กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 326.2 ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม
จ้งชิวกับเฉินผิงอันเดินไปบนถนนที่เงียบสงัด ร่มเงาของต้นไม้ปูแผ่เป็นวงกว้าง ช่วงฤดูร้อนอากาศร้อนจัด สถานที่หลายแห่งในเมืองหลวงเหมือนซึ้งนึ่ง ร้อนจนไม่มีที่ให้ผู้คนหลบเลี่ยง ทว่าพื้นที่แถบนี้กลับทำให้คนรู้สึกเย็นสบายได้มากกว่าเป็นเท่าตัว จ้งชิวกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องราวในตำราของอริยะปราชญ์เล่มหนึ่ง ขุนนางใหญ่ผู้นั้นพูดกับคนข้างกายว่า ‘เรื่องนี้ข้าไม่ควรต้องเป็นคนจัดการ ต้องถามขุนนางในเขตการปกครองที่รับผิดชอบดูแล เขาไม่ควรทำอะไรข้ามเขต’ ตอนเป็นหนุ่มอ่านหนังสือเจอบทความนี้ รู้สึกเหมือนถูกปลุกให้ตื่น ได้เปิดโลกกว้าง แต่ยิ่งอ่านหนังสือและยิ่งเห็นเรื่องราวบนโลกมากเท่าไหร่ ในใจก็อดที่จะเกิดความสงสัย คิดหลายร้อยตลบแล้วก็ไม่เข้าใจมากเท่านั้น”
จ้งชิวไม่ได้พูดต่อ
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่คิดว่าหากอาจารย์ฉีหรือท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอยู่ที่นี่ จะต้องสามารถคลี่คลายความทุกข์ ไขข้อข้องใจ อธิบายหลักการเหล่านั้นให้จ้งชิวเข้าใจได้อย่างกระจ่างแน่นอน
จ้งชิวหัวเราะฮ่าๆ แล้วก็ไม่เหลือความกลัดกลุ้มอีก พูดเรื่องเป็นการเป็นงานกับเฉินผิงอัน “อวี๋เจินอี้กลับไปที่สำนักในแคว้นซงไล่แล้ว ได้พาตัวของปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่แอบออกจากเมืองไปด้วย ตอนนั้นทุกคนที่อยู่บนหัวกำแพง นอกจากโจวเฝย ยาเอ๋อร์ลัทธิมาร หลิวจงที่บินทะยานจากไปแล้ว พวกเราที่ลงมาจากหัวกำแพงเมืองล้วนได้ผลเก็บเกี่ยวกันทุกคน ดูเหมือนว่าอวี๋เจินอี้จะได้ตำราหยกเล่มหนึ่งไป ภิกษุอวิ๋นหนีได้รากบัวหยกขาวไปหนึ่งท่อน สิ่งของที่ถังเถี่ยอี้ได้รับไป สายลับของเมืองหลวงไม่อาจสืบความได้ ข้าจ้งชิวได้ตำรารวบรวมแผนที่ห้าขุนเขามาหนึ่งเล่ม เรื่องที่กล่าวไว้ในตำราล้วนเป็นเรื่องของเทพเซียน อธิบายว่าแต่งตั้งขุนเขาทั้งห้าอย่างไร รวบรวมปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำของแคว้นหนึ่งอย่างไร เพียงแต่ว่าข้าไม่ได้ฝึกวิชาเซียน สำหรับข้าแล้วตำราเล่มนี้จึงไร้ความหมาย ไม่ต่างจากซี่โครงไก่”
จ้งชิวถอนหายใจก่อนพูดต่อว่า “เพราะว่าหลบอยู่ในเมือง เฉิงหยวนซานถึงพลาดเสียงกลอง สุดท้ายจึงไม่ได้อะไรติดมือไปเลย พวกลูกศิษย์ของเขาถูกไล่ออกนอกอาณาเขตไปแล้ว แต่หากเฉิงหยวนซานหนีไปช้ากว่านี้อีกสักนิด ข้าย่อมต้องรั้งตัวเขาไว้ที่นี่ เพราะถึงอย่างไรเฉิงหยวนซานก็เป็นพวกมีแค้นต้องชำระ คราวนี้เขาต้องมาเสียเปรียบครั้งใหญ่ในแคว้นหนันเยวี่ยน จะต้องไปยุแยงให้พวกกองทัพม้าเหล็กของทุ่งกว้างลงใต้มาบุกด่านปล้นสะดมอย่างแน่นอน”
ตำราเซียนเล่มนี้ถือเป็นภัยร้ายซ่อนแฝงอย่างหนึ่ง แต่จ้งชิวกลับไม่มีวิธีที่จะทำลายมันลงได้ จึงได้แต่เก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง
หากอวี๋เจินอี้รู้เรื่องนี้เข้า เขาต้องอยากชิงมันไปครอบครองแน่นอน
ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้อวี๋เจินอี้ที่เดิมทีไม่เคยใส่ใจเรื่องราวในโลกมนุษย์เกิดความทะเยอทะยานอยากบงการหุ่นเชิดมาช่วงชิงใต้หล้าแห่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เพื่อสามารถใช้ตัวตนของผู้สืบทอดดั้งเดิมในใต้หล้าแต่งตั้งห้าขุนเขา จากนั้นเขาก็สามารถดึงเอาปราณวิญญาณจากห้าขุนเขามาใช้เอง และกลายเป็นเทพเซียนพสุธาที่แท้จริงในท้ายที่สุด
จ้งชิวเล่าเรื่องสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าให้เฉินผิงอันฟัง “นักพรตหญิงหวงถิงที่ต่อสู้กับอวี๋เจินอี้จนผลออกมาเสมอกันผู้นั้น ได้มอบตำแหน่งเจ้าหอจิ้งซินให้กับฮองเฮาแล้ว ตัวหวงถิงเองออกไปจากเมืองหลวง แล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นางบอกแค่ว่าจะไปตามหาพื้นที่ฮวงจุ้ยวิเศษแห่งหนึ่งตั้งใจฝึกเวทกระบี่ให้ดี
อีกไม่นานฮองเฮาโจวซูเจินจะ ‘ป่วยตาย’ แล้วไปบัญชาการณ์หอจิ้งซิน สำหรับเรื่องนี้ฮ่องเต้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทางฝั่งของหอจิ้งหย่าง ช่วงนี้เกิดกบฏขึ้น พวกกบฏไปสมคบคิดกับคนของลัทธิมารที่เหลืออยู่ โจวซูเจินสูญเสียการควบคุมไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว หอจิ้งหย่างป่าวประกาศแก่ใต้หล้าว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป หอจิ้งหย่างจะไม่เป็นผู้ตัดสินสิบคนในใต้หล้าอีก ส่วนถังเถี่ยอี้ แม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยจิ้นยังลังเลอยู่ว่าควรจะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเราหรือไม่”
เฉินผิงอันรับฟังอย่างตั้งใจ
จ้งชิวกล่าวอย่างสะท้อนใจ “หากเป็นเจ้าที่ยืนอยู่บนตำแหน่งนั้น ไม่ใช่ติงอิงที่คิดแต่จะเอาชนะวิถีสวรรค์ ก็คงจะดี”
เฉินผิงอันไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย
จ้งชิวยิ้ม “รู้แค่ว่าเป็นคำชม ไม่จำเป็นต้องคิดจริงจังเกินไป”
เฉินผิงอันจึงยิ้มออก
แต่ไม่ใช่รอยยิ้มตามมารยาทเหมือนตอนที่พูดคุยกับฮ่องเต้เว่ยเหลียงในหอสุราคืนนั้น
เวลาอยู่กับจ้งชิวเหมือนเข้าไปในห้องอันเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ (ดอกกล้วยไม้เปรียบเปรยถึงคุณธรรมอันสูงส่งหรือสภาพแวดล้อมอันดีงาม กล่าวว่าเมื่ออยู่กับคนดีก็เหมือนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ นานวันเข้ากลิ่นหอมนั้นก็ติดตัวมาด้วย)
ที่พักของลูกศิษย์สองคนของจ้งชิวอยู่ห่างจากพื้นที่แถบนี้ไปสองช่วงถนน เรือนพักค่อนข้างใหญ่ แขวนป้ายว่าโรงฝึกวรยุทธ์ หันเข้าข้างใน ไม่หันออกนอก ลูกศิษย์ใหญ่ของจ้งชิวเป็นคนออกเงิน คนผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามายี่สิบปี ได้เป็นถึงแม่ทัพ แต่ภายหลังได้รับบาดเจ็บสาหัสบนสนามรบจึงลาออกจากกองทัพ ทุกครั้งที่ลูกศิษย์ของจ้งชิวเข้ามาในเมืองหลวงจะไม่กล้ารบกวนอาจารย์ ส่วนใหญ่จึงมักจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ลูกศิษย์เหล่านี้อายุต่างกันค่อนข้างมาก คนที่อายุมากที่สุดเกือบร้อยปี ลูกศิษย์สองคนที่อายุน้อยที่สุดคือคู่เด็กหนุ่มเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น
รอจนคนทั้งสองเดินไปถึงสนามประลองยุทธ์ จ้งชิวก็พลันหลุดหัวเราะพรืด เพราะตรงนั้นมีคนหลายสิบคนรวมตัวกันอย่างครึกครื้นซึ่งมีลูกศิษย์สองคนของเขาอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีหลานชายหลานสาวของแม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียว และสหายสนิทที่ลูกศิษย์สองคนรู้จักในเมืองหลวง ส่วนใหญ่คือเด็กของตระกูลชนชั้นสูงที่มีนิสัยซื่อสัตย์ อีกทั้งยังมีความฝันใฝ่ต่อยุทธภพ หลายคนนัดหมายกันมานานแล้วว่า วันหน้าจะใช้ข้ออ้างออกเดินทางไกลไปหาความรู้กับทางครอบครัว เพื่อออกไปท่องยุทธภพร่วมกับลูกศิษย์สองคนของจ้งชิว
สำหรับเรื่องพวกนี้ จ้งชิวไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย
ความงดงามในช่วงวัยเยาว์ ต่อให้จะมีความเป็นเด็กแฝงอยู่ แต่ก็ไม่ควรใช้ประสบการณ์ในชีวิตของคนแก่ไปปฏิเสธสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งไม่ควรทำลายลงอย่างส่งเดช
จ้งชิวมองเด็กเหล่านี้ บางครั้งก็โมโหในความเกเรของพวกเขา แต่เวลาที่มากกว่านั้นกลับรู้สึกว่าพวกเขาน่ารัก นี่จึงทำให้เขารู้สึกว่าใต้หล้าแห่งนี้ไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัว ไม่มีเจ๋อเซียนอะไรทั้งนั้น
เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่งจากในคนกลุ่มนั้น
นั่นก็คือหญิงสาวที่ควบม้าอยู่บนถนนใหญ่พร้อมกับสหายระหว่างที่เขาเดินเล่นในเมืองหลวงก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเพื่อชดเชยความผิดพลาดของสหาย นางได้โยนถุงเงินใบหนึ่งให้แก่หญิงชราที่ตั้งร้านแผงลอย เพื่อแสดงฝีมือในการขี่ม้า ยังทำให้ตัวเองตกกระแทกลงพื้นแรงๆ หนึ่งที ร้องโอดโอยก่อนจะพลิกตัวขึ้นหลังม้า ทั่วร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่นางก็ยังเชิดหน้าสูงอย่างทระนง ตอนนั้นเฉินผิงอันยังยกนิ้วโป้งให้นาง เพียงแต่ว่าหญิงสาวไม่ได้สนใจเขา แถมยังกลอกตามองบนใส่เขาด้วย
แรกเริ่มทุกคนไม่มีใครรู้จักเฉินผิงอัน
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้สวมชุดคลุมสีขาวและห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด
ทว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างก็เคารพยำเกรงจ้งชิว หลังจากจ้งชิวปรากฎตัว แต่ละคนก็เงียบกริบราวกับจักจั่นในหน้าหนาว ลูกศิษย์สองคนก็มีท่าทางร้อนตัว หลายวันมานี้พวกเขาไม่ได้ฝึกวิชายุทธ์เลยจริงๆ ช่วยไม่ได้ สหายเหล่านี้พากันแห่มาหา แต่ละคนเล่าเรื่องราวของเซียนกระบี่ชุดขาวคนนั้นด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ต่างก็บอกกันว่าปรมาจารย์หนุ่มผู้นั้นที่สังหารติงอิงมีความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ของพวกเขา ไม่แน่ว่ามาอยู่ที่นี่อาจเป็นการเฝ้าตอรอกระต่าย รอจนได้เจอคนผู้นั้นจริงๆ โดยเฉพาะหลานชายหลานสาวของแม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียวที่ยิ่งพูดจาเป็นหลักเป็นฐานน่าเชื่อถือว่า หลังจากท่านปู่กลับไปถึงบ้านก็หน้าแดงก่ำ เล่าว่าคืนนั้นที่อวี๋เจินอี้กับถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินเปิดศึกกันนอกเมือง เซียนกระบี่ที่ชื่อเฉินผิงอันได้ยืนอยู่ข้างกายเขา คนทั้งสองได้แต่เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป เพราะพูดคุยกันถูกคอจึงคบหากันเป็นสหายต่างวัยแล้ว น่าเสียดายที่เซียนกระบี่เฉินคือเทพเซียน จึงยุ่งมาก แต่ก็รับปากแล้วว่าขอแค่มีเวลาว่างจะต้องมาเยี่ยมเยือนถึงจวนแม่ทัพแน่นอน
หลานชายคนเล็กของลวี่เซียวอายุแค่สิบสองสิบสามปี เขาเล่าเรื่องนี้ซ้ำแทบจะทุกวัน แถมเวลาเล่ายังหน้าบานเป็นกระด้งด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติ
แต่พี่สาวของเขาไม่ได้ผัดข้าวเย็นซ้ำไปซ้ำมาแบบเขา (เปรียบเปรยถึงการพูดเรื่องเก่าซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่มีเนื้อหาแปลกใหม่) เพียงแต่ว่าสีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความรอคอยและเลื่อมใสศรัทธา
จ้งชิวหันกลับมามองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังพยักหน้าให้
จ้งชิวยืนอยู่บนสนามประลองยุทธ์ พูดกับลูกศิษย์ทั้งสองคนว่า “ข้าช่วยหาผู้อาวุโสคนหนึ่งมาให้พวกเจ้า เขาจะช่วยชี้แนะวิชาหมัดให้กับพวกเจ้า พวกเจ้าจงออกหมัดอย่างเต็มกำลัง”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “ก่อนหน้านี้บอกว่าแค่ประมือแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเขา ไม่ใช่ชี้แนะสั่งสอนไม่ใช่หรือ?”
จ้งชิวยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ตอนท้ายแค่พูดคุยกับพวกเขาสักคำสองคำก็พอ เจ้าเด็กสองคนนี้รู้มานานแล้วว่าควรจะรับมือกับอาจารย์เช่นข้าอย่างไร ตอนนี้ข้าพูดอะไรจึงไม่ค่อยได้ผลนัก ไม่แน่ว่าคำพูดของคนนอกอย่างเจ้า พวกเขาอาจจะถือเป็นกฎเกณฑ์ใหม่ก็ได้”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก้าวยาวๆ เข้ามาถามว่า “อาจารย์ ผู้อาวุโสท่านนี้คือใครหรือ? มีทั้งดาบมีทั้งกระบี่ เหตุใดถึงสามารถสอนวิชาหมัดพวกเราได้? หรือว่าวิชาหมัดของเขาสูงยิ่งกว่าอาจารย์?”
เด็กหนุ่มมองมาทางเฉินผิงอัน สายตาใสกระจ่าง พูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกคนอื่นหรอกนะ แต่วิชาหมัดของอาจารย์ข้าสูงส่งมากจริงๆ หากท่านจะสอนวิชาดาบวิชากระบี่ให้ข้า ข้าก็คงไม่พูดแบบนี้ ใช่แล้ว ข้าชื่อเหยียนสือจิ่ง เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา ขอผู้อาวุโสอย่าได้ถือสา!”
เด็กสาวคนหนึ่งเดินตามมาด้านหลังเขาช้าๆ นางพบพิรุธของเฉินผิงอันแล้ว เพียงแต่ว่ายิ่งเดินนางก็ยิ่งก้าวช้าลง เพราะนางค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า คนผู้นั้นแค่ยืนอยู่เฉยๆ นางก็หาช่องโหว่ของท่ายืนนิ่งในกระบวนท่าหมัดเขาไม่เจอเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกที่ทำให้คนยากจะทนรับแบบนี้ เหมือนกับความรู้สึกที่จ้งชิวผู้เป็นอาจารย์มอบให้แก่นางเหลือเกิน
เห็นภูเขาสูงแต่ไม่เห็นยอดเขา อยู่ริมแม่น้ำแต่มองไม่เห็นก้นบึ้ง
ชายชุดเขียวที่อายุไม่มากผู้นี้ต้องเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่ขอบเขตเลิศล้ำมากคนหนึ่งอย่างแน่นอน!
เด็กสาวกำลังจะเปิดปากเอ่ยเตือนศิษย์พี่เหยียนสือจิ่งว่าให้ระวัง ฝ่ายหลังกลับพูดขึ้นมาเบาๆ เสียก่อนว่า “มองออกแล้วน่า ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย สามารถเดินเคียงไหล่มากับอาจารย์ได้ ในแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเราจะมีใครที่มีหน้ามีตาได้ขนาดนี้?”
เด็กสาวเอ่ยถาม “ร่วมมือกัน?”
เด็กหนุ่มกล่าวเสียงหนักอย่างไม่ลังเล “พยายามทนให้ได้สิบกระบวนท่า อาจารย์มองพวกเราอยู่นะ”
เด็กหนุ่มเด็กสาวตั้งกระบวนท่าหมัดเตรียมพร้อมรับมือกับศัตรูแทบจะเวลาเดียวกัน
เฉินผิงอันคิดอยู่ชั่วขณะก็เริ่มเดินตรงไปด้านหน้า เป็นแค่ท่าเดินนิ่งหกก้าว บวกกับกระบวนท่าหมัดยอดเขาของจ้งชิวเท่านั้น
คนทั้งสองเพิ่งเตรียมจะพุ่งออกไป ทว่าเฉินผิงอันแค่เดินออกมาหนึ่งก้าวก็เหมือนยอดเขาที่กดลงมาบนบ่าของพวกเขาแล้ว ร่างกายพวกเขากระดุกกระดิกไม่ได้ ราวกับว่าแค่ขยับเพียงนิดก็อาจตายได้
เดินมาอีกหนึ่งก้าว ทั้งร่างกายและจิตใจของคนทั้งสองล้วนชะงักค้าง เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากัดฟันเตรียมจะขยับไปข้างหน้า เด็กสาวกลับขยับเบี่ยงไปด้านข้าง หลบเลี่ยงประกายคมกริบของอีกฝ่ายก่อนแล้วค่อยวางแผนกันอีกที
เพียงแค่สามก้าวอย่างเรียบง่ายของเฉินผิงอัน พลังอำนาจของศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
สี่ก้าวต่อมา คนทั้งสองก็ถอยกรูดไม่เป็นท่า เหงื่อรินลงมาตามสันหลัง สีหน้าซีดขาว
เฉินผิงอันหยุดเดิน ถามว่า “ทั้งๆ ที่รู้ว่าต่อให้ออกหมัดก็ไม่มีทางตาย แล้วทำไมถึงไม่ออก? หากมีวันหนึ่งต้องต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับคนอื่นจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องตายก็จะไม่กล้าออกหมัดแม้แต่ครั้งเดียวเหมือนกันน่ะหรือ? ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าพวกเจ้าจะออกหมัดก็ต่อเมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือทัดเทียมกันหรือศัตรูที่อ่อนแอกว่าพวกเจ้าใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มนั่งแปะลงไปบนพื้น
เด็กสาวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ผู้อาวุโสคือปรมาจารย์ขั้นสูงสุด มาถึงก็ใช้พลังอำนาจข่มคนอื่น ใต้หล้ามีการแลกเปลี่ยนความรู้ สอนวิชาหมัดแบบนี้เสียที่ไหน…”
เฉินผิงอันยังคงถามว่า “ทำไมถึงไม่ยอมออกสักหมัด?”
เด็กหนุ่มก้มหน้า
เด็กสาวดวงตาแดงก่ำ ถึงขั้นร้องไห้ออกมา เพียงแต่ว่าพยายามประสานสายตากับคนแปลกหน้าที่ชอบรังแกผู้อื่นคนนี้อย่างดุดัน
เฉินผิงอันตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะทำเกินไป จึงหันหน้าไปเอ่ยขอโทษจ้งชิว “ข้าไม่ค่อยได้แลกเปลี่ยนความรู้กับใคร จึงไม่ค่อยเข้าใจกฎเกณฑ์ของยุทธภพเท่าใดนัก”
จ้งชิวส่ายหน้า ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยเบาๆว่า “เป็นเพราะกลัวว่าพวกเขาจะทำผิดพลาด วิชาหมัดที่ข้าถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์จึงใช้หลักสี่คำว่า ‘เจอหมัดสูงไม่ออกหมัด’ ความตั้งใจเดิมคือหวังว่าเวลาอยู่ในยุทธภพพวกเขาจะไม่ใช้อารมณ์นำทาง ไม่คิดอยากแต่จะเอาชนะ ไม่รังแกคนอื่น ออกหมัดไม่รู้จักหนักเบา ที่มากกว่านั้นคือหวังว่าในอนาคตเมื่อพวกเขาไปอยู่บนสนามรบ อย่างน้อยต้องใช้เวลาตอบแทนบ้านเมืองสิบปี ดังนั้นลูกศิษย์ฝ่ายในจึงถูกข้าข่มสภาพจิตใจเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว คงพูดไม่ได้ว่าผิด แต่ก็อาจทำให้พวกเขาพลาดโอกาสที่จะเป็นสีครามที่เด่นกว่าสีน้ำเงิน (มาจากประโยคว่าสีครามเกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงิน เปรียบเปรยว่าครูอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์เก่งกว่าครู)”
จ้งชิวถอนหายใจหนึ่งที ยิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “ควรจะต้องแก้ไขได้แล้ว”
คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นที่เดิมทียอมฝืนทนรับความอับอายต่อหน้าคนนอกได้แล้ว กลับไม่สามารถรับการ ‘ยอมรับผิด’ จากอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ตัวเองมองเป็นเหมือนบิดาแท้ๆ ได้ อีกทั้งการยอมรับผิดนี้ยังทำเพื่อพวกเขา ในใจของเด็กหนุ่มเหยียนสือจิ่ง จ้งชิวผู้เป็นอาจารย์คือปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไร้ข้อบกพร่องมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นอริยะด้านวรรณกรรมด้วย
ด้วยความโมโห เด็กหนุ่มพลันลุกขึ้นยืน แต่เขาไม่ได้ลอบโจมตีคนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น แค่ถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเดือดดาล “เจ้ามาใหม่!”
—–