กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 331.1 ข้ามน้ำข้ามภูเขา พบเหยาจึงหยุด
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เฉาฉิงหล่างถึงได้รู้สึกว่ากาลเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลรินอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกวันนี้ลำธารในเทือกเขากลับไหลซู่ๆ ดังถึงขนาดคนได้ยินเสียงน้ำไหล
เพียงชั่วพริบตา ฤดูใบไม้ร่วงก็ผ่านพ้น ฤดูหนาวมาเยือนพร้อมกับหิมะแรกของปี อีกทั้งหิมะแรกนี้ยังตกหนัก หิมะก้อนใหญ่ดุจขนห่านทำให้เฉาฉิงหล่างที่ตื่นนอนตอนเช้าตรู่ นั่งอยู่บนเตียงมองไปยังหิมะขาวโพลนเหม่อลอยไม่กล้าเชื่อ เขารีบสวมเสื้อผ้ารองเท้าแล้วผลักประตูออกไป เรื่องแรกที่นึกถึงคืออยากไปบอกคนคนนั้นว่าหิมะใหญ่ตกแล้ว เพียงแต่พอมองเห็นประตูของห้องด้านข้าง เฉาฉิงหล่างก็เกาหัว ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นั้นไปจากที่นี่นานมากแล้ว แต่เขายังคงรู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าคนผู้นั้นยังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กในลานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเช้าตรู่ก็ดี หรือกลางดึกก็ช่าง แค่ออกจากห้องก็จะได้เห็นเขา อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ยิ้มมองตนเท่านั้น
หวังว่านี่จะเป็นหิมะที่เป็นนิมิตหมายว่าปีนี้เป็นปีที่อุดมสมบูรณ์
เฉาฉิงหล่างเป่าลมใส่มือหนึ่งที เขารู้สึกหนาวเล็กน้อย คิดว่าควรต้องใส่เสื้อผ้าเพิ่มขึ้น เขาจึงถอยกลับเข้าไปในห้อง หลังจากใส่เสื้อผ้าหนาชั้นกว่าเดิมแล้วก็นั่งตัวตรงตรงหน้าโต๊ะไม้ตัวเล็กที่บิดาทำให้เขาด้วยตัวเอง เปิดหนังสือเล่มหนึ่ง เริ่มอ่านบทความของอริยะปราชญ์
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ที่โรงเรียนเปลี่ยนอาจารย์สอนคนใหม่ อาจารย์คนนี้เข้มงวดมากกว่าเดิม ดูเหมือนว่าจะมีความรู้มากด้วย อธิบายหลักการเหตุผลได้เข้าใจชัดเจน ต่อให้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ไม่ชอบเรียนหนังสือมากที่สุดก็ยังเข้าใจได้กระจ่างแจ้ง เป็นอาจารย์ที่เก่งมาก
เฉาฉิงหล่างอ่านหนังสือจบก็ถูมือเข้าด้วยกันหาความอบอุ่น เขารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เงินในบ้านเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
หลังจากที่พ่อแม่เสียไป ทางที่ว่าการก็มอบเงินทำขวัญให้ก้อนหนึ่ง แต่ไม่ได้ให้เขาในครั้งเดียว ทุกๆ เดือนทางที่ว่าการจะนำมามอบให้เขาตามกำหนดเวลา
เฉาฉิงหล่างไม่ได้คิดมาก คิดแค่ว่าที่ว่าการคงทำงานกันเช่นนี้ อีกอย่างเขาไม่มีพ่อแม่แล้ว อีกทั้งยังไม่มีญาติพี่น้องอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ก่อนหน้านี้คิดจะกินอะไร ซื้ออะไรก็แค่บอกกับผู้ปกครอง ตอนนี้เขาต้องคิดคำนวณอย่างละเอียดด้วยตัวเอง เงินเหรียญทองแดงทุกเหรียญล้วนถูกนำมาใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง รสชาติเช่นนี้ไม่ได้ดีนัก แต่ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป
ยังดีที่ช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปได้ยากมากที่สุดมีคนผู้นั้นอาศัยอยู่ในบ้าน ทำให้เฉาฉิงหล่างที่ต้องเฝ้าบ้านหลังนี้อยู่เพียงลำพังพอจะคลายความคิดถึงลงไปได้บ้าง
เฉาฉิงหล่างเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหนังเลียงผาเหลืองคู่หนึ่งที่เหมาะสำหรับสวมออกจากบ้านในช่วงฝนตกหรือหิมะตก เพียงแต่ว่าตอนที่สวมรองเท้าเฉาฉิงหล่างกลับร้องไห้ รองเท้าคู่นี้ท่านแม่ของเขาซื้อให้เมื่อวันสิ้นปี แล้วของปีนี้ล่ะ?
ยังดีที่เพียงไม่นานเฉาฉิงหล่างก็สงบสติอารมณ์ตัวเองได้ เขาไปหาอะไรกินง่ายๆ ที่ห้องครัว เสร็จแล้วก็เตรียมตัวออกจากบ้านไปโรงเรียน เพียงแต่ว่าตอนที่บรรจุหนังสือใส่ห่อผ้าอยู่ในห้อง เฉาฉิงหล่างเหม่อลอยเล็กน้อย คนผู้นั้นบอกว่าหากมีเวลาว่างจะทำหีบไม้ไผ่ใบเล็กๆ ให้เขา ในตำราบอกว่าวิญญูชนรักษาคำพูด หนึ่งคำพูดมีค่าดุจทองพันชั่ง ถ้าอย่างนั้นเขาคงจะมีธุระด่วนจริงๆ กระมัง เพียงแต่ไม่รู้ว่าคราวหน้าที่พบเจอกันจะเป็นเมื่อไหร่
เฉาฉิงหล่างหยิบร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งขึ้นมา สะพายห่อผ้าเดินออกจากบ้าน แล้วก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าด้านนอกมีคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งเดินผ่านไป เขาก็คืออาจารย์จ้งของที่โรงเรียน นี่เป็นแซ่ที่ประหลาดมาก อาจารย์ผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียว ในมือของเขาก็ถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งอยู่เช่นกัน พอเห็นเฉาฉิงหล่างก็หยุดเดิน เอ่ยถามว่า “บังเอิญจริง เจ้าพักอยู่ที่นี่หรือ?”
เฉาฉิงหล่างคิดจะวางร่มลงเพื่อคารวะอาจารย์จ้งที่เดินผ่านหน้าบ้านโดยบังเอิญ อาจารย์จ้งกลับโบกมือบอกว่า “ไม่ต้อง หิมะกำลังตกหนัก”
อาจารย์จ้งมีความรู้ลึกล้ำ ทว่าเวลาที่ถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจให้ลูกศิษย์กลับไม่ชอบยิ้มแย้ม ทุกคนต่างก็กลัวเขามาก เฉาฉิงหล่างเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับสหายร่วมห้องแล้วเขามีความเคารพนอบน้อมมากกว่าความกลัวก็เท่านั้น ดังนั้นพออาจารย์ท่านนี้บอกว่าไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ เฉาฉิงหล่างจึงเชื่อฟังคำสั่งของผู้เฒ่าแต่โดยดี หลังจากนั้นหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กที่ต่างคนต่างถือร่มก็เดินไปด้วยกันในตรอกเล็กที่หิมะทับถมสูง
แน่นอนว่าอาจารย์จ้งย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวในครอบครัวของเฉาฉิงหล่างมาก่อน ถึงอย่างไรเด็กหลายคนที่เป็นเพื่อนบ้านของเขาก็คือสหายร่วมห้องและเพื่อนเล่นของเขาในโรงเรียนด้วย สายตาที่พวกเขามองเฉาฉิงหล่างไม่เหมือนมองเด็กคนอื่น รวมไปถึงคำพูดซุบซิบที่คนเหล่านั้นพูดกัน เฉาฉิงหล่างได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ดังนั้นผู้เฒ่าจึงถามว่า “ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง มีเรื่องยากลำบากอะไรหรือไม่?”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้ายิ้มให้ “ตอบอาจารย์ ไม่มีขอรับ”
คำตอบสั้นกระชับอยู่ในกรอบ ถ้อยคำและท่าทีต่างก็ไม่เหมือนเด็กในตรอกยากจน มิน่าเล่าถึงได้ถูกเด็กหญิงผอมแห้งเรียกอย่างเหน็บแนมว่านักปราชญ์น้อย
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับแล้วพูดอีกว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็อายุยังน้อย หากมีอุปสรรคที่ข้ามผ่านไปไม่ได้จริงๆ ก็บอกข้าได้ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกลำบากใจ ความยากลำบากในชีวิตคนมีบอกไว้มากมายทั้งในและนอกตำรา อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นข้า ตอนอายุเท่าเจ้าก็ยังมีช่วงเวลาที่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่เหมือนกัน”
เฉาฉิงหล่างอืมรับหนึ่งที “อาจารย์ ข้าทราบแล้ว หากมีเรื่องลำบากจริงๆ ข้าจะไปหาอาจารย์”
ลังเลอยู่เล็กน้อย เฉาฉิงหล่างก็กล่าวอย่างอายๆ ว่า “คราวก่อนระหว่างทางที่คนผู้หนึ่งพาข้าไปส่งที่โรงเรียนก็เคยพูดคำพูดที่คล้ายคลึงกับอาจารย์ เขาบอกข้าว่าในอนาคตที่ข้าต้องเรียนหนังสือและหาเลี้ยงชีพ การขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคนอื่นไม่ช่วยก็ห้ามตำหนิหรือเคียดแค้น หากคนอื่นช่วยเหลือก็จำเป็นต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ”
อาจารย์จ้งคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก “คนผู้นั้นชื่อเฉินผิงอันกระมัง?”
เฉาฉิงหล่างตะลึงงัน “อาจารย์รู้จักเขาด้วยหรือ?”
อาจารย์จ้งพยักหน้ารับ “ข้ากับเขาเป็นเพื่อนกัน คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าก็จะรู้จักกันด้วย”
เฉาฉิงหล่างพลันยิ้มอย่างอารมณ์ดี
เฉินผิงอันเป็นสหายของอาจารย์จ้งด้วยหรือนี่
อาจารย์จ้งสั่งสอนหน้าเคร่ง “อย่าได้รู้สึกว่าพอมีความสัมพันธ์ชั้นนี้แล้ว เมื่อเจ้าไม่ตั้งใจเรียนแล้วข้าจะไม่ตีเจ้า”
เฉาฉิงหล่างรีบพยักหน้ารับ
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็ก อาจารย์และลูกศิษย์เดินไปบนถนนเส้นใหญ่ที่ทางการซ่อมแซมจนกลับมาราบเรียบเหมือนเดิมแล้ว ก้าวย่างเชื่องช้า เฉาฉิงหล่างใจกล้าขึ้นมาหน่อยจึงถามอาจารย์ว่ารู้จักกับเฉินผิงอันได้อย่างไร อาจารย์จ้งบอกแค่ว่ามีนิสัยคล้ายคลึงกัน แม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่กลับเป็นสหายกันได้
หิมะก้อนใหญ่ร่วงกราวลงมายังโลกมนุษย์ไม่ยอมหยุดพัก ทว่าในใจเฉาฉิงหล่างกลับอบอุ่น เขาเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียนพร้อมกับอาจารย์แล้วหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง
ครั้งสุดท้ายที่พบกันก็คือการจากลา คนผู้นั้นหยุดยืนอยู่ตรงนั้น พอเอ่ยประโยคนั้นแล้วเขาที่ถือร่มไว้ในมือก็มองส่งตนเดินเข้าไปในโรงเรียน
อาจารย์จ้งที่อยู่ข้างหน้าหันมาถาม “เป็นอะไรไป?”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า คลี่ยิ้มเจิดจ้า ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในโรงเรียน
หลังจากที่อาจารย์จ้งนั่งลงประจำที่ของตัวเอง รอจนเด็กนักเรียนทุกคนมาครบแล้วจึงเริ่มถ่ายทอดวิชาความรู้
จอนผมสองข้างของอาจารย์ผู้เฒ่าเป็นสีขาวหิมะ สวมชุดเขียว เอื้อนเอ่ยเชื่องช้า เวลาที่อธิบายหลักการเหตุผลของเหล่าอริยะปราชญ์กับพวกนักเรียนก็ยังคงสามารถสร้างภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ใกล้เคียงกับอริยะปราชญ์ตัวจริง
……
ตระกูลขุนนางแห่งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่มีจวนลึกหลายชั้น หอเก็บตำราส่วนตัวของคนตระกูลนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองหลวง วันนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสถานะเป็นบุตรอนุภรรยาขึ้นหอมาอ่านหนังสือ เขามักจะมาอ่านหนังสืออยู่ที่นี่เป็นประจำ เพียงแต่ว่าหนังสือที่ถูกเก็บรักษาไว้ล้ำค่ามาก กฎของตระกูลไม่เพียงแต่ห้ามถือเทียนขึ้นมาบนหอ ยังห้ามไม่ให้เอาหนังสือออกไปข้างนอก ในชั้นไม้ที่วางตำราหายาก ตำราที่มีเล่มเดียวไว้มากมายต่างก็ถูกปิดเอาไว้ อีกทั้งยังห้ามไม่ให้ใครเปิดออกโดยพลการด้วย
วันนี้เด็กหนุ่มหงุดหงิดเล็กน้อย ในใจเขากลัดกลุ้ม อันที่จริงเขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่ออ่านหนังสือ แค่ต้องการมาหาที่พักผ่อนจิตใจที่สงบสักแห่งเท่านั้น
สองการสอบครั้งใหญ่ที่เปิดให้แก่นักเรียนทุกคนในเมืองหลวงอย่างการสอบระดับอำเภอและการสอบระดับจังหวัด เด็กหนุ่มล้วนผ่านมาหมดแล้ว ได้รับสถานะถงเซิง ทว่าผลสอบกลับไม่โดดเด่นนัก ดังนั้นจึงไม่ได้กลายเป็นซิ่วไฉ แค่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบระดับเยวี่ยนซื่อเท่านั้น นี่ทำให้เขารู้สึกละอายใจต่อมารดามาก พี่ชายสองคนที่เข้าร่วมสอบระดับอำเภอและระดับจังหวัดพร้อมกันกับเขาต่างก็ได้เป็นซิ่วไฉกันทั้งสองคน แม้ว่าเด็กหนุ่มที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะผู้รอบรู้จะสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาที่เขียนบทความได้ธรรมดา ความรู้ไม่ลึกซึ้งกว้างไกลเท่าเขาถึงได้คะแนนสอบดีกว่า ก่อนหน้านี้เขาแค่คิดว่าตัวเองแสดงออกได้ไม่ดีตอนอยู่ในสนามสอบ ส่วนพี่ชายสองคนที่เป็นบุตรภรรยาหลวงกลับแสดงออกได้ยอดเยี่ยมกว่า แต่วันนี้ได้ยินคำพูดด้วยความเมามายของพี่ชายสองคนโดยบังเอิญ พวกเขาเปิดเผยความลับที่ทำให้สอบผ่านระดับอำเภอและระดับจังหวัดจนได้เป็นซิ่วไฉออกมา นั่นคือบิดาของพวกเขาแอบติดสินบนอาจารย์ผู้คุมสอบอย่างลับๆ
เพราะท่านปู่ของคนทั้งสามเคยเป็นเจ้ากรมพิธีการ มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วหล้า เคยเป็นผู้จัดการสอบระดับมณฑลของแคว้นหนันเยวี่ยนอยู่หลายครั้ง ขุนนางหลักที่คุมการสอบระดับอำเภอและระดับจังหวัดพบท่านปู่ของพวกเขาต่างก็พากันเรียกด้วยความเคารพว่าจั้วซือ ฝางซือ (คำที่ใช้เรียกผู้คุมสอบหลักในการสอบเคอจวี่ด้วยความเคารพ) นี่คือความสัมพันธ์ของ ‘อาจารย์และศิษย์’ ที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว เด็กหนุ่มเชื่อมั่นว่าท่านปู่ไม่มีทางทำเรื่องสกปรกแบบนี้แน่นอน ต้องเป็นพี่ชายสองคนที่อาศัยชื่อของท่านพ่อเป็นข้ออ้างโดยไม่สนใจว่าจะทำลายขนบธรรมเนียมของวงศ์ตระกูล วางแผนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ
หากเพียงแค่นี้ก็ยังพอทำเนา แม้ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นบุตรอนุภรรยา แต่เกิดมาในตระกูลชนชั้นสูง ย่อมต้องรู้ถึงความลับในวงการขุนนางมาบ้าง แต่ฟังจากบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความลำพองใจของพี่ชายทั้งสองคน เหตุใดพี่ชายคนโตถึงจงใจคิดเอาชนะตน? เพื่อช่วงชิงตำแหน่งซิ่วไฉที่เดิมทีเป็นของในกระเป๋าของตนไป? เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงชั้นบนสุดของหอหนังสือ มองชั้นหนังสือและตำรามากมายแล้วคลี่ยิ้มขมขื่น เหล่าตระกูลผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงใหญ่โตแห่งนี้ นอกจากตนที่เป็นบุตรอนุภรรยาแล้ว ตอนนี้ยังจะมีคนวัยเดียวกันของกี่สักตระกูลที่เต็มใจมาค้นหาหนังสืออ่านอยู่ที่นี่? ตำราที่มีค่ามากมายขนาดนั้นกลับต้องถูกพันธนาการอยู่ในหอสูงปีแล้วปีเล่า ไร้คนถามถึง นี่ไม่น่าเสียหายหรอกหรือ?
เด็กหนุ่มยกหลังมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตา “เรียนหนังสือมีประโยชน์กับผายลมอะไร มองต้นไม้หยกหน้าลานบ้านกะผีน่ะสิ…”
หลังจากบ่นจบ เด็กหนุ่มก็เริ่มค้นหาหนังสือ ถึงอย่างไรก็ยังต้องสอบระดับเยวี่ยนซื่อ จึงยังต้องอ่านตำราของอริยะปราชญ์ ต่อให้ไม่อ่านหนังสือเพื่อตัวเอง ไม่สอบเอาตำแหน่งมาเพื่อตนเอง ก็ไม่ควรทำให้ท่านแม่ต้องผิดหวังอีกแล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้เขาอารมณ์ไม่ดี จึงอยากหาตำราที่ไม่ใช่พวกคัมภีร์มาอ่านก่อน เดินเลือกไปตลอดทาง สุดท้ายเลือกผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ที่เกือบจะใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งออกมา แต่แล้วเด็กหนุ่มก็อึ้งตะลึงไปครู่ เขาเพิ่งจะเปิดปกในออกก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นิ้วมือเลิกหน้ากระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นก็พบว่าด้านในมีเหรียญเงินอยู่เหรียญหนึ่ง ค่อนข้างแตกต่างจากเหรียญทองแดงของแคว้นหนันเยวี่ยน ตัวอักษรแปลกตา ไม่ใช่เงินที่ทำมาจากเหล็กหรือทองแดง มองเหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยก โปร่งใสแวววาว
เหรียญสอดแทรกอยู่ตรงกลางตำราทำให้หน้าหนังสือสองหน้ามีรอยกดทับเล็กน้อย ตรงรอยกดทับมีประโยคเก่าแก่ประโยคหนึ่งที่คนเรียนหนังสือต่างก็รู้จัก แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าทุกคนจะเชื่อ
นั่นคือประโยคที่ว่า ในตำราซ่อนไว้ซึ่งบ้านเรือนทอง ในหนังสือซ่อนไว้ซึ่งอนงค์น้อง ในตำรามีธัญพืชนานา
เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ ลังเลอยู่นานมากก่อนจะเก็บมันเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อเงียบๆ คิดจะเอามันไปให้มารดาดู
คิดไม่ถึงว่าการที่เขาเอาเหรียญชิ้นนี้ไปเกือบจะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เด็กหนุ่มอยู่ในห้องเรียนของตระกูล ได้หยิบเหรียญนี้มาถือไว้ในฝ่ามือ พี่ชายของเขาเห็นเข้าโดยบังเอิญ ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะใส่ร้ายว่าตนขโมยเครื่องประดับบนโต๊ะหนังสือมา อีกฝ่ายโวยวายเสียงดังจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ถึงขั้นรู้ไปถึงหูของท่านปู่ที่ไม่สนใจเรื่องทางโลกมานานหลายปีแล้ว หลังจากนั้นเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ตั้งใจฝึกวิชาลัทธิเต๋ามานานปีก็เก็บเหรียญนั้นไป อีกทั้งยังเรียกรวมตัวผู้ดูแลทุกคนที่ไว้ใจได้ในจวน ใช้เวลาถึงหนึ่งคืนสองวันถึงจะสามารถพลิกเปิดตำรานับหมื่นเล่มที่เก็บไว้ในหอหนังสือได้จนครบถ้วนไม่ตกหล่น ทว่ากลับไม่เจอเหรียญเงินเหรียญที่สอง
เจ้ากรมผู้เฒ่าออกคำสั่งให้ทุกคนถอยออกไปจากหอหนังสือ ใครก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ หาไม่แล้วจะถูกขับออกจากตระกูลทั้งหมด ผู้เฒ่านั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพังเป็นนาน สุดท้ายก็ไปหาหลานชายที่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวคนนั้นมา พาเด็กหนุ่มย้อนกลับไปที่หอหนังสือ แล้วผู้เฒ่าก็มอบทั้งเหรียญทั้งผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ที่เคยทับเหรียญเล่มนั้นไปให้เด็กหนุ่มพร้อมกัน พูดพลางยิ้มบางๆ ว่า “หากมีเหรียญแบบนี้สองเหรียญ เจ้าก็ไม่มีโชควาสนาของตระกูลเซียนนี้แล้ว จงรับไปอย่างสบายใจเถอะ นี่สมควรเป็นของเจ้า วันหน้าตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี ตำราทุกเล่มที่อยู่ในหอเก็บตำราแห่งนี้จะเปิดออกเพื่อเจ้า เจ้าเลือกอ่านได้ตามใจชอบ อีกทั้งยังสามารถเอาออกไปจากหอหนังสือได้ด้วย”
เด็กหนุ่มที่ได้รับโชคดีในความโชคร้ายรับหนังสือมาด้วยความมึนงง
—–