กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 330.3 การช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขา
เฉินผิงอันปลุกเผยเฉียนตั้งแต่เช้า คนทั้งสองกินอาหารแห้งง่ายๆ อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อ ตั้งใจเดินอ้อมผ่านทิศทางที่ตั้งของจวนจินหวงแห่งนั้น
เฉินผิงอันดีดตัวกระโดดขึ้นไปบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ตนหนึ่ง ทอดสายตามองไปไกลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
งานเลี้ยงฉลองแต่งงานของเทพภูเขา เหตุใดถึงกลายเป็นการเข่นฆ่าที่เหมือนไฟลามทุ่งแบบนี้ไปได้?
สนามรบที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้มีบุรุษเกราะทองคนหนึ่งกำลังร่ายเวทคาถา ไอน้ำแผ่อบอวลไปทั่วพื้นดิน เขายืนอยู่บนกระดูกสันหลังสีเขียวขนาดใหญ่ยักษ์ของสัตว์ตัวหนึ่ง ในมือถือทวนเหล็ก
มือกระบี่โครงกระดูกขาวเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว ต่อให้มันจะพยายามทุ่มอย่างสุดกำลัง อีกทั้งยังเรียกรวมผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งมาอย่างลับๆ แต่เมื่อเจอกับปีศาจใหญ่แห่งสายน้ำที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ตนนี้ มันและผู้ใต้บังคับบัญชามากมายของเจ้าเมืองก็ยังตกเป็นรองอยู่ดี เพียงแต่ว่าจวนจินหวงได้เปรียบในเรื่องของชัยภูมิ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายต่างจึงล้มตายเสียหายไม่ต่างกัน
บุรุษชุดคลุมสีทองคนหนึ่งเดินออกจากตำหนักหลักที่สถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว พอเดินออกจากประตูก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ร่างของเขาพลันขยายใหญ่ สองจั้ง สามจั้ง ห้าจั้ง รอจนกระทั่งไปถึงปากทางเข้าหุบเขา ร่างสีทองอร่ามของเขาก็สูงถึงสิบจั้งแล้ว เขาพลันกระโดดตัวขึ้นสูง พริบตาเดียวก็ก้าวผ่านสนามรบที่การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ปล่อยหมัดต่อยไปบนศีรษะของสัตว์ประหลาดที่มีร่างเป็นปลาสีเขียวตัวนั้น
เฉินผิงอันไม่ชมศึกต่ออีก พอพลิ้วกายลงบนพื้นแล้วก็พูดเสียงหนักว่า “ไปกันเถอะ”
เผยเฉียนถามหยั่งเชิง “เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงฟ้าร้อง ในหูมีเสียงดังครืนๆ อยู่ตลอดเวลาเลย”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็หยิบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่งที่เขียนเสร็จนานแล้วออกมา เอามาคีบไว้ด้วยสองนิ้ว แล้วตบลงบนหน้าผากของเผยเฉียนเบาๆ โดยเบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อย จึงไม่บดบังการมองเห็นของนาง พลางเอ่ยเตือนว่า “ตั้งใจเดินทางอย่างเดียวก็พอ มันไม่มีทางร่วงลงมา แต่ก็อย่าฉีกมัน เมื่อมีมันอยู่ ภูตผีปีศาจทั่วไป หากเห็นเจ้าแล้วจะถอยห่างไปด้วยตัวเอง”
ทว่าเวลานี้เอง เสียงคำรามดังสะเทือนเลือนลั่นราวฟ้าผ่าพื้นดินแตกแยกก็ดังขึ้น
นางตกใจสะดุ้งโหยง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ รู้สึกขาอ่อนเดินไม่ไหว พูดเสียงสั่น “ข้ากลัว ขาไม่เชื่อฟัง เดินไม่ไหวแล้ว”
สำหรับภูตผีปีศาจในป่าเขาที่กินเนื้อคนในความรู้สึกของนางเหล่านั้น นางกลัวจริงๆ ตอนนี้จึงไม่ได้แกล้งสำออยให้เฉินผิงอันสงสาร
เฉินผิงอันระอาใจเล็กน้อย ครั้นจึงหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาอีกแผ่นหนึ่ง บอกให้เผยเฉียนถือไว้ในมือ “ยันต์สองแผ่นนี้ล้วนเป็นสิ่งของของเทพเซียน ปกป้องเจ้าได้แน่นอน”
เผยเฉียนชำเลืองตามองยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่ห้อยต่องแต่งอยู่เบื้องหน้า แล้วค่อยมองยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่ในมือแผ่นนั้น พูดเสียงสะอื้น “ให้ยันต์ข้าเพิ่มอีกสักแผ่นเถอะ ข้าจะได้ถือไว้ทั้งสองมือ”
เฉินผิงอันจึงได้แต่หยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาให้นางอีกหนึ่งแผ่น เผยเฉียนที่ถือยันต์ไว้มือละหนึ่งแผ่นเดินไปได้สองก้าวก็โซเซ ยังคงไม่มีเรี่ยวแรง นางตกใจไม่น้อยเลยจริงๆ
เฉินผิงอันพูด “ยันต์สองแผ่นบนมือมีราคามาก ถือไว้ให้ดี แผ่นที่อยู่บนหน้าผากก็ยิ่งล้ำค่า เอาไปซื้อบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนได้เลย หากเจ้าสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง เดินตามข้าไปได้ทัน ข้าก็จะลองพิจารณาดูว่าจะมอบให้เจ้าหนึ่งแผ่น”
เด็กหญิงผอมแห้งน้ำตาคลอเจียนจะหยด ใบหน้าดำเกรียมยับยู่ เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ไม่หลอกข้านะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เสียงสวบดังทีหนึ่งก็วิ่งพุ่งออกไป กางแขนทั้งสองข้างออกเหมือนคนหาบน้ำ ในมือกำยันต์ปราณหยางส่องไฟสองแผ่นนั้นไว้แน่น หน้าผากยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแปะอยู่ มองดูแล้วน่าตลกอย่างยิ่ง
นางวิ่งไปได้ระยะทางหนึ่งยังไม่เห็นว่าเฉินผิงอันตามมาก็รีบหันหน้ามาพูดเสียงสะอื้น “เจ้าวิ่งเร็วๆ หน่อยสิ! หากพวกเราถูกจับได้ขึ้นมา เจ้าตัวใหญ่ พวกมันต้องกินเจ้าก่อนแน่…”
เฉินผิงอันลูบหน้าตัวเองแล้วเดินตามไปเงียบๆ
ดีนักนะ ชื่อเผยเฉียนนี้ไม่ได้ตั้งมาอย่างเสียเปล่าจริงๆ
คราวนี้เด็กหญิงผอมแห้งไม่กล้าแอบอู้อีก นางวิ่งเร็วมาก แล้วก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย
เฉินผิงอันเอาชือซินออกมาห้อยไว้ตรงเอว อีกฝั่งหนึ่งของเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาตรงข้ามกันพอดี
สะพายห่อสัมภาระไว้เฉียงๆ ในมือยังถือเบ็ดตกปลา ก้าวเดินไปตามฝีเท้ายามวิ่งของเผยเฉียน เดินเคียงข้างนางไปตลอดเวลา
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้กังวลถึงความอันตราย ขอแค่ไม่เอาตัวไปไว้ในใจกลางของสนามรบก็ไม่เสี่ยงแล้ว
เผยเฉียนก้าวเดินถี่กระชั้น ความเร็วในการวิ่งเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว แต่เพื่อหนีเอาชีวิตรอดก็ดูเหมือนว่านางจะดึงเอาความคล่องแคล่วและสติปัญญาทั้งหมดมาใช้แล้ว ถึงวิ่งไปบนทางภูเขาได้ไกลถึงสองสามลี้ในรวดเดียว ต้องรู้ว่าเส้นทางภูเขานั้นเดินได้ยากกว่าเส้นทางในเมืองมาก หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้หยุดพัก แต่เปลี่ยนเป็นท่าก้าวเดินปกติด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้เฉินผิงอันเอ่ยเตือน รอจนคืนสติกลับมาถึงชักขาออกวิ่งอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
นี่ทำให้เฉินผิงอันที่แอบสังเกตเด็กหญิงอยู่เงียบๆ อึ้งตะลึงไปนาน
จำต้องยอมรับว่าพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ของนางดีมากจริงๆ
นี่ไม่ใช่สายตาของเฉินผิงอันตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู
แต่เป็นสายตาของเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าหลังจากสังหารติงอิง
ทว่าเรื่องการฝึกตนนี้ก็เหมือนท่าทีที่หร่วนฉงเคยปฏิบัติต่อเฉินผิงอัน ขอแค่ไม่มองว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันก็ไม่มีทางถ่ายทอดวิชาให้แม้แต่คำเดียว ไม่อาจเป็นอาจารย์และศิษย์กันได้ ต่อให้เป็นศูนย์ฝึกวรยุทธ์ที่ตั้งอยู่ข้างตรอกจ้วงหยวนพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนั้น แม้อาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนวิชาหมัดจะไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร แต่ก็ยังยืนกรานว่าหากลูกศิษย์ฝ่ายในไม่มีคุณธรรมในการฝึกวรยุทธ์ก็จะไม่มีทางถ่ายทอดวิชาหมัดอันสูงส่งให้เด็ดขาด แค่ให้ลูกศิษย์สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ก็พอแล้ว
เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่มีความคิดที่จะถ่ายทอดวิชาหมัดให้เผยเฉียนเลยแม้แต่น้อย
เพราะสภาพจิตใจของนางตามตบะของตัวเองไม่ทัน ฝึกวิชาหมัด เรียนมรรคกถาระดับสูง นอกจากรังแกคนอื่น ก่อกรรมทำชั่ว ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นตามใจตัวเองปรารถนาแล้ว จะยังทำอะไรได้อีก? อวี๋เจินอี้ถูกเขาด่าคำเดียวว่าฟักเตี้ยก็คิดจะสังหารคนแล้ว ผู้สูงส่งอยู่ในตำแหน่งสูง การกระทำง่ายๆ อย่างแค่ดีดนิ้วหรือสะบัดปลายแขนเสื้อของพวกเขา อาจกลับกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของมนุษย์ธรรมดาที่อยู่ล่างภูเขา
คนเราย่อมมีเวลาที่พละกำลังสิ้นสุดลง ไม่ว่าเผยเฉียนจะมีพรสวรรค์ดีมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นแค่เด็กอายุเก้าขวบ ร่างกายยังอ่อนแอ พอวิ่งออกไปได้เจ็ดแปดลี้ก็สิ้นเรี่ยวแรง ขยับเดินต่อไม่ไหวอีกแม้แต่ก้าวเดียว นางยืนอยู่ที่เดิม เริ่มคร่ำครวญด้วยความเสียใจ มองชุดคลุมสีขาวของเฉินผิงอันด้วยน้ำตาเอ่อคลอ ความคิดแรกของนางก็คือเจ้าหมอนี่ต้องทิ้งนางไว้ ไม่สนใจนางอีกแล้วแน่ๆ
เอาใจตัวเองไปวัดใจคนอื่น
เผยเฉียนพูดไม่ออกแล้ว
แต่นางกลัวมากว่าคนผู้นี้จะเดินหนีไป
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างกายนาง เผยเฉียนก็รีบฟุบตัวลงบนหลังเขา พอเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน นางก็กอดคอเขาไว้ ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา
เฉินผิงอันเดินไปบนทางเส้นเล็กระหว่างต้นไม้อย่างเชื่องช้า พูดเสียงเบาว่า “ขอแค่เจ้าไม่ทำเรื่องชั่วร้าย ก็ไม่มีทางที่ข้าจะไม่สนใจเจ้า”
เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างแรง ไม่ต้องวิ่งเองแล้วก็เริ่มมีความกล้า สีหน้าท่าทางของเผยเฉียนดีขึ้นมาหลายส่วน พูดถอนสะอื้น “ตกลง นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้าจะเป็นคนดี”
กล่าวจบนางก็เช็ดใบหน้าเล็กๆ ลงบนไหล่ของเฉินผิงอันอย่างแรง พลิกกลับไปกลับมาสองรอบ ในที่สุดก็เช็ดน้ำมูกน้ำตาออกจากใบหน้าได้อย่างหมดจด
เฉินผิงอันแยกเขี้ยว
ฉวยโอกาสที่ตอนนี้เด็กหญิงวางการป้องกันในใจลงชั่วคราว เฉินผิงอันถามยิ้มๆ ว่า “เจ้ามักจะคิดว่าข้ามีเงินแล้วก็ต้องให้เจ้าด้วย นี่เป็นเพราะอะไร? ข้ามีหรือไม่มีเงินเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? ข้ามีภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่งก็ต้องให้เงินเหรียญทองแดงเจ้าหนึ่งเหรียญอย่างนั้นหรือ?”
เด็กหญิงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก็ใช่น่ะสิ! ทำไมถึงจะไม่ให้ข้าล่ะ เจ้าเป็นคนดีไม่ใช่หรือ? เจ้าให้เงินข้าแค่ไม่กี่สิบเหรียญ ก็เหมือนว่าถอนเส้นผมบนหัวไปแค่ไม่กี่เส้นไม่ใช่หรือ? ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี คนดีก็สมควรต้องทำเรื่องดีสิ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ลองเปลี่ยนวิธีการถามใหม่ “หากเจ้ามีเงินมากๆ แล้ววันหนึ่งข้าไม่มีเงินแล้ว เจ้าก็จะยอมให้เงินข้าฟรีๆ โดยไม่คิดอะไรอย่างนั้นหรือ?”
นางเงียบไม่ยอมตอบ
ในใจคิดว่าข้าไม่ใช้เงินทุ่มทับเจ้าให้ตายก็ดีถมไปแล้ว
จากนั้นค่อยกวาดเอาเงินก้อนใหญ่ๆ ทั้งหลายกลับบ้านไปให้เกลี้ยง เงินทั้งหมดก็จะเป็นของนาง!
แม้แต่ศพก็ไม่ช่วยเก็บให้เจ้า
เพียงแต่ว่าคำพูดในใจเหล่านี้ นางไม่กล้าพูดออกไปต่อหน้าเขา
แต่คิดไปคิดมานางก็เริ่มตระหนักได้ถึงข้อหนึ่งนั่นคือ หากคิดจะเอาเงินมาจากมือเจ้าหมอนี่ฟรีๆ คงไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว
เขาไปเอาหลักการมากมายที่น่ารังเกียจพวกนี้มาจากไหนกันนะ? อ่านเจอจากในตำราจริงๆ หรือ? แต่นางกลับรู้สึกว่าทุกตัวอักษรบนหนังสือล้วนน่าเบื่อ
คนทั้งสองต่างคนต่างเงียบ
ฟุบคว่ำอยู่บนแผ่นหลังที่อบอุ่นของเฉินผิงอัน เผยเฉียนเงียบงันไปนาน ก่อนถามเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นคนดี คนดีในใต้หล้าแห่งนี้ก็ล้วนเป็นแบบเจ้า ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบ
มีแรงสั่นสะเทือนส่งมาจากผืนป่าที่ห่างไปไม่ไกล วัตถุขนาดมโหฬารกลิ้งออกมาด้วยพลังอำนาจน่าตกตะลึง เสียงต้นไม้แตกหักดังเป็นระลอก
มันพุ่งตรงมาทางเฉินผิงอันพอดี นั่นคือควายสีดำเขาเดียวที่เขาหัก ร่างโชกไปด้วยเลือด ผิวหนังบนสันหลังปริแตก ระดับความสูงของสันหลังสัตว์เดรัจฉานตัวนี้กลับสูงเกินกว่าบุรุษโตเต็มวัยไปถึงหนึ่งช่วงศีรษะ มันคำรามออกมาด้วยภาษาของมนุษย์ “ไสหัวไป!”
อันที่จริงเฉินผิงอันกะคำนวณทิศทางเส้นทางสายเล็กที่มันต้องผ่านไว้อยู่แล้ว จึงหยุดเดิน
แม้ว่าทั่วร่างของควายตัวนี้จะแผ่ปราณดุร้ายออกมาอย่างท่วมท้น เหมือนมีวิญญาณอาฆาตจำนวนนับไม่ถ้วนรัดพันทั่วเรือนกาย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สั่งสมมาจากการต่อสู้แค่ครั้งเดียว ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่คิดจะลงมือ
นิสัยดุร้ายของควายพลันกำเริบ มันตาแดงก่ำ อยู่ดีๆ กลับเปลี่ยนเส้นทาง พุ่งเข้าชนเจ้าคนที่เกะกะสายตาผู้นั้นอย่างอำมหิต
ต่อให้เรี่ยวแรงของมันจะเป็นเหมือนม้าตีนปลายแล้ว ทว่าหากมนุษย์ธรรมดาโดนมันชน ร่างย่อมแหลกสลายอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันยื่นมืออ้อมผ่านไหล่ไปดึงยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจมาจากหน้าผากของเผยเฉียน แล้วโยนไปยังสัตว์เดรัจฉานที่ถูกทำร้ายจนกลับคืนสู่ร่างจริงตัวนั้น
จากนั้นก็ชักกระบี่ออกจากฝักในชั่วพริบตา
เงื้อกระบี่ฟันฉับลงไป
ควายสีดำถูกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจสยบเอาไว้จึงพุ่งมาข้างหน้าได้อย่างเชื่องช้า ในใจรู้ดีว่าแย่แล้ว ขณะที่กำลังจะหันกลับอ้อมผ่านไปทางอื่น พายุกระบี่เส้นหนึ่งกลับฟันผ่าแสกหน้าลงมา
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง วัตถุขนาดมโหฬารเหมือนระฆังทองแดงก็ถูกกระบี่ผ่าออกเป็นสองท่อน
เก็บกระบี่ใส่ฝัก บังคับยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่ไม่เหลือปราณวิญญาณอยู่แล้วแผ่นนั้นให้กลับเข้ามาในมือ แล้วเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะชายตามองศพที่ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน แบกเด็กหญิงเดินหน้าต่ออีกครั้ง
ห่างออกไปไกล เจ้าเมืองจินหวงที่เร่งรุดเดินทางมาถึงก็มีแต่บาดแผลเต็มร่าง เขาพลันมาหยุดอยู่ใกล้กับศพของเทพวารี ในมือถือทวนเหล็กสมบัติอาคมของปีศาจยักษ์ที่นอนอยู่ข้างฝ่าเท้า เทพภูเขาท่านนี้กลืนน้ำลายลงคอ แม้จะเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แต่กลับไม่มีความหวาดกลัวมากนัก กลับกันยังเกิดความเคารพนับถือจากใจจริงอยู่หลายส่วน เขาประสานมือคารวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “น้อมส่งเซียนซือ”
เฉินผิงอันไม่หยุดเดิน แค่หันหน้ามายิ้มโบกมือให้องค์เทพของพื้นที่แถบนี้ที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรม “แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง คราวหน้าหากมีงานเลี้ยงแบบนี้อีก จวนพวกเจ้าอย่าได้เชิญคนอื่นส่งเดช แม้จะเกิดจากความหวังดี ทว่าบนเส้นทางของการฝึกตนกลัวเรื่องไม่คาดฝันมากที่สุด แต่หากวันหน้าข้าผ่านมายังที่แห่งนี้อีกจะต้องรบกวนท่านเจ้าเมือง ขอดื่มเหล้าสักจอกจากท่านแน่นอน”
มองดูเหมือนว่าวาสนาและหายนะอยู่บนปลายฝั่งสองด้านที่ห่างไกลกัน แต่อันที่จริงกลับอยู่ใกล้กันแค่ชั่วนกจิกอาหารเท่านั้น
เจ้าเมืองเทพภูเขาท่านนั้นกล่าวอย่างอับอาย “ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองจำไว้แล้ว”
เฉินผิงอันแบกเผยเฉียนเดินไปได้อีกหลายสิบลี้ก็วางนางลง หนึ่งคนโตหนึ่งเด็ก หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยจ้องมองตากัน
นางทำหน้าเลื่อนลอยแกล้งโง่
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา
นางยู่หน้าเล็กๆ ตบยันต์ปราณหยางส่องไฟสองแผ่นลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน “ยกให้ข้าแผ่นหนึ่งไม่ได้หรือ? ข้าวิ่งอยู่บนทางภูเขามาตั้งไกลขนาดนั้น สุดท้ายก็วิ่งไม่ไหวจริงๆ นี่นา”
เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าต้องทำให้ดีกว่านี้หน่อย”
เด็กหญิงร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเดินตามมาด้านหลังเขาเงียบๆ
คนใจไม้ใส้ระกำ
คนดีอะไรกัน ถุย ข้ามันตาสุนัขมืดบอดจริงๆ
เฉินผิงอันบิดหูของนาง “วันๆ เอาแต่ด่าว่าคนอื่นอยู่ในใจ ไม่ใช่เรื่องดี”
เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า ร้องโอ้ยๆๆ เสียงดัง “ไม่กล้าแล้วๆ”
เฉินผิงอันถึงได้ยอมปล่อยมือ
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็บิดหูนางอีก
เด็กหญิงตาแดงก่ำ พูดสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ครั้งนี้ไม่กล้าแล้วจริงๆ!”
เดินไปได้อีกสิบกว่าก้าว เฉินผิงอันเพิ่งจะยื่นมือออกมา เผยเฉียนก็นั่งแปะลงไปบนพื้น ร้องไห้จ้าเสียงดัง
เฉินผิงอันไม่สนใจ ยังคงเดินหน้าต่อไป
นางเห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดินก็รีบหยุดร้อง ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองด่าเจ้าหมอนั่นในใจ นางจึงหาวิธีที่สามารถหยุดความคิดของตัวเองได้ นั่นคือเริ่มท่องเนื้อหาในตำราที่ได้เรียนมา สภาพตอนนี้เรียกว่าน่าอนาถจริงๆ
เฉินผิงอันไม่สนใจนางอีก
เดินอยู่ท่ามกลางผืนป่ากว้างขวางที่มีต้นไม้รกครึ้ม
นึกถึงตราประทับตัวอักษรภูเขาชิ้นนั้น เฉินผิงอันก็ยิ่งเงียบงัน
—–