยุดทำท่าประหลาดนั้น นั่นคือท่าที่เขาเลียนแบบมาจากติงอิง การที่วันนี้ลองทำตามก็เพราะรู้สึกว่าวิชาสายฟ้าของนักพรตเฒ่าตาบอดที่พาลูกศิษย์สองคนมาเจอกับผีสาวสวมชุดแต่งงานจำเป็นต้องใช้หมัดทุบตีลงบนช่องโพรงแรงๆ
ซึ่งค่อนข้างคล้ายคลึงกับติงอิง
เฉินผิงอันไม่ได้มองไปยังเด็กหญิง แล้วก็ไม่ได้หยุดเดิน เขายังคงเอาปณิธานหมัดของทั้งร่างจ่อมจมอยู่ในท่าหมัดใหญ่ขั้นสูงสุดที่จ้งชิวบรรลุมา แต่พูดว่า “เจ้าไปดูที่โรงเรียนของเฉาฉิงหล่างสิว่าเปิดหรือยัง หากอาจารย์ยังไม่กลับมาสอนก็ถามพวกเพื่อนบ้านแถวนั้นว่าเมื่อไหร่ถึงจะเปิดเรียน”
เด็กหญิงถามต่อรอง “กินข้าวเช้าก่อนค่อยไปได้ไหม ข้าหิว เดินไม่ไหวหรอก”
เฉินผิงอันพูดเสียงเรียบ “หลังกลับมา เติมน้ำใส่ถังน้ำในห้องครัวให้เต็มก็จะมีข้าวกิน”
เด็กหญิงจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันนิ่ง อีกฝ่ายดูไม่เหมือนล้อเล่นจึงร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วแสร้งลุกขึ้นยืนโงนเงน เดินแนบติดผนังอ้อมผ่านเฉินผิงอันไป จนกระทั่งเดินออกจากบ้านและออกจากตรอกแล้วก็ไปนั่งยองอยู่ตรงหัวเลี้ยว นั่งอยู่นานถึงได้วิ่งตะบึงกลับไปที่หน้าประตูบ้าน หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดซึม นางก้มตัวลง เอาสองมือเท้าเอว หอบหายใจเสียงดังพลางพูดกับเจ้าคนที่ยังเดินอยู่ในบ้านว่า “โรงเรียนยังไม่เปิดเลย ข้าถามท่านป้าคนหนึ่ง นางบอกว่าอาจารย์ตกใจกลัวเรื่องที่มีคนทะเลาะกันก่อนหน้านี้ ช่วงนี้จึงยังไม่เปิดสอน”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา เพียงชี้นิ้วไปที่ห้องครัว
เด็กหญิงหน้าม่อย เดินไปที่ห้องครัว หิ้วถังน้ำใบเล็กที่สุดขึ้นมา โชคดีที่ในอ่างน้ำยังมีน้ำอยู่อีกเกินครึ่ง หากในอ่างว่างเปล่า นางคงไม่มีทางเต็มใจทำ หลังออกจากบ้านไปต้องโยนถังน้ำทิ้งแล้วเผ่นหนีแน่นอน ตอนที่นางเดินมาถึงหน้าประตูได้ยินเสียงท่องหนังสือของเฉาฉิงหล่าง นางที่หันหลังให้ประตูบ้านกลอกตามองบน แยกเขี้ยว สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
ตักน้ำทำให้คนเหนื่อยตายได้จริงๆ
ตอนที่ใช้มือทั้งสองข้างหิ้วถังน้ำกลับมาบ้าน นางยังคงเดินแนบกำแพงอ้อมผ่านคนผู้นั้น แล้ววิ่งพรวดเข้าไปในห้องครัว ตอนตักน้ำมาจากบ่อ นางก็ตักมาไม่ถึงครึ่งถัง ระหว่างที่เดินมาเพราะไม่อยากเหนื่อยจึงทำหกไปไม่น้อย อันที่จริงรอจนนางกลับมาถึงบ้าน น้ำก้นถังก็เหลือความสูงแค่ประมาณชุ่นกว่าเท่านั้น นางหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นคนผู้นั้นจึงรีบยกถังน้ำจ้วงวักน้ำในอ่างไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็กระชากถังขึ้นมาแล้วเทน้ำลงไปในอ่างดังพรวด
ทั้งหมดนี้ก็เหมือนการมองแสงไฟในถ้ำ (เปรียบเปรยว่าเห็นอย่างชัดเจน) สำหรับเฉินผิงอัน เขาก็แค่ไม่ได้เปิดโปงนางต่อหน้าเท่านั้น
ยอมสิ้นเปลืองความคิดเพื่อแอบขี้เกียจ แต่กลับไม่ยอมออกแรงแม้แต่นิดอย่างนั้นหรือ?
เฉาฉิงหล่างท่องบทเรียนของตำราชั้นประถมไปแล้วหลายบทจึงเริ่มไปทำอาหารที่ห้องครัว เฉินผิงอันบอกว่าวันนี้เขาอาจจะกลับมาดึก เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันออกไปจากตรอก เดินผ่านบ้านหลังที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวนซึ่งก่อนหน้านี้ติงอิงและยาเอ๋อร์มาพักอาศัย ในบ้านเต็มไปความอึมครึม เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งร้างแล้ว ควันธูปของวัดซินเซียงยิ่งนานก็ยิ่งเบาบาง ทว่าการฝึกซ้อมตอนเช้าของศูนย์วรยุทธ์แห่งนั้นกลับครึกครื้นยิ่งกว่าเก่า เสียงตะโกนดังขึ้นๆ ลงๆ โดยเฉพาะเสียงตะเบ็งจากอาจารย์ผู้เฒ่าก็ยิ่งดังเป็นพิเศษ คิดดูแล้วคงเป็นเพราะศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ที่ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว รู้สึกโลกไม่สงบสุข แต่กลับทำให้พวกคนในยุทธภพเกิดความเลื่อมใสฝันใฝ่หา หากไม่มีคลื่นลมมรสุมซะบ้าง จะเรียกว่ายุทธภพได้อย่างไร?
ครั้งนี้เฉินผิงอันออกจากบ้านโดยสวมชุดคลุมยาวสีเขียวตัวใหม่เอี่ยม ไม่ได้สวมชุดจินหลี่ หนึ่งเพราะคนจิ๋วดอกบัวยังไม่หายดี ยังจำเป็นต้องใช้ชุดคลุมอาคมที่เป็นเหมือนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลขนาดเล็ก สองเพราะเฉินผิงอันไม่อยากทำตัวโดดเด่นเกินไปนัก แม้แต่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เขาก็ยังเก็บไว้ในห้อง ให้ชูอีกับสืออู่คอยปกป้องคนจิ๋วดอกบัวที่กำลังรักษาตัว เพียงแต่ว่าตรงเอวห้อยกระบี่ยาวชือซินและดาบแคบหยุดหิมะ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมองดูเหมือนจอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพที่ชอบรำดาบใช้ทวนเท่านั้น
เฉินผิงอันไปหาจ้งชิว เพราะต้องการรบกวนราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนอีกหนึ่งเรื่อง
แม้ว่าหนังสือกองใหญ่ที่เด็กหญิงขโมยไปจากในห้องจะเป็นหนังสือธรรมดาทั่วไป เพราะหนังสือเทพเซียนสองเล่มที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวล้วนถูกเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น แต่เฉินผิงอันก็ยังอยากได้พวกมันกลับคืนมา เพราะบนหน้าปกในของหนังสือทุกเล่ม เฉินผิงอันล้วนเขียนตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กระบุไว้ว่าแต่ละเล่มซื้อมาจากที่ไหน และซื้อมาเมื่อไหร่ ตำราที่เก็บรวบรวมมาจากทั่วทิศเหล่านี้ สำหรับเฉินผิงอันแล้วถือว่ามีความหมายที่แตกต่างออกไป
ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำกล่าวว่า ‘ในตำราซ่อนไว้ซึ่งบ้านเรือนทอง ในหนังสือซ่อนไว้ซึ่งอนงค์น้อง’ ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ
คนทั้งโลกล้วนรู้ดีว่าจ้งชิวอาศัยอยู่ใกล้กับวังหลวง แต่ตำแหน่งที่แน่ชัดอยู่ตรงไหน กลับมีคนน้อยมากที่รู้ ยังดีที่ตอนนี้เฉินผิงอันมีชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นหนันเยวี่ยน เพียงไม่นานก็มียอดฝีมือซึ่งถูกราชสำนักแคว้นหนันเยวี่ยนรับสมัครมาปรากฏตัว นำพาเฉินผิงอันไปยังที่พักของจ้งชิวอย่างนอบน้อม นั่นเป็นเรือนพักที่เงียบสงบแห่งหนึ่งท่ามกลางฉงเสียนฟางที่วุ่นวาย ฉงเสียนฟางนั้นอยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์อย่างแท้จริง ผู้ที่พักอาศัยในย่านนี้ล้วนเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและสูงศักดิ์ ตรอกเล็กตรอกใหญ่ล้วนมีร่มเงาต้นไม้เย็นฉ่ำ ท่ามกลางความเงียบสงบเผยให้เห็นถึงบรรยากาศอันสง่างามและกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด เมื่อเทียบกับตรอกจ้วงหยวนที่จอแจ มีแต่เสียงหมาเห่า เสียงไก่ขันแล้วก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หน้าเรือนไม่มีกรอบป้ายแขวนไว้ เมื่ออยู่ในแถบฉงเสียนฟาง เรือนแห่งนี้ไม่ถือว่าใหญ่นัก เป็นแค่เรือนสามชั้นเท่านั้น
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณยอดฝีมือที่รับผิดชอบนำทางผู้นั้นแล้วเดินเข้าไปในเรือนเพียงลำพัง เฉินผิงอันค้นพบว่าด้านในไม่ถือว่าเงียบสงบนัก มีคนหนุ่มมากมายกำลังยุ่งวุ่นวาย ทุกคนสวมชุดขุนนาง เพียงแต่ว่าหากดูจากลายปักตรงหน้าอกบนชุดขุนนางของแคว้นหนันเยวี่ยนแล้วไม่นับว่าระดับขั้นสูงมากนัก แค่เป็นขุนนางระดับล่างสุดเท่านั้น แต่ละห้องล้วนเต็มไปด้วยผู้คน คนหนุ่มเหล่านั้นในมือถือหนังสือเอกสาร พากันเดินเข้าเดินออกประตู คนส่วนใหญ่ฝีเท้าเร่งร้อน บางครั้งก็มีคนที่เดินเคียงไหล่กันมาพลางพูดคุยกันไปด้วย พอเห็นเฉินผิงอันที่พกกระบี่ พวกเขาก็แค่ชำเลืองตามองมาสองครั้งแล้วก็ไม่เก็บไปใส่ใจอีก
จ้งชิวยืนอยู่ใต้ชายคาของเรือนหลักชั้นสอง ยืนยิ้มรอต้อนรับเฉินผิงอัน ข้างกายยังมีขุนนางหนุ่มที่กำลังรายงานกิจบ้านเมือง หลังจากจ้งชิวให้คำตอบและคำแนะนำคร่าวๆ แล้ว คนทั้งสองก็ถามตอบกันอย่างกระชับได้ใจความได้อีกครู่หนึ่ง พอขุนนางหนุ่มเห็นเฉินผิงอันก็มีท่าทางสงสัยใคร่รู้ เพียงแต่ว่าราชครูไม่ได้พูดถึงตัวตนของเฉินผิงอัน เขาเองก็ไม่กล้าซักไซ้ จึงได้แต่บอกลาจากไป
จ้งชิวพาเฉินผิงอันเดินมาถึงเรือนด้านหลัง บรรยากาศของที่นี่แตกต่างไปจากความยุ่งวุ่นวายมีชีวิตชีวาของด้านหน้าอย่างสิ้นเชิง ห่างแค่เพียงกำแพงกั้นกลับต่างกันราวฟ้ากับดิน มุมกำแพงมีต้นกล้วยกอใหญ่ ใบสีเขียวปลั่งดุจจะเค้นน้ำออกมาได้ บนโต๊ะหินวางกระดานหมากล้อมเก่าแก่ไว้กระดานหนึ่ง นี่น่าจะเป็นที่พักของราชครูท่านนี้แล้ว ทั้งไม่แร้นแค้นและไม่หรูหรา เรียบง่ายสง่างาม จ้งชิวกับเฉินผิงอันนั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะหิน
จ้งชิวพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับตำราการสร้างสะพาน เขาบอกให้ขุนนางของฝ่ายโยธาไปเก็บรวบรวมมาให้แล้ว ส่วนรายงานประวัติความเป็นมาของบัณฑิตแซ่เจี่ยงคนนั้น น่าจะเป็นคืนนี้ถึงจะสามารถนำไปส่งมอบให้เฉินผิงอันได้
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขาพูดถึงเรื่องที่หนังสือตัวเองถูกขโมยไปขาย แต่จ้งชิวก็ยังรับปากว่าจะช่วยด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันจึงเป็นฝ่ายพูดเองว่า ตอนนี้เมืองหลวงวุ่นวายไม่สงบ ยังต้องรบกวนให้ราชครูเป็นธุระจัดการเรื่องยิบย่อยพวกนี้อีก เขายินดีที่จะช่วยเหลือ ขอแค่ราชครูบอกมา
จ้งชิวเองก็ไม่เกรงใจ บอกว่าต้องการให้เฉินผิงอันช่วยชี้แนะลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเขาสักหน่อย
ไม่ใช่ว่าเขาเอาทรัพยากรส่วนรวมมาใช้ส่วนตน แต่ลูกศิษย์ที่จ้งชิวรับมา หลังออกจากสำนักแล้วล้วนต้องสมัครเข้ากองทัพไปเป็นทหาร โดยเริ่มเป็นจากทหารชั้นผู้น้อย อย่างน้อยที่สุดต้องอยู่ในกองทัพชายแดนสิบปีเต็ม หลังสิบปีให้หลังจะเลื่อนขั้นในกองทัพ หรือออกจากกองทัพไปท่องอยู่ในยุทธภพ จ้งชิวล้วนไม่บังคับ แต่หากเลือกจะท่องอยู่ในยุทธภพก็ห้ามป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของจ้งชิว หากถูกจับได้ก็ไม่ต้องพูดคุยกันอีก ข้าจ้งชิวสามารถสอนวิชายุทธ์ให้เจ้าได้ก็เอากลับคืนมาได้เช่นกัน
ลูกศิษย์ที่รับเข้าสำนักอย่างเป็นทางการสองคนซึ่งอยู่ข้างกายจ้งชิวต่างก็อายุไม่มาก ยังศึกษาเล่าเรียนวิชาไม่ครบถ้วน แต่พรสวรรค์ดีเยี่ยม จิตใจทะเยอทะยาน นิสัยย่อมไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่ายังไม่เคยท่องในยุทธภพอย่างจริงจัง ดังนั้นจำเป็นต้องหาคนมาสยบความฮึกเหิมของพวกเขา หลายปีมานี้จ้งชิวกดดันไม่น้อย เพื่อทำตามสัญญาหกสิบปีให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องคอยป้องกันติงอิงและอวี๋เจินอี้สองคน ย่อมยากที่จะมุ่งมั่นถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้กับลูกศิษย์อย่างตั้งใจ จ้งชิวกังวลว่าลูกศิษย์สองคนที่ตัวเองฝากความหวังไว้ให้นี้จะเป็นได้แค่ลูกศิษย์จ้งชิวไปตลอดชีวิต
เฉินผิงอันไม่มีปัญหา แม้เขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติเป็นอาจารย์ของใคร หรือสามารถสอนอะไรให้ใครได้ก็ตาม
เพียงแต่เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าจ้งชิวจะพาเขาไปพบลูกศิษย์ทั้งสองคนด้วยตัวเอง จึงอดถามไม่ได้ว่า “คงไม่รบกวนการจัดการธุระของราชครูหรอกกระมัง?”
จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “หากข้าจ้งชิวไม่อยู่แล้วทุกอย่างจะยุ่งวุ่นวาย ก็หมายความว่าหลายปีที่ข้าอยู่ในราชสำนักจัดการเรื่องภายในได้ไม่ดีพอ ดีแต่ชี้นิ้วสั่งอย่างเดียวเท่านั้น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จ้งชิวที่พาเฉินผิงอันออกมาจากประตูเล็กของเรือนหลังก็พลันกล่าวว่า “ขุนนางใหญ่ที่ดูแลเรื่องการปกครองในราชสำนักพบเจอคนทะเลาะเบาะแว้งกันบนถนน ควรจะจัดการอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “หากไม่ส่งผลกระทบต่องานหลักของตัวเอง ก็คงต้องเข้าไปดูแลสักหน่อย”
จ้งชิวถามอีก “แล้วยังไงต่อ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
จ้งชิวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตามคำบอกของเจ้า ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่กระทบต่องานในหน้าที่ของตัวเอง ขุนนางที่สวมหมวกขุนนางใหญ่เทียมฟ้าผู้นี้สามารถเข้าไปดูแลเรื่องหยุมหยิมได้จริง แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือควรจะต้องทบทวนตัวเองในทันทีว่า เหตุใดในเขตการปกครองของตนถึงได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น”
เฉินผิงอันคิดตามแล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
—–