กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 334.1 ด้านในเปลือกหอยมีสถานที่ประกอบพิธีกรรม
(*ชื่อตอนด้านในเปลือกหอยมีสถานที่ประกอบพิธีกรรม เปรียบเปรยว่าทำสิ่งที่ซับซ้อนหรือมีสถานการณ์ที่ซับซ้อนเกิดขึ้นในสถานที่เล็กแคบ)
จอมยุทธ์พเนจรหรือพวกคนที่เก็บตัวสันโดษในโลกมนุษย์ ส่วนใหญ่มักมีนิสัยแปลกประหลาด ไม่อาจใช้หลักการของคนทั่วไปไปประเมินได้
เฉินผิงอันจึงไม่ได้รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวของชายชุดเขียวที่เก็บงำอำพรางตนอย่างลึกล้ำคนนั้น
ก็เหมือนกับที่หลิวจงคนลับมีดเคยพูดก่อนหน้านี้ เส้นทางใต้ฝ่าเท้าของทุกคนกว้างใหญ่ถึงขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ทางแคบๆ เหมือนไส้แกะสักหน่อย ยิ่งไม่ใช่สะพานไม้ท่อนเดียว ทุกคนล้วนสามารถเดินไปทางใครทางมันได้อย่างไม่มีปัญหา
นอกโรงเตี๊ยม บุรุษสวมชุดเขียวท่าทางมอซอตกอับไม่ได้เดินจากไปไกลนัก อันที่จริงเขาไปนั่งอยู่หน้าประตูนอกโรงเตี๊ยมนั่นเอง ข้างกายคือสุนัขผอมแห้งที่นอนหมอบ บุรุษหันไปมองหมาตัวนั้นแล้วรู้สึกว่าชีวิตของตนสู้มันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ฉับพลันเขาก็นึกอยากร่ายบทกลอนสักบทหนึ่ง เพียงแต่ว่าค้นหาถ้อยคำในท้องอยู่นานก็ยังไม่สามารถแต่งผลงานดีๆ ที่ถูกเด็กหนุ่มขาเป๋เหน็บแนมว่าเป็น ‘กลอนเลี่ยนๆ’ ออกมาได้ บุรุษปลอบใจตัวเองอยู่ในใจว่า ไม่เป็นไร บทประพันธ์เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ความเลิศล้ำเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จะบังคับฝืนใจกันไม่ได้
ชั้นที่สองของโรงเตี๊ยม
เฉินผิงอันลังเลว่าควรจะเชิญจูเหลี่ยนออกมาดีหรือไม่
สาเหตุเป็นเพราะเขาอยากอยู่ในราชวงศ์ต้าเฉวียนแห่งนี้ให้นานอีกสักหน่อย ข้างกายมีแค่เว่ยเซี่ยนคนเดียว อย่างมากที่สุดก็ได้แค่ปกป้องเผยเฉียน ยากที่จะให้ความช่วยเหลือเขาได้ หากต้องตกอยู่ท่ามกลางอันตรายเหมือนตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว รอบกายมีแต่ศัตรูรายล้อม เฉินผิงอันกังวลว่าตนที่ต้องวุ่นวายรับมืออยู่คนเดียวอาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาด
หลังจากที่เฉินผิงอันเชิญเว่ยเซี่ยนออกมาจากภาพวาดหนึ่งได้สำเร็จแล้ว ก็ไม่ได้ไปยุ่งกับภาพที่สอง นี่ไม่ใช่เพราะเขาเสียดายเงินฝนธัญพืช เงินฝนธัญพืชสิบเอ็ดเหรียญแลกมาด้วยฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนคนหนึ่ง บุคคลที่เคยเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าซึ่งศัตรูนับหมื่นก็มิอาจต่อกร ถือว่าคุ้มค่า แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้ดีอกดีใจว่าตัวเองควบคุมอีกฝ่ายได้แล้ว
ตอนนั้นการที่เขาตั้งเงินฝนธัญพืชสิบเหรียญไว้เป็นเกณฑ์สูงสุด ไม่ใช่เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าคนอย่างเว่ยเซี่ยนมีค่าแค่นี้ แต่เป็นเพราะตอนนั้นเขากลัวว่าภาพที่นักพรตเฒ่าซึ่งตอนพบหน้ากันครั้งสุดท้ายคล้ายจะอารมณ์ไม่ดีผู้นั้นมอบให้ ตนจะไม่มีปัญญาเลี้ยงได้ไหว ส่วนฝ่ายนักพรตเฒ่าก็ทั้งไม่ทำผิดกฎ ทั้งยังทำให้คนสะอิดสะเอียนได้ แล้วจะให้เฉินผิงอันทุ่มเงินเดิมพันต่อไปเรื่อยๆ ได้อย่างไร
ถึงอย่างไรเงินฝนธัญพืชก็เป็นเงินที่มีค่ามากที่สุดในบรรดาเงินสามชนิดของเทพเซียน หนึ่งเหรียญก็เท่ากับหนึ่งล้านตำลึงเงิน คือภูเขาเงินลูกย่อมๆ แล้ว ราชวงศ์ต้าหลีที่หลังจากฮุบกลืนราชวงศ์สกุลหลูเคยบอกว่าพลังแห่งแคว้นของตัวเองเป็นอันดับหนึ่งทางภาคเหนือของแจกันสมบัติทวีป ปีหนึ่งมีรายรับเท่าไหร่? แค่หกสิบล้านตำลึงเงินเท่านั้น แน่นอนว่านี่ยังเป็นแค่เงินที่สกุลซ่งต้าหลีเอาออกมาวางให้เห็นภายนอกเท่านั้น
การที่เขาอยู่นิ่งๆ มาตลอดหลายวันนี้ก็เพราะเฉินผิงอันยังขบคิดความหมายที่ผิดปกติจากถ้อยคำของนักพรตน้อยผู้แบกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีทองไม่ออก เห็นชัดๆ ว่าไอ้หมอนั่นคิดจะขุดหลุมฝังตน อีกทั้งหลุมที่ว่านี้ยังอยู่ในภาพวาดของจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์นี่ด้วย การที่นักพรตเฒ่าแค่ขุดหลุมเล็กๆ ให้เฉินผิงอันก็คงเพราะไม่อยากลดเกียรติของตัวเอง แต่เจ้านักพรตน้อยนั่นกลับทุ่มแรงเต็มที่เพื่อขุดหลุมใหญ่
เฉินผิงอันวางเงินฝนธัญพืชที่เหลืออยู่ไว้ข้างฝ่ามือ ก่อนจะหยิบเหรียญหนึ่งโยนใส่ภาพวาดเบาๆ
ภาพที่ไอหมอกลอยขึ้นมา มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
ในห้องโถงใหญ่ของชั้นหนึ่ง ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ตรงผ้าม่านเคาะกระบอกยาสูบ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาทางโต๊ะคิดเงิน ชำเลืองตามองไปทางนอกประตู “บัณฑิตตกอับคนนั้นไม่ธรรมดา”
สตรีแต่งงานแล้วดีดลูกคิดอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ท่านปู่สาม ท่านบ่นมากี่รอบแล้ว ข้ารู้ดีว่าควรทำอย่างไร ไม่มีทางทำให้เขาโมโหจริงๆ หรอก”
ผู้เฒ่าใช้ข้อศอกยันไว้บนโต๊ะคิดเงิน พ่นควันโขมง เอ่ยเสียงหนัก “หากชอบจริงๆ ก็แต่งให้เขาไปซะ ถ้าพ่อเจ้าไม่เห็นด้วย วันหน้าข้าจะช่วยสนับสนุนเจ้าเอง”
สตรีแต่งงานแล้วกระทืบเท้า อับอายจนพานเป็นความโกรธ “ท่านปู่สาม ท่านพูดเหลวไหลอะไรน่ะ ข้าจะชอบเขาได้อย่างไร?!”
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “เขาก็ดูดีนี่นา แม้จะไม่รู้ภูมิหลัง แต่คนหนุ่มที่แม้แต่ข้ายังมองตื้นลึกหนาบางไม่ออก ในชายแดนต้าเฉวียนแห่งนี้จะมีได้สักกี่คน? โกนหนวดเคราให้สะอาด ไม่แน่ว่าหน้าตาอาจจะพอใช้ได้”
สตรีแต่งงานแล้วเมินคำพูดประโยคหลังของเขาไปอย่างสิ้นเชิง ใช้ปลายคางชี้ไปทางห้องด้านบนที่เฉินผิงอันพักอยู่ “จะมีได้สักกี่คน? ท่านปู่สาม แขกหนุ่มต่างถิ่นที่สวมชุดขาว ห้อยน้ำเต้าสีแดงผู้นี้ รวมไปถึงข้ารับใช้ที่ติดตามเขามา ท่านมองออกหรือไม่ว่าตบะของเขาสูงต่ำตื้นลึกเท่าไหร่? มองไม่ออกสินะ ในร้านนอกร้าน แปบเดียวก็มีเพิ่มมาตั้งสามคนแล้วไม่ใช่หรือ?”
ผู้เฒ่าทิ้งประโยคหนึ่งไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกลับไปที่ห้องครัว หมายจะหาอะไรให้ตัวเองกินอิ่มท้อง “ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย สมแล้วที่ต้องเป็นหม้ายมานานหลายปีขนาดนี้”
สตรีแต่งงานแล้วเคยชินกับนิสัยของผู้เฒ่ามานาน จึงตะโกนตามหลังผู้เฒ่าไปเบาๆ “ไม่ว่าจะอย่างไร คนสามคนที่พักอยู่ด้านบนล้วนถือเป็นผู้มีพระคุณ ท่านห้ามวางยาพวกเขาโดยพลการเด็ดขาด จอมยุทธ์สองคนคราวก่อนนั้นถูกท่านถอดเสื้อผ้าจนเกลี้ยงแล้วเอาไปโยนไว้หน้าประตูใหญ่เมืองหูเอ๋อร์ ชายชาตรีดีๆ สองคนถูกท่านทำร้ายจนเกือบจะแขวนคอตายเหมือนสตรีในห้องหอเสียได้”
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก “ข้าไม่ใช่พวกเลวทรามต่ำช้าสักหน่อย จะวางยาคนอื่นไปทำไม ข้าต่างหากที่กลัวว่าเจ้าจะวางยาเด็กนั่นให้สลบ จะได้สมใจปรารถนา”
สตรีแต่งงานแล้วยกมือขึ้นทำท่าตบ “ปากสุนัขไม่มีงาช้างงอกจริงๆ”
ผู้เฒ่าชอบต่อล้อต่อเถียงกับนาง จึงกล่าวว่า “เจ้าลองไปถามเจ้าวั่งไฉด้านนอกดูสิว่าในปากมันมีงาช้างงอกออกมาได้ไหม?”
สตรีแต่งงานแล้วสวนกลับ “ข้าไม่ใช่หมาสักหน่อยจะได้คุยกับวั่งไฉรู้เรื่อง ไม่เหมือนท่าน”
ผู้เฒ่าใช้กระบอกสูบยาชี้สตรีแต่งงานแล้ว “วันหน้าใครที่มาถูกใจเจ้า ฝาโลงบรรพบุรุษของเขาคงปิดไว้ไม่อยู่เป็นแน่”
สตรีแต่งงานแล้วไม่ถือสาคำพูดเหล่านี้ เปิดโรงเตี๊ยมอยู่ในหมู่ชาวบ้านมานานหลายปี เคยเจอลูกค้าทุกประเภท พวกที่พูดจาสัปดน พวกที่พูดจาทิ่มแทงใจ หรือพวกที่พูดด้วยความริษยา มีอะไรบ้างที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อน นางเพียงกดเสียงเบาถามไปเรื่องอื่นว่า “ปีศาจใหญ่ตนนั้นคงไม่ได้ถูกคนผู้นี้สังหารหรอกกระมัง?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “หากเป็นแม่ทัพใหญ่ลูกน้องมือหนึ่งของเทพวารีทะเลสาบซงเจิน เฮอๆ มีแต่พวกเซียนดินเท่านั้นถึงจะมีความสามารถค้ำฟ้าขนาดนี้ แม้จะบอกว่าบัณฑิตเสเพลผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่อาจารย์ผู้เฒ่าที่มีความรู้ลึกซึ้งที่อยู่ในสำนักศึกษาสักหน่อย หากนี่เป็นฝีมือของพวกอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ พวกเขาก็ไม่มีทางทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ไม่จำเป็นต้องจงใจปิดบังตัวตนกระมัง?”
สตรีแต่งงานแล้วจมอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด
สุดท้ายผู้เฒ่าพูดโน้มน้าวว่า “เอาเถอะ เรื่องดีๆ ไม่พูดซ้ำสอง จะบอกกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน ข้ารู้สึกว่าบัณฑิตตกอับคนนั้น นอกจากจะจนไปหน่อย ขี้เหร่ไปนิด ปากเสียไปบ้าง ไม่เอาการเอางานสักเท่าไหร่ แต่อันที่จริงแล้วก็ถือว่าใช้ได้ จะดีจะชั่วก็ยังหนุ่มแน่น…”
สตรีแต่งงานแล้วหน้าดำคล้ำเครียด พูดประโยคหนึ่งลอดไรฟัน “ไสหัวไป!”
ผู้เฒ่าหลังค่อมสีหน้าเป็นปกติ หมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที
ใบหน้าที่แก่ชราของเขาเหมือนผิวต้นไม้เก่าแก่เป็นตะปุ่มตะป่ำ หากถูกยุงกัดแล้วผู้เฒ่าย่นหว่างคิ้วเล็กน้อย เกรงว่าคงสามารถหนีบยุงให้ตายได้เลย
ผู้เฒ่าเอาสองมือที่ฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยด้านไพล่ไว้ข้างหลัง มือซ้ายวางทับข้อมือขวา มือขวาหิ้วกระบอกสูบยา
ผู้เฒ่าพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ดึกๆ ดื่นๆ หน้าหนาวแบบนี้มีเสียงแมวครางมาจากที่ใดกัน น่าแปลกใจนัก วันนี้เจ้าเป๋น้อยยังถามข้าเรื่องนี้อยู่เลย”
สตรีแต่งงานแล้วหน้าแดงก่ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด่า “แก่กะโหลกกะลา สมแล้วที่ต้องเป็นโสดไปทั้งชีวิต!”
เด็กหนุ่มขาเป๋เพิ่งจะเก็บกวาดโต๊ะเสร็จ ได้ยินบทสนทนาช่วงสุดท้ายของผู้เฒ่าหลังค่อมกับเถ้าแก่เนี้ยะก็ถามด้วยสีหน้าสงสัย “เถ้าแก่เนี้ยะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? โรงเตี๊ยมของพวกเราไม่ได้เลี้ยงแมวนี่นา หรือว่าเป็นแมวป่าข้างนอกที่แอบเข้ามาในโรงเตี๊ยม? ถ้าข้าจับตัวมันได้จะซ้อมให้อ่วมเลย ข้าก็ว่าแล้วเชียว พวกน่องไก่ หมั่นโถวในห้องครัวมักจะหายไปเป็นประจำ น่าจะเป็นมันที่แอบขโมยไปกิน เถ้าแก่เนี้ยะท่านวางใจเถอะ ข้าจะต้องลากตัวมันออกมาให้ได้…”
สตรีแต่งงานแล้วหยิบไม้ปัดขนไก่ออกมาจากด้านหลังโต๊ะคิดเงินแล้วฟาดใส่ศีรษะของเด็กหนุ่มขาเป๋อย่างแรง “ลากออกมา ใครใช้ให้เจ้าลากตัวมันออกมา!”
นางยังไม่สาแก่ใจ จึงเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมาแล้วไล่ตีเด็กหนุ่มที่ขาไม่ดี แต่เด็กหนุ่มกลับวิ่งหนีอย่างรวดเร็วราวกับบิน
จากนั้นนางก็โยนไม้ปัดขนไก่ทิ้ง ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ค่อยๆ เดินย่องขึ้นไปชั้นบน ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปกลับครบหนึ่งรอบก็ยังไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวอะไร กลับมาที่ห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งก็นั่งเหม่อลอย แล้วจึงเดินไปยังถิ่นของผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่ด้านหลังผ้าม่าน หยิบเนื้อตากแห้งขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่ง พร้อมกับเหล้าดอกบ๊วยหมักครึ่งปีกาเล็กอีกหนึ่งกาเดินไปนอกโรงเตี๊ยม เห็นบัณฑิตตกอับที่นั่งอยู่ข้างหมาก็ร้องเรียกหนึ่งที พอบุรุษชุดเขียวเงยหน้าขึ้นก็โยนทั้งเนื้อและเหล้าให้เขาพร้อมพูดเสียงเย็น “หนึ่งตำลึงเงิน จดลงบัญชีไว้ ไม่ได้ให้เจ้าฟรีๆ”
จนกระทั่งสตรีแต่งงานแล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้องโถงใหญ่ บุรุษชุดเขียวถึงได้ดึงสายตากลับมา พูดอย่างสะท้อนใจว่า “วั่งไฉ เจ้ารู้ไหมว่านี่เรียกว่าอะไร? นี่เรียกว่าบุรุษไม่ควรรับบุญคุณจากสตรีมากที่สุด”
เขาฉีกเนื้อเล็กๆ ชิ้นหนึ่งให้วั่งไฉที่นอนหมอบอยู่ข้างเท้า จากนั้นก็ลูบคลำเคราของตัวเอง “หากข้าโกนหนวดทิ้งจะไม่ยิ่งร้ายกาจหรอกหรือ?!”
ตอนที่สตรีแต่งงานแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เฉินผิงอันกำลังใช้มือกดภาพวาดเบาๆ หันหน้ามามองทางหน้าประตู
โชคดีที่สตรีแต่งงานแล้วไม่ได้เคาะประตูรบกวนเขา
รอจนนางเดินลงไปข้างล่างแล้ว เฉินผิงอันถึงได้ทุ่มเงินต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันโยนเงินฝนธัญพืชเข้าไปในภาพวาดรวดเดียวสิบสองเหรียญ
แต่จูเหลี่ยนก็ยังไม่ยอมปรากฏตัว
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ข้างมือขึ้นมาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนจะเข้ามาในโรงเตี๊ยมก็ไม่เหลือเหล้าอยู่แล้ว จึงได้แต่วางมันลงเบาๆ
เงินฝนธัญพืชสิบเหรียญที่เทพหยินสกุลซ่งในนครมังกรเฒ่าจ่ายให้เป็นค่าแผ่นไม้ไผ่ ส่วนแบ่งที่แบ่งกับลู่ไถตอนอยู่ป้อมอินทรีบินอีกยี่สิบเหรียญ บวกกับการเดินทางเข้าออกภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันมีเงินฝนธัญพืชรวมกันแล้วยี่สิบเก้าเหรียญ เพื่อเว่ยเซี่ยน ให้ภาพวาดกินไปสิบเอ็ดเหรียญ เหลืออยู่สิบแปดเหรียญ
ตอนนี้บนโต๊ะจึงเหลือเงินฝนธัญพืชแค่หกเหรียญเท่านั้น
จูเหลี่ยนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ยังคง ‘วางมาด’ อยู่บนภาพวาด ไม่ยอมเดินออกมา ถ้าเช่นนั้นหลูป๋ายเซี่ยงแห่งลัทธิมาร และสุยโย่วเปียนเซียนกระบี่หญิงเพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวล่ะ จะต้องให้เฉินผิงอันควักเงินฝนธัญพืชออกมาอีกกี่เหรียญ?
เฉินผิงอันถอนหายใจ ชำเลืองมองตาแก่ที่ยิ้มตาหยีอยู่ในภาพวาด
หากยังโยนเหรียญเข้าไปอีก ตนคงล้มละลายแล้วจริงๆ แม้จะบอกว่าเขามีเงินเกล็ดหิมะและเงินร้อนน้อยเก็บสะสมไว้ไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นแค่จำนวนเท่านั้น เพราะหากเอามาหักเป็นเงินฝนธัญพืชจริงๆ จำนวนก็ต้องหดเข้าไปอีกเยอะมาก
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาเก็บภาพวาดนั้นเข้าไปในกระบี่บินสืออู่ แล้วจึงเปิดประตูห้อง เดินลงไปดื่มเหล้าที่ชั้นล่างเพื่อดับความกลัดกลุ้ม ก่อนหน้านี้เพราะต้องแบกเว่ยเซี่ยนขึ้นไปไว้ชั้นบนจึงลืมบรรจุเหล้าใส่ไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แกว่ง ‘เจียงหู’ ที่ว่างเปล่า ในใจเฉินผิงอันก็ไพล่นึกไปถึงนักพรตน้อยที่แบกน้ำเต้าลูกยักษ์สีทอง แล้วก็อดนินทาอีกฝ่ายในใจไม่ได้ อีกฝ่ายบอกว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เหลืออีกหกลูกนั้น ‘ที่สุด’ ในเรื่องใดบ้าง ลูกที่นักพรตน้อยแบกเอาไว้คงไม่ใช่ว่าบรรจุเหล้าได้มากที่สุดหรอกกระมัง?
—–