กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 329.1 คนในภาพวาด
ในที่สุดก็ได้ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งได้เสียที หลังจากที่นักพรตเฒ่าจากไป เรื่องแรกที่เฉินผิงอันทำก็คือสอบถามคนในแคว้นเป่ยจิ้นว่าตอนนี้คือปีอะไร เขากลัวจริงๆ ว่าคำว่าหกสิบปีบนภูเขาที่เขียนบอกไว้ในตำรา พอมาอยู่ในโลกแห่งความจริงจะผ่านไปพันปีแล้ว หากถูกนักพรตเฒ่าหลอกต้มนานถึงสิบปีหรือหลายสิบปี แถมตอนนี้ยังไม่มีกระบี่ปราณยาว คิดจะแก้แค้นก็คงหาตัวคนไม่เจอแล้ว
ยังดีที่หลังจากถามขบวนพ่อค้าบนถนนทางหลวงของแคว้นเป่ยจิ้นแล้วถึงได้ถอนหายใจโล่งอก นับตั้งแต่คราวก่อนที่เป็นรัชสมัยกวางสี่ปีที่หก ตอนนี้แค่เปลี่ยนไปเป็นรัชสมัยกวางสี่ปีที่เจ็ดเท่านั้น และเวลานี้ใบถงทวีปก็อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นเดียวกัน สภาพอากาศเหมือนกับในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ขยับเข้าใกล้ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
เป่ยจิ้นได้ทิ้งเงามืดไว้ในใจของเฉินผิงอัน เขาจึงไม่กล้าอยู่ต่อนานนัก เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตลอดทาง ก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของภูเขาไท่ผิงมาก่อน จึงคิดอยากจะไปมองไกลๆ ให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง ทว่าตอนนี้กลับไม่เหลือความคิดนี้อยู่เลย บวกกับที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มเจ๋อเซียนอย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ ลู่ฝ่างแห่งภูเขาเหนี่ยวคั่นและจอมยุทธ์พเนจรเฝิงชิงป๋าย ตอนนี้จึงคิดแต่จะหาท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งแล้วมุ่งหน้ากลับแจกันสมบัติทวีปไปโดยตรง
แม้ตอนนั้นที่จากบ้านเกิดมา หยางเหล่าโถวจะเคยเตือนว่าภายในห้าปีห้ามกลับไปเมืองเล็ก แต่ไม่ได้กลับบ้านเกิดก็ยังมีสถานที่มากมายที่สามารถไปเยือนได้ ยกตัวอย่างเช่นนครมังกรเฒ่าที่ฟ่านเอ้อร์อยู่ แคว้นชิงหลวนที่จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียเดินทางไปหาประสบการณ์ แคว้นซูสุ่ยของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซา ทะเลสาบเจี่ยนซูของกู้ช่าน สำนักศึกษาต้าสุยที่พวกหลี่เป่าผิงไปเล่าเรียนวิชา มีสถานที่ไม่น้อยเลยจริงๆ
สรุปก็คือใบถงทวีปไม่ใช่สถานที่ที่ควรรั้งอยู่นาน
เฉินผิงอันเก็บร่มกระดาษน้ำมันที่หยิบติดมือมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว คนทั้งสองเดินไปข้างถนนทางหลวง เด็กหญิงผอมแห้งคอยเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความใคร่รู้อยู่ตลอดเวลา “ที่นี่คือที่ไหน? ไม่ใช่แคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเรากระมัง?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันสอบถามผู้อื่น นางฟังไม่ออกสักประโยคเดียว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ต้องลากขวดน้ำมันน้อย (เปรียบเปรยถึงตัวภาระ) นี้มาด้วยก็คือเหตุผลที่เฉินผิงอันอยากจะออกไปจากใบถงทวีปโดยเร็ว พานางมาด้วยไม่เหมือนตอนที่เดินทางหาประสบการณ์ร่วมกับลู่ไถ หากเจอกับพวกผู้ฝึกตนอิสระบนภูเขาดักปล้นกลางทาง ย่อมต้องลำบากมาก แต่พอนึกถึงลู่ไถ พยับเมฆในใจของเฉินผิงอันก็ยิ่งหนาชั้นมากกว่าเดิม ชายฉกรรจ์ขายถังหูลู่คนนั้น
ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินแล้ว ส่วนใหญ่มักจะสามารถใช้วิชาฝ่ามือเทพมองภูเขาและแม่น้ำ แม้จะรอบรู้เทียบกับนักพรตเฒ่าที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก สำหรับวิชาเซียนอันเป็นวิชาอภินิหารนี้ ในอนาคตเมื่อกลับไปถึงบ้านเกิด เขาจะต้องสอบถามจากผู้เฒ่าแซ่ชุยหรือไม่ก็เว่ยป้อให้ละเอียดว่ามีความรู้เรื่องใดบ้าง มีส่วนไหนที่ต้องพิถีพิถัน หรือมีข้อห้ามและพันธนาการอะไรบ้าง
เผยเฉียนถามต่อ “คือบ้านเกิดของเจ้า? สถานที่อยู่อาศัยของเทพเซียนหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้าตอบ “ไม่ใช่บ้านเกิดของข้า แล้วก็ไม่ใช่ดินแดนเซียนอะไร”
เผยเฉียนเห็นว่าเขาไม่เต็มใจจะพูดมากจึงไม่ซักถามอะไรอีก
นางยกสองมือขึ้นขยี้ตา
เฉินผิงอันถาม “เป็นอะไร?”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ยิ้มสดใส “รู้สึกแปลกๆ แต่กลับจำอะไรไม่ได้สักอย่าง เมื่อครู่นี้ยังเก็บกวาดบ้านให้เฉาฉิงหล่างอยู่เลย แต่ฟิ้วทีเดียวก็มาอยู่นี่แล้ว”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองนางหนึ่งที
เผยเฉียนรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “เก็บกวาดเมล็ดแตงที่แทะไว้บนม้านั่งในลานน่ะ”
คนทั้งสองเดินมาได้ประมาณยี่สิบกว่าลี้ เด็กหญิงก็เหนื่อยจนหอบเป็นวัว นางยู่หน้าพูดอย่างน่าสงสารว่าฝ่าเท้าถูกเสียดสีจนเป็นตุ่มพองหมดแล้ว
เฉินผิงอันจึงเช่ารถม้าคันหนึ่งจากจุดพักม้าข้างทาง เมื่อตกลงราคาได้เรียบร้อยก็เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือต่ออีกครั้ง ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่ารถม้าจะหยุดจอดในเมืองริมชายแดนแคว้นเป่ยจิ้น ซึ่งระยะทางนี้ใช้เวลาประมาณสองวัน เป่ยจิ้นของใบถงทวีปไม่เหมือนกับเป่ยจิ้นของพื้นที่มงคลดอกบัว สถานที่แห่งนี้ไม่มีสงครามมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการของที่พักม้าหรือเรื่องเอกสารผ่านทางล้วนหละหลวมอย่างมาก ขอแค่ในกระเป๋ามีเงิน ต่อให้ไม่ใช่ขุนนางก็ล้วนมาพักแรมที่จุดพักม้าได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนได้นั่งรถม้า นางรู้สึกแปลกใหม่อย่างยิ่ง นั่งอยู่ในห้องโดยสารที่ส่ายโคลงเคลง ไม่ต้องเดินเองช่างสบายยิ่งนัก คอยเลิกผ้าม่านมองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกอยู่เป็นระยะ หลังเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วงมา ห่างจากถนนทางหลวงไปไม่ไกลมักจะมองเห็นต้นลูกพลับสีทองอร่ามเป็นแถบๆ ทำเอานางน้ำลายไหลด้วยความอยากกิน ใจหวังยิ่งนักว่าเฉินผิงอันจะบอกให้สารถีหยุดรถ นางจะได้ลงจากรถม้าไปขโมยกลับมาสักแปดจินสิบจิน
เฉินผิงอันฉวยโอกาสตอนที่นางมองออกไปข้างนอกหยิบม้วนภาพสี่ภาพออกมา แกนของม้วนภาพทั้งสี่นี้ไม่เหมือนกัน แกนหนึ่งทำมาจากไม้จื่อถานที่สามารถป้องกันมอดแทะ แกนหนึ่งคือหยกขาว อีกสองแกนทำมาจากวัสดุบางอย่างที่เขาไม่รู้จัก คนทั้งสี่ในม้วนภาพมีชีวิตชีวาเสมือนจริง
เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนอยู่ในท่านั่งเหมือนในภาพแขวนของฮ่องเต้ทั่วไป เขาสวมชุดคลุมมังกรสีทอง แต่เรือนกายไม่ถือว่ากำยำล่ำสันนัก กลับค่อนข้างจะตัวเล็กผอมบาง พอมาสวมชุดคลุมมังกรตัวใหญ่จึงดูไม่เข้ากันอย่างเห็นได้ชัด
สุยโย่วเปียนที่ล้มเหลวในการบินทะยานอยู่ในท่าสะพายกระบี่ ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย คนในภาพวาดสบตากับคนที่มองภาพวาด
หลูป่ายเซี่ยงผู้นำแห่งลัทธิมารสวมเสื้อเกราะสีแดงสด มือทั้งคู่ยันด้ามดาบที่ปึกตรึงอยู่เบื้องหน้า เมื่อเทียบกับเว่ยเซี่ยนแล้ว เขากลับดูเหมือนจักรพรรดิในโลกมนุษย์มากกว่า
จูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ที่ตายด้วยน้ำมือของติงอิงมีสันหลังโก่งงอ ยืนสองมือไพล่หลัง หรี่ตาลงคล้ายผู้เฒ่าตัวเล็กในหมู่ชาวบ้านทั่วไป
ภาพวาดทั้งสี่นี้กินแค่เงินฝนธัญพืชเท่านั้น? ปัญหาอยู่ที่ว่าหากให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งในภาพวาดเหล่านี้เดินออกมาจะต้องกินเงินฝนธัญพืชไปกี่เหรียญกันแน่? อีกอย่างคำว่าจงรักภักดี ก็จำเป็นต้องผ่านการพิสูจน์ก่อนถึงจะบอกได้ ถอยไปพูดหมื่นก้าว เฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง ขนาดชุดคลุมอาคมจินหลี่ ชือซินและหยุดหิมะยังถูกเขามองเป็นของนอกกายทั้งหมด
ยังดีที่คราวนี้อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวได้ถูกนักพรตเฒ่าพาท่องไปทั่วใต้หล้า เฉินผิงอันจึงเข้าใจเรื่องราวในโลกมนุษย์เพิ่มขึ้นเยอะมาก โดยไม่รู้ตัวเขาก็ใช้สายตาอีกแบบหนึ่งไปมอง ‘สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า’ ของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงสภาพการณ์และฐานะของถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่บนอาณาเขตของต้าหลีแล้ว สำหรับเรื่อง ‘ของนอกกาย’ เขาก็ไม่มองอย่างสุดโต่งอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นหากอิงตามนิสัยเดิมของเขา ม้วนภาพทั้งสี่นี้อาจจะถูกเฉินผิงอันเอาออกไปขายในราคาที่สูงเทียมฟ้าแล้วก็เป็นได้
เผยเฉียนยื่นคอมามองภาพวาดของสุยโย่วเปียน พูดเสียงเบาว่า “พี่สาวคนนี้สวยมากจริงๆ”
เฉินผิงอันไม่สนใจ เขาม้วนภาพวาดทั้งสี่เก็บเบาๆ ไม่ได้เอาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นต่อหน้าเผยเฉียน แต่เอาวางไว้ข้างเท้าชั่วคราว ในใจทอดถอนใจไม่หยุด บรรพบุรุษสี่ท่านนี้เลี้ยงยากเหลือเกิน ไหนเลยจะดีเหมือนชูอีกับสืออู่ แค่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ได้แล้ว อย่าว่าแต่เงินฝนธัญพืชเลย มีชีวิตพึ่งพากันและกันมานานขนาดนี้ สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายครั้ง เขาไม่เคยต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะแม้แต่เหรียญเดียว หลอมกระบี่ เลี้ยงกระบี่ ล้วนไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันคอยเป็นกังวล
อันที่จริงเฉินผิงอันมีแท่นสังหารมังกรอยู่ก้อนหนึ่ง คือหินลับที่ดีที่สุดสำหรับการหลอมกระบี่ในโลก เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันหรือจะตัดใจยอมให้แท่นสังหารมังกรที่สลักคำว่า ‘หนิงเหยา’ ‘ไร้เดียงสา’ ถูกกลึงให้ลดหายไปแม้แต่เสี้ยวเดียว ยังดีที่สำหรับเรื่องนี้ ชูอีกับสืออู่ต่างก็ไม่เคยงอแงกับเฉินผิงอันมาก่อน แต่เขาคิดว่าเมื่อกลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนจะต้องพยายามขอซื้อหินสังหารมังกรก้อนเล็กๆ มาจากอริยะหร่วนฉงให้ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรปฏิบัติต่อพวกมันแย่เกินไปนัก
ค่าใช้จ่ายก้อนนี้ เฉินผิงอันไม่คิดจะงก ต่อให้เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะไม่ใช่แค่เงินฝนธัญพืช แต่เป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่มีมูลค่ามากกว่าก็ตาม
เฉินผิงอันมองนาง
เผยเฉียนเองก็มองเขาด้วยความกังวลใจ กลัวว่าเขาจะถีบตัวเองตกจากรถม้า อยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย นางจะไม่ถูกคนรังแกตายหรอกหรือ? ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน จะดีจะชั่วนางก็คุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี ของที่อยู่ในบ้านใดที่สามารถขโมยได้ ของของเด็กตระกูลใดที่สามารถแย่งชิง ใครที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ใครจำเป็นต้องประจบเอาใจ นางล้วนมีลูกคิดรางเล็กๆ ในใจเอาไว้ดีด แต่มาอยู่ที่นี่ อีกเดี๋ยวก็เข้าหน้าหนาวแล้ว หิมะก้อนใหญ่ตกพรวดๆ ลงมา หากนางไม่หิวตายก็ต้องหนาวตาย นางเคยเห็นขอทานแก่ขอทานน้อยหลายคนที่ไม่สามารถอดทนจนผ่านหน้าหนาวไปได้กับตาตัวเองมาก่อน รู้ดีว่าสภาพเมื่อต้องหนาวตายอัปลักษณ์ยิ่งนัก
เผยเฉียนรู้ว่าเฉินผิงอันไม่ชอบตน
ก็เหมือนกับที่นางรู้ว่าเฉินผิงอันชอบเฉาฉิงหล่างมาก
และนางก็ไม่ได้อยากให้เขามาชอบตน ขอแค่เขาช่วยดูแลเรื่องการกินการอยู่ให้นางก็พอแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือมอบเงินกองใหญ่ให้กับนาง ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบ จะมีค่าสักกี่เหรียญกันเชียว?
สารถีที่ทำหน้าที่ขับรถเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง คุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี เฉินผิงอันและเผยเฉียนพักค้างแรมในจุดพักม้าแห่งหนึ่ง ส่วนสารถีอาศัยหลับนอนในห้องโดยสารของรถม้า เฉินผิงอันเช่าห้องระดับล่างสองห้อง เผยเฉียนพักอยู่ในห้องด้านข้าง เฉินผิงอันซื้ออาหารส่วนหนึ่งมาจากจุดพักม้า ห่อไว้ในห่อสัมภาระเพื่อสะดวกพกพา อีกส่วนหนึ่งใส่ไว้ในหีบหนังสือธรรมดา เพราะหากออกจากบ้านมือเปล่าจะดูสะดุดตาเกินไป
แบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้เผยเฉียนแล้ว เฉินผิงอันก็ไปที่ห้องของตัวเอง ปลดดาบและกระบี่ จุดตะเกียงน้ำมันที่อยู่บนโต๊ะ หยิบมีดแกะสลักและแผ่นไม้ไผ่สีเขียวขจีแผ่นเล็กออกมา เริ่มบันทึกสิ่งที่พบเห็นตลอดการเดินทางในพื้นที่มงคลดอกบัว ด้วยตัวอักษรเท่าหัวแมลงวัน
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เฉินผิงอันเดินไปเปิดประตู เผยเฉียนยืนอยู่ข้างนอก กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ในห้องมืดสนิท ข้ารู้สึกกลัว”
เฉินผิงอันรู้สึกขำ ในใจคิดว่าเจ้าใจกล้าถึงขนาดปีนขึ้นไปนอนหลับบนหลังสิงโตหินของบ้านคนรวย แต่พอได้มาพักอยู่ในห้องกลับกลัวงั้นหรือ?
แต่เฉินผิงอันก็ยังยอมให้นางเข้ามา นางปิดประตูลงอย่างว่าง่าย เฉินผิงอันบอกให้นางนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนพูดช้าๆ ว่า “ที่นี่เรียกว่าใบถงทวีป เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ใหญ่มาก พวกเราจะเดินทางไปยังแจกันสมบัติทวีป บ้านเกิดของข้าอยู่ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องเริ่มเรียนภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปและภาษาทางการของต้าหลีที่เป็นบ้านเกิดข้า”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง พยักหน้ารับอย่างแรง “ได้เลย!”
ไม่ใช่ว่านางอยากเรียนภาษาทางการภาษากลางผายลมสุนัขอะไรนั่น แต่จากความหมายของคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าจะพานางไปบ้านเกิดของเขาด้วย นี่ไม่ใช่หมายความว่าตลอดทางนี้นางสามารถกินฟรีอยู่ฟรี ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่หรอกหรือ?
แต่คำพูดประโยคต่อมาของเฉินผิงอันกลับเหมือนสาดน้ำเย็นใส่หน้านาง ทำให้สีหน้าของเด็กหญิงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง บ่นนินทาในใจไม่หยุด เฉินผิงอันหยิบมีดแกะสลักขึ้นมาสลักตัวอักษรลงบนแผ่นไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินที่เว่ยป้อมอบให้ต่ออีกครั้ง เขาก้มหน้าลง ค่อยๆ ขีดค่อยๆ เขียน ละเลียดบรรจง ขณะเดียวกันก็พูดกับเผยเฉียนด้วยว่า “นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป นอกจากจะสอนภาษากลางและภาษาทางการให้เจ้าแล้ว ยังจะสอนให้เจ้ารู้จักตัวอักษร หากเห็นว่าเจ้าเรียนดีก็จะมีข้าวให้เจ้ากินทุกมื้อ หากเรียนไม่ดีก็อย่าหวังว่าจะได้กิน”
นางหน้ามุ่ย “ข้าโง่มากเลยนะ”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ประหยัดเงินได้แล้ว”
เผยเฉียนแอบเหลือบมองเฉินผิงอัน เห็นว่าเขาไม่เหมือนล้อเล่น นางก็รีบยิ้มทันที “ข้าจะตั้งใจเรียน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถามเสียงเบา “ซื้อเสื้อผ้าให้ข้าสักชุดสองชุดได้ไหม?”
เฉินผิงอันตอบโดยไม่มองหน้า “รอให้อากาศหนาวแล้ว ข้าจะหาเสื้อผ้าหนาๆ ให้เจ้าเพิ่มชุดหนึ่ง”
นางพึมพำ “ฤดูใบไม้ร่วงแล้วนะ อากาศเย็นมากแล้ว อีกอย่างเจ้าดูสิ ขนาดรองเท้าข้ายังเป็นรู จริงๆ นะ ไม่ได้หลอกเจ้า หากข้าเกิดป่วยขึ้นมา เจ้าก็ยังต้องดูแลข้าอีก แบบนั้นจะยุ่งยากมาก…”
พูดมาถึงตรงนี้นางก็ยกเท้าขึ้น รองเท้าของนางขาดจริงๆ เผยให้เห็นนิ้วเท้าสีดำเมี่ยม
เฉินผิงอันวางมีดแกะสลักลง ใช้ปลายนิ้วเช็ดเศษไม้ไผ่เล็กละเอียดที่มองไม่เห็นทิ้งไป “กลับไปนอน พรุ่งนี้ยังต้องออกเดินทางแต่เช้า”
เผยเฉียนไม่พูดอะไรอีก ออกจากห้องไปเงียบๆ พอกลับไปถึงห้องที่อยู่ด้านข้างก็ปิดประตูแล้วยิ้มหน้าบานทันที ก่อนจะรีบตีหน้าเคร่ง บังคับตัวเองไม่ให้หลุดเสียงหัวเราะออกมา นางกระโจนขึ้นไปบนผ้าห่ม กลิ้งตัวอย่างมีความสุข สุดท้ายมองฝ้าเพดาน หลังจากเตะรองเท้าเก่าขาดทิ้งไปแล้วก็เริ่มนึกถึงท่าทางเมื่อครู่นี้ของเฉินผิงอัน นางเลียนแบบเขาด้วยการพูดประโยคนั้นว่า ‘กลับไปนอน’ แต่ไม่กล้าออกเสียง แล้วทำหน้าทะเล้น
ก่อนจะนอน นางกระโดดลงจากเตียงไปจุดตะเกียงที่อยู่บนโต๊ะ แล้วถึงได้นอนหลับไปจนฟ้าสว่าง
ไม่จุดตะเกียงทิ้งไว้ก็เสียเปล่า
คนมีเงินก็ควรทำเช่นนี้
—–