กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 332.1 ใบไหวเหยา
ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน เพียงแต่ว่าฝ่ายของม้าเหล็กตระกูลเหยาเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอันที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า
ผู้ฝึกกระบี่พูดเบาๆ สองคำว่าไม่ต้องรีบร้อน ‘ข้ารับใช้’ ผู้นั้นจึงข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ ใช้ปลายเท้าปาดลงไปบนพื้นดินด้วยความเบื่อหน่าย
ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนสวมชุดผ้าป่านสีขาว การเข่นฆ่าที่ศักยภาพของสองฝ่ายแตกต่างกันมากทำให้บนร่างของเขาไม่มีคราบเลือดเลยแม้แต่จุดเดียว
บุรุษหน้าตาหล่อเหลา เพียงแต่ว่าดวงตาแคบยาว ริมฝีปากบางเฉียบ เป็นเหตุให้ลักษณะของเขาดูเหมือนคนโหดเหี้ยม เขาไม่ได้พกกระบี่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขามีระดับความยาวเท่ากับกระบี่พกของมือกระบี่ เวลาที่ออกจากช่องโพรงในร่างมาสังหารศัตรูก็เหมือนมังกรเพลิงนอนขดตัว เพียงแค่ดาบและทวนของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาสัมผัสโดนก็ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับมีดหั่นเต้าหู้อย่างไรอย่างนั้น
ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายของเขาคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวร่างกำยำคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง หรือก็คือเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่คนบนภูเขาเรียกกัน
เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เขาเคยเก็บมาจากร่างของราชครูแคว้นกู่อวี๋หนึ่งเม็ด ตอนอยู่ภูเขาห้อยหัวก็ได้ซื้อเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ผุพังแต่ระดับขั้นสูงมากมาชิ้นหนึ่ง ภายหลังได้ลู่ไถช่วยซ่อมแซมให้จนเหมือนใหม่ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้สวมใส่ เพราะถึงอย่างไรชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างของเฉินผิงอันก็หาได้ยากยิ่งกว่า
คนทั้งสองร่วมมือกันอย่างคุ้นเคย ผู้ฝึกกระบี่บังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้สังหารศัตรู ผู้ฝึกยุทธ์ปกป้องอยู่ข้างกายผู้ฝึกกระบี่ คอยป้องกันพวกปลาที่หลุดลอดจากแหของกองม้าเหล็กตระกูลเหยาไม่ให้เข้ามาต่อสู้ประชิดตัวผู้ฝึกกระบี่ รวมไปถึงช่วยผู้ฝึกกระบี่ป้องกันลูกธนูจากมือธนูที่มาจากเหล่าทหาร หลายครั้งที่องศาการยิงของลูกธนูเหล่านี้เล็งเข้าจุดสำคัญ ผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ก็จะใช้ร่างกายบดบังวิถีโคจรของลูกธนูโดยตรง สุดท้ายลูกธนูก็แค่ทำให้เกิดประกายไฟเล็กๆ บนพื้นผิวของเสื้อเกราะน้ำค้างหวานสีขาวหิมะ การเผาผลาญปราณวิญญาณที่เก็บสะสมไว้ในเสื้อเกราะตัวนี้ เกรงว่าคงไม่ถึงหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเลยด้วยซ้ำ ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตของคนเป็นๆ
ผู้ฝึกตนอิสระในป่าเขาชื่นชอบการเสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความร่ำรวยมากที่สุด หากพบเจอโชควาสนาก็กล้าจะเดินเข้าหาความเสี่ยง พื้นที่ลับเล็กใหญ่อย่างกระท่อมของเจินเหรินบรรพกาล จวนตระกูลเซียน พื้นที่สวรรค์ถ้ำมงคลที่แตกแล้วร่วงลงมาซึ่งถูกค้นพบ ถูกขุดค้นเหล่านั้น พอปรากฏสู่สายตาชาวโลกก็จะต้องมีผู้ฝึกตนอิสระกรูกันเข้าไปหา เพื่อช่วงชิงวัตถุวิเศษหรือสมบัติอาคมมาให้ได้สักชิ้น ตีกันจนสองฝ่ายสมองเละแตกกระจาย เพื่ออะไร? ก็ไม่ใช่เพื่อความรู้สึกสาแก่ใจที่สามารถบดขยี้คนอื่น หากไม่อาศัยศาสตราวุธคมกริบสังหารผู้คน ก็อาศัยสมบัติอาคมป้องกันกาย ฟันแทงไม่เข้า คาถาอาคมมิอาจรุกราน มองดูศัตรูสิ้นหวังหรอกหรือ
ผู้ฝึกกระบี่ก้าวเดินอยู่ในสนามรบอย่างผ่อนคลาย กระบี่บินหนึ่งเล่มลากตวัดแสงกระบี่เจิดจ้าเป็นเส้นๆ ไว้ในรัศมีหนึ่งร้อยจั้ง
ผู้ฝึกยุทธ์คอยตามติดดุจเงา ป้องกันรอบด้านของผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนไว้อย่างแน่นหนา
ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนเป็นเหมือนกระบี่ของเขาที่ปราดเปรียวว่องไว ไม่เคยกระทำการใดๆ ที่เกินความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย
ทว่าผู้ฝึกยุทธ์ร่างกำยำผู้นั้นกลับไม่เหมือนกัน นิสัยของเขาดุร้าย แต่กลับไม่สามารถไล่ตามไปเข่นฆ่ากองทัพม้าเหล็กได้อย่างสาแก่ใจ ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้ฝึกกระบี่สามารถทำร้ายทหารกล้าตระกูลเหยาให้บาดเจ็บสาหัส พลัดตกลงมาจากหลังม้า ไม่ว่าจะตายคาที่หรือไม่ ขอแค่อยู่บนเส้นทางเดียวกับที่คนทั้งสองผ่านไป ก็จะต้องถูกเขาเหยียบกะโหลกจนแตก หรือไม่ก็กระทืบหน้าอกของทหารม้าให้ยุบยวบ ทั้งเสื้อเกราะที่ปริแตกและเนื้อหนังยุบรวมเข้าด้วยกัน สภาพนั้นน่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้
บนฟ้ามีคนร่วงลงมา?
ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนมองคนที่มาขวางทางแล้วหยุดเดิน เอ่ยถามยิ้มๆ ด้วยภาษากลางของทวีปหนึ่ง “เจ้าคือข้ารับใช้ใหม่ของสกุลหลิวต้าเฉวียนอย่างนั้นรึ?”
ในใบถงทวีปมีภูเขาและแม่น้ำมากมายขวางกั้นสถานที่ต่างๆ ตามบันทึกในหนังสือเทพเซียน เมื่อเทียบกับแจกันสมบัติทวีปแล้วก็ยิ่งสิบลี้ต่างสำเนียง ร้อยลี้ต่างประเพณี ดังนั้นบุคคลในระดับสูงของแต่ละประเทศจึงมักจะเชี่ยวชาญภาษากลางของใบถงทวีป โดยเฉพาะพวกขุนนางในกรมพิธีการ
บุรุษร่างกำยำผู้นั้นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “อาจารย์จะมัวเสียเวลาพูดกับเขาทำไม ฆ่าเขาซะก็สิ้นเรื่อง ก็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตต่ำกว่าขั้นเจ็ด ฆ่าผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่หนุ่มขนาดนี้สิถึงจะสาแก่ใจ”
ผู้ฝึกกระบี่เอ่ยยิ้มๆ “มีปลาตัวใหญ่เพิ่มมาอีกหนึ่งตัว ก็ไม่ได้ตรงกับความต้องการของข้าพอดีหรอกหรือ?”
แม้ว่าผู้ฝึกกระบี่จะหยุดเดินเพื่อพูดคุยกับเฉินผิงอัน แต่กระบี่บินเล่มนั้นของผู้ฝึกกระบี่กลับลอยอยู่ด้านหน้าสุดของทิศทางที่พวกทหารม้าเหล็กตระกูลเหยาหนีไป
การไล่ฆ่าครั้งนี้ นอกจากก่อนหน้านั้นที่สองคนร่วมมือกันลอบโจมตี จนกระทั่งสังหารผู้ฝึกตนที่ติดตามกองทัพม้าเหล็กของตระกูลเหยาไปได้อย่างสุ่มเสี่ยงแล้ว หลังจากนั้นผู้ฝึกกระบี่ก็คอยควบคุมกระบี่บินอยู่ตลอดเวลา เขาเลือกสังหารกองทหารม้าเหล็กตระกูลเหยาที่อยู่รอบนอกสุดก่อน ฆ่าคนที่หลุดพ้นจากวงล้อมมาให้ได้ก่อน นี่ก็คือกฎในการเล่นเกมของเขา
เสื้อเกราะที่ผู้เฒ่าสวมอยู่ไม่ได้ต่างจากของทหารม้าที่อยู่รอบกาย นี่น่าจะเป็นเกราะเบาที่ทหารชายแดนของราชวงศ์ต้าเฉวียนสวมใส่ เขาเอามือกุมท้อง ระหว่างร่องนิ้วมีแต่เลือดสด แม้ว่าสภาพจะอเนจอนาถ แต่ผู้เฒ่ากลับมีสีหน้าเป็นปกติ ไม่มีความห่อเหี่ยวหรือขลาดกลัว ต่อให้ทหารกล้าใต้บังคับบัญชาที่ปกป้องเขาจะบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก เหล่าผู้กล้าไม่ได้หวนกลับคืนบ้านเกิดอย่างงดงาม ถึงขั้นไม่ได้ตายในสนามรบชายแดนอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่ต้องมาตายอยู่ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีที่สกปรกของราชสำนัก
จุดลึกในดวงตาของผู้เฒ่ามีความละอายใจและเสียใจ แต่เขากลับไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย
ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาหลายสิบปี เห็นความเป็นความตายมาจนเคยชิน บวกกับที่คนใจอ่อนมิอาจควบคุมกองทัพได้ แม่ทัพผู้เฒ่าที่มีอำนาจอยู่ทางชายแดนทิศใต้ผู้นี้จึงมีนิสัยสุขุมลุ่มลึกผิดจากคนปกติทั่วไป
ทหารม้าเหล็กตระกูลเหยาที่เหลืออยู่ร้อยกว่าคนให้การปกป้องผู้เฒ่าอย่างเต็มกำลัง ไม่มีใครเกิดความหวาดกลัวเพียงแค่เพราะเจอกับนักฆ่าที่ฝีมือแข็งแกร่ง
ตระกูลเหยาปกครองทหารด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวด
ยกตัวอย่างเช่นลูกหลานสกุลเหยาที่ไม่ว่าจะเป็นบุตรภรรยาเอกหรือบุตรอนุภรรยา ตอนเป็นเด็กก็เชี่ยวชาญการขี่ม้าและยิงธนูแล้ว หลังอายุสิบห้าต่างก็ต้องเข้าร่วมกองทัพ ต้องเริ่มจากเป็นทหารสอดแนมที่ระดับขั้นต่ำที่สุด บุรุษตระกูลเหยาที่ตายไปในสนามรบของชายแดนมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
เป็นเหตุให้คำกล่าวขานถึงหญิงหม้ายสกุลเหยาโด่งดังไปหลายแคว้น
เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้าไปมองกองทัพม้ากองนั้น แต่ถามแม่ทัพผู้เฒ่าด้วยคำถามที่ประหลาดมาก “ท่านแม่ทัพแซ่เหยา? บรรพบุรุษของท่านมีความเกี่ยวข้องกับสกุลเหยาของราชวงศ์ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปหรือไม่?”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ราชวงศ์ต้าหลี? ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
แม่ทัพผู้เฒ่าลังเลอยู่เล็กน้อยก็กล่าวว่า “แต่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสกุลเหยาในต้าเฉวียนมาจากแจกันสมบัติทวีปจริงๆ ทว่ามาจากจุดใดในแจกันสมบัติทวีปกันแน่ บรรพบุรุษกลับเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ตอนนั้นที่สั่งให้คนเขียนบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลก็บอกแค่ว่ามีชาติกำเนิดจากเตาเผามังกร รวมไปถึงเขียนขนบธรรมเนียมบางอย่างของบ้านเกิดไว้เท่านั้น อีกอย่างยังบอกอย่างชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้ลูกหลานรุ่นหลังไปค้นหาต้นตระกูลที่แจกันสมบัติทวีป”
เฉินผิงอันถามอีก “บรรพบุรุษของท่านแม่ทัพเคยพูดถึงชื่อของตรอกอะไร หรือ…ต้นหลิ่วใหญ่ที่มีใบหนาครึ้มบ้างหรือไม่?”
แม้ผู้เฒ่าอยากจะตอบว่าเคย เพราะบางทีหากมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนประหลาดผู้นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสเอาชีวิตรอด แต่นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาของเขากลับไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้น อีกทั้งนี่ยังเกี่ยวพันไปถึงภูมิลำเนาเดิมของบรรพบุรุษ เขาที่เป็นลูกหลานรุ่นหลังจะพูดถึงส่งเดชได้อย่างไร จึงกล่าวเสียงหนักว่า “ไม่ได้พูดถึงตรอกอะไร แล้วก็ไม่ได้พูดถึงต้นหลิ่วอะไรด้วย พูดแค่ว่ากลิ่นหอมของดอกไหวที่บ้านเกิดไม่เลวเลย บ้านบรรพบุรุษสกุลเหยาของข้าในต้าเฉวียนจึงมีต้นไหวเก่าแก่อยู่ต้นหนึ่งที่อายุเป็นพันปีแล้ว”
เฉินผิงอันถึงได้หันหน้ากลับมาส่งยิ้มพลางพยักหน้าให้ผู้เฒ่า “เข้าใจแล้ว”
ผู้เฒ่ายิ่งสงสัยมากกว่าเดิม เจ้าเด็กคนนี้หมายความว่ายังไงกันแน่?
ดูเหมือนผู้ฝึกกระบี่เองก็กำลังรอข้อมูลอะไรบางอย่าง หางตาของเขาจึงหลุกหลิกอยู่ไม่นิ่งตลอดเวลา และดูเหมือนว่าจะได้คำตอบที่ต้องการแล้ว จึงพูดสัพยอกว่า “พวกเจ้าสองคนพูดคุยถามไถ่กันจบแล้วหรือยัง? คุยจบแล้วพวกเราจะได้ทำเรื่องเป็นการเป็นงานกันสักที”
มือทั้งสองข้างของเฉินผิงอันกดลงบนด้ามกระบี่ชือซินและด้ามดาบหยุดหิมะ เอ่ยถามว่า “มีคนจ่ายเงินจ้างคนดุร้ายมาฆ่าคน? ส่วนพวกเจ้าก็คือคนที่รับเงินแล้วช่วยดับทุกข์ให้คนอื่นสินะ?”
ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าจนใจ “เจ้านี่พูดมากจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้ม “ไม่ได้เป็นบ่อยหรอก เพิ่งจะมาเป็นกับพวกเจ้านี่แหละ”
ท่ามกลางกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยามีนายทหารเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายแม่ทัพผู้เฒ่าอยู่หลายส่วน เขามองผู้ฝึกกระบี่ที่นิสัยโหดเหี้ยมดุร้าย ฆ่าคนเหมือนเกี่ยวต้นข้าว แล้วก็หันไปมองคนหนุ่มชุดขาว สองชายแขนเสื้อมีลมเย็นคนนั้น เด็กหนุ่มที่อยู่ในกองทัพชายแดนก็รู้สึกเหมือนสมองจะไม่ค่อยแล่นนัก
นายกองหนุ่มคนหนึ่งที่อายุห่างจากแม่ทัพผู้เฒ่าสองรุ่น ในที่สุดก็มีโอกาสได้หายใจหายคอ ได้พูดคุยกับผู้บัญชาการณ์สองสามคำ ก่อนหน้านี้ได้แต่หลบหนีอย่างเดียว ทั้งต้องทนมองสหายร่วมรบคนแล้วคนเล่าตายไปภายใต้คมกระบี่บิน สภาพพวกเขาแต่ละคนอเนจอนาถอย่างยิ่ง บนใบหน้าของนายกองหนุ่มที่อายุเพียงยี่สิบปีผู้นี้ถูกกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่กรีดเป็นร่องเลือด เนื้อหนังปริแตก น่าสังเวชนัก ทว่าคนหนุ่มกลับไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ถามเบาๆ ว่า “ท่านแม่ทัพ ดูจากวิชาอภินิหารกระบี่บินที่ผู้ฝึกกระบี่ชั่วช้าคนนั้นร่ายออกมา คงไม่มีทางปล่อยให้พวกเราปล่อยสัญญาณให้กับนายท่านสามและท่านหญิงเก้าแน่”
ผู้เฒ่าจ้องมองแผ่นหลังของจอมยุทธ์พเนจรคนนั้นอยู่ตลอดเวลา ได้ยินคำถามจากคนสนิทข้างกายก็หัวเราะเสียงหยันว่า “พวกเราเป็นทั้งหนึ่งในเป้าหมาย แล้วก็ยิ่งเป็นทั้งเหยื่อล่อ”
เห็นได้ชัดว่านายกองหนุ่มเป็นญาติสายตรงของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยา จึงรู้เรื่องวงในหลายอย่างของทางกองทัพและทางราชสำนัก เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านี้ที่ราชสำนักแอบโยกย้ายผู้ฝึกตนในกองทัพของพวกเราไปเกินครึ่ง ก็เพื่อให้เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างเจ้าเมืองจินหวงและเทพวารีแห่งทะเลสาบซงเจิน?”
แม่ทัพผู้เฒ่าพูดปลงอนิจจังเสียงเบา “นี่ก็ถือเป็นแผนการอย่างโจ่งแจ้งของคนที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งสามารถเผาผลาญพลังต้นกำเนิดในแคว้นศัตรูทางทิศใต้ ยังสามารถวางแผนลอบโจมตีพวกเราในครั้งนี้ได้ด้วย ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สกุลหม่าฝานลู่จะทำได้…”
เฉินผิงอันหันกลับมาถาม “ขอถามท่านแม่ทัพผู้เฒ่าสกุลเหยา เหตุใดถึงถูกสองคนนี้ไล่ฆ่า?”
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “คงเป็นเพราะความแค้นบนสนามรบกระมัง”
แผนการชั่วร้ายในครั้งนี้เกี่ยวพันไปถึงเรื่องน่าอายซึ่งเป็นความลับของราชวงศ์ต้าเฉวียน ผู้เฒ่าย่อมไม่เต็มใจจะพูดมาก
แต่ไหนแต่ไรมากองทัพชายแดนของตระกูลเหยาก็จงรักภักดีต่อฮ่องเต้สกุลหลิวมาทุกยุคทุกสมัย อยู่ห่างไกลจากการแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก ใครเป็นฮ่องเต้ก็เชื่อฟังคำสั่งคนนั้น ไม่เข้าร่วมกับมรสุมครั้งใดๆ
แต่สิบปีล่าสุดที่ผ่านมานี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนจนใจ
ตามกฎของตระกูล หญิงสาวสกุลเหยาจะไม่แต่งให้กับตระกูลใหญ่นอกพื้นที่ แต่จะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับคนในท้องที่เท่านั้น
ทว่าปีนั้นบุตรสาวคนเล็กของผู้เฒ่าได้ตกหลุมรักกับคนหนุ่มคนหนึ่งที่เดินทางมายังชายแดน ฝ่ายชายเองไม่ว่าจะเป็นด้านนิสัยหรือด้านความรู้ความสามารถก็ล้วนมีครบถ้วน คนทั้งสองยังเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน เดิมทีนี่ควรเป็นเรื่องดีที่คู่รักได้แต่งงานกัน กลายเป็นคู่รักเทพเซียนที่ผู้คนอิจฉา เพียงแต่ตอนนั้นผู้เฒ่ายึดมั่นในกฎของตระกูล จึงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ บุตรสาวของเขาก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นสตรีสกุลเหยา นางยอมเก็บความรักครั้งนี้ไว้ในใจเงียบๆ เขียนจดหมายสะบั้นความสัมพันธ์ให้แก่คนผู้นั้น นึกไม่ถึงว่าบุรุษผู้เป็นลูกหลานตระกูลอันดับต้นๆ ของราชวงศ์ต้าเฉวียนจะเดินทางมาที่ชายแดนอีกครั้ง ในวันที่หิมะตกหนัก บุตรชายคนโตของขุนนางกรมขุนนางที่ยิ่งใหญ่กลับมานั่งคุกเข่าอยู่นอกศาลบรรพชนสกุลเหยาหนึ่งวันหนึ่งคืน คนทั้งบนและล่างตระกูลเหยาไม่มีใครไม่หวั่นไหว สุดท้ายเป็นเพราะไม่สามารถแยกคู่ยวนยางคู่นี้ออกจากกันได้จริงๆ ผู้เฒ่าจึงรับปากเรื่องงานแต่งงานของบุตรสาว แต่คนรุ่นของผู้เฒ่ากลับไม่มีใครไปร่วมงานแต่งงานที่เมืองหลวง และหลังจากนั้นบุตรสาวของเขาก็ได้กลับมาบ้านเดิมแค่ครั้งเดียว
กับทางครอบครัวของลูกเขยที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ ควบคุมเรื่องการเลื่อนขั้นของขุนนางในใต้หล้าเอาไว้ในมือ ผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่เคยเขียนจดหมายติดต่อกัน
แต่ต่อให้ ‘แล้งน้ำใจ’ ขนาดนี้ก็ยังคงปฏิเสธความจริงเรื่องที่บุตรสาวแซ่เหยาไม่ได้
การแหกกฎแค่ครั้งเดียว สิบปีให้หลังกลับนำมาซึ่งหายนะล้มล้างตระกูล
—–