กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 334.3 ด้านในเปลือกหอยมีสถานที่ประกอบพิธีกรรม
เผยเฉียนยิ้มกว้างอย่างชอบใจ ต้องอดทนข่มกลั้นอยู่นาน สุดท้ายกลั้นไม่ไหวจริงๆ เลยกุมท้องหัวเราะก๊ากเสียเลย “จ่ายเงินซื้อความสงบ ซื้อความสงบ (ความสงบในที่นี้ใช้คำว่าผิงอัน ซึ่งเป็นคำเดียวกับชื่อของเฉินผิงอัน ประโยคนี้จึงหมายความได้อีกอย่างว่าจ่ายเงินซื้อเฉินผิงอัน) …โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ข้าขำจะตายอยู่แล้ว เจ็บท้องไปหมดเลย”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดข้างกายเผยเฉียน “ยังเจ็บท้องอยู่ไหม?”
เผยเฉียนที่ถูกดึงหูรีบหยุดเสียงหัวเราะทันที พูดอย่างน่าสงสารว่า “ไม่เจ็บท้องแล้ว แต่เจ็บหู…”
สตรีแต่งงานแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเด็กหญิงผอมแห้งนิสัยร้ายกาจคนนี้หัวเราะอะไร
เฉินผิงอันบอกลาสตรีแต่งงานแล้ว ก่อนจะดึงหูเผยเฉียนลากขึ้นไปชั้นบน เผยเฉียนเอียงหัวเดินเขย่งปลายเท้าตามไป ปากก็โหวกเหวกเสียงดังว่าไม่กล้าแล้ว
ขึ้นมาถึงชั้นบนค่อยปล่อยหูเผยเฉียน เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องแล้วหันมากำชับเผยเฉียนว่า “ห้ามออกไปข้างนอกอีก”
เผยเฉียนขยี้หูพลางพยักหน้ารับ
รอจนเฉินผิงอันปิดประตูลงแล้ว เผยเฉียนถึงขยับไปยืนข้างราวระเบียง นางมองลงไปสบตากับสตรีแต่งงานแล้วที่เงยหน้าขึ้นมาพอดี เผยเฉียนแค่นเสียงเย็นในลำคอ ก่อนจะเดินกระโดดโลดเต้นกลับห้องตัวเอง ปิดประตูตามหลังอย่างแรง
นอกโรงเตี๊ยม แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่อง คนผู้หนึ่งควบม้ามาถึง คือเด็กสาวอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่ง นางมัดผมหางม้า มีหน้าตางดงามอ่อนหวาน แต่กลับมีกลิ่นอายของความเหี้ยมหาญ ด้านหลังสะพายธนูมาหนึ่งคัน พกดาบเล่มหนึ่งไว้ตรงเอว นางทิ้งม้าให้รออยู่นอกประตูอย่างไม่ใส่ใจ เห็นได้ชัดว่าไม่กังวลว่าม้าจะหายไป
บุรุษชุดเขียวยังคงนั่งหยอกล้อสุนัขตัวนั้นอยู่นอกประตู
เด็กสาวมองบุรุษแวบหนึ่งแล้วก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ พอเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ก็เหลียวซ้ายแลขวา เห็นสตรีแต่งงานแล้วที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง นางก็ไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก หยุดเดินแล้วพูดกับสตรีแต่งงานแล้วว่า “ท่านปู่ให้ข้ามาบอกเจ้าว่า ช่วงนี้อย่าเปิดโรงเตี๊ยม ที่นี่ไม่ปลอดภัย”
เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กสาว สตรีแต่งงานแล้วไม่มีท่าทางเย้ายวนทรงเสน่ห์อีกต่อไป นางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเหมือนคุณหนูในห้องหอที่เดินออกมาจากตระกูลใหญ่ เอานิ้วชี้วางตั้งบนริมฝีปากบอกให้รู้ว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง จากนั้นค่อยเอ่ยเบาๆ ว่า “หลิ่งจือ ข้าอยู่ที่นี่จนชินแล้ว”
เด็กสาวพูดเสียงขุ่น “ไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่น!”
สตรีแต่งงานแล้วถามยิ้มๆ “จะดื่มเหล้าบ๊วยสักหน่อยไหม?”
ใบหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความเดือดดาล
ดื่มเหล้า?!
สตรีแต่งงานแล้วรู้ว่าตัวเองพลั้งปากพูดผิดไปจึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
เด็กสาวแค่นเสียงเย็น “เอาห้องให้ข้าห้องหนึ่ง พรุ่งนี้ข้าค่อยกลับ เจ้าเองก็พิจารณาเรื่องนี้ให้ดี”
เด็กหนุ่มขาเป๋พาเด็กสาวเดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างกล้าๆ กลัวๆ ภายใต้สายตาที่บอกเป็นนัยจากเถ้าแก่เนี้ยะ เขาจึงตั้งใจเลือกห้องพักที่สวยงามและสะอาดสะอ้านมากที่สุดให้กับเด็กสาว
หลังจากที่เสียงฝีเท้าแผ่วเบาระลอกนั้นหายไปแล้ว เฉินผิงอันจึงหยิบเงินฝนธัญพืชที่เหลืออีกแค่หกเหรียญมากองทับไว้ด้วยกัน
แล้วค่อยๆ โยนเข้าไปในภาพวาดทีละเหรียญ
เมื่อเงินฝนธัญพืชเหรียญที่สามหายเข้าไปในภาพวาด เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างเชื่องช้า
ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งเดินกะย่องกะแย่งออกมาจากในม้วนภาพวาด
เขากระโดดลงมาจากบนโต๊ะ ยิ้มตาหยีให้เฉินผิงอัน ก่อนจะหันตัวยื่นมือเข้าไปในม้วนภาพวาด แต่กลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ขนาดเผยเฉียนยังเคยแอบลูบคลำม้วนภาพวาดนี้มาก่อน แต่สำหรับจูเหลี่ยนแล้ว ภาพวาดนี้อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือคว้า แต่กลับไกลสุดขอบฟ้า
ดั่งภาพมายาล่องลอย มิอาจไขว่คว้า
แต่จูเหลี่ยนกลับไม่ได้เป็นเดือดเป็นแค้น กลับกันยังหัวเราะร่า “เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย นายน้อย นี่ก็คือเวทตระกูลเซียนของใต้หล้าไพศาลพวกเจ้าใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถือว่าใช่”
ผู้เฒ่าที่เคยชินกับการปรากฏตัวด้วยเรือนกายของคนหลังค่อมดูไม่เหมือนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ธาตุไฟเข้าแทรกซึ่งผู้คนเล่าลือกันในตำนานเลยสักนิด
บนใบหน้าของผู้เฒ่าแต้มรอยยิ้มไว้ตลอดเวลา สีหน้าเมตตาปราณี ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว คนผู้นี้เกือบจะพลิกยุทธภพของที่นั่นให้คว่ำคะมำหงาย ติงอิงที่ไล่ตามมาทันในภายหลัง เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าเหมือนกัน แต่กลับมีพลังอำนาจของปรมาจารย์ที่เด่นชัดมากกว่า ซึ่งนี่น่าจะเกี่ยวพันกับการที่ติงอิงมีเรือนกายสูงใหญ่ ไม่ชอบแย้มยิ้ม อีกทั้งยังสวมกวานดอกบัวสีเงินไว้บนศีรษะ
คนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ชื่อว่าจูเหลี่ยนตรงหน้าผู้นี้กลับห่างชั้นกับติงอิงไกลโขนัก
เมื่อเทียบกับเว่ยเซี่ยนที่ไม่ว่ามีคำพูดอะไรก็เก็บไว้ในท้องแล้ว ดูเหมือนจูเหลี่ยนจะยอมรับชะตากรรมได้ดีกว่าและตรงไปตรงมามากกว่า เขากล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ตอนนี้มาอยู่บ้านเกิดของนายน้อยแล้ว ลำพังแค่ปรับตัวให้เข้ากับการไหลเวียนของลมปราณในใต้หล้าไพศาลก็ต้องใช้เวลาหลายวัน คิดจะกลับคืนสู่ตบะสูงสุดเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งเป็นเรื่องยาก อืม หากพูดตามคำกล่าวของคนในบ้านเกิดนายน้อย ตอนนี้ข้าน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็พูดเย้ยหยันตัวเอง “อาจจะฝ่าทะลุขอบเขตได้ในครั้งเดียว แต่ก็อาจจะติดชะงักไม่เดินหน้า หรืออาจถึงขั้นถูกปราณวิญญาณของที่แห่งนี้กรอกเทเข้าสู่ช่องโพรงลมปราณจนลมปราณที่แท้จริงถูกเผาผลาญ ตบะถูกกลืนกินไปทีละนิด แต่ข้ามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า นอกจากธรณีประตูบานใหญ่ของขอบเขตเจ็ดแล้ว การเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด ขอบเขตเก้าหลังจากนั้นน่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไรมากนัก”
ถือว่าจูเหลี่ยนพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมามากแล้ว
เมื่อเทียบกับเว่ยเซี่ยนที่เป็นเหมือนน้ำเต้าตันแล้ว จูเหลี่ยนดูเป็นคนเปิดเผยกว่ามาก
จูเหลี่ยนเดินไปตรงหน้าต่าง ผลักหน้าต่างเปิดออก หลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พูดพึมพำกับตัวเอง “ขอบเขตเจ็ดนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับหลังกำเนิดเปลี่ยนเป็นก่อนกำเนิดของผู้ฝึกยุทธ์ในพื้นที่มงคลดอกบัว คือก้าวที่ข้ามออกไปได้ยากที่สุด มีเพียงเลื่อนสู่ขอบเขตที่เจ็ดของวิถีวรยุทธ์ เชื่อว่าหลังจากนั้นตบะก็จะไต่ทะยาน ก็แค่ต้องมานะบากบั่นปีแล้วปีเล่าเท่านั้น ไม่กล้าพูดว่าต้องได้เป็นขอบเขตเก้าแน่นอน แต่ขอบเขตแปดย่อมไม่ยาก”
จูเหลี่ยนหันหน้ากลับมายิ้มบางๆ “แน่นอนว่าขอแค่ปรับตัวเข้ากับการดำรงอยู่ของปราณวิญญาณที่เข้มข้นในที่แห่งนี้ได้ ไม่ว่าข้าเจอกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเจ็ดคนใดก็ตามที่มีพื้นฐานธรรมดา ข้าก็ยังมีโอกาสที่จะเสมอกับเขา ไม่ถึงขั้นถูกข่มด้านขอบเขต แค่พบหน้าก็ได้แต่รอความตายสถานเดียวเท่านั้น ส่วนการต่อสู้กับผู้ที่มีขอบเขตเดียวกัน ขอแค่ไม่ใช่คนแบบคุณชาย โอกาสที่ข้าจะชนะก็มีสูงมาก”
เฉินผิงอันพึมพำ “ด่านสำคัญอยู่แค่ที่ขอบเขตเจ็ดงั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าเดินกลับมานั่งข้างโต๊ะ ใช้นิ้วมือข้างหนึ่งเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ “ข้ายินดีอุทิศตัวให้คุณชายอย่างซื่อสัตย์ภักดีเป็นเวลาสามสิบปี หวังว่าหลังจากนั้นคุณชายจะมอบอิสระให้แก่ข้า ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าควรจะคืนอิสระให้แก่เจ้าอย่างไร”
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง จมจ่อมสู่ภวังค์ความคิด จ้องม้วนภาพนั้นเขม็ง
เฉินผิงอันเดาเอาว่าตัวของม้วนภาพวาดน่าจะคล้ายคลึงกับเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจู ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบหนึ่งในห้าขอบเขตบนก็ยังถูกคนอื่นกุมชะตาชีวิตไว้ในกำมืออยู่ดี
พอคิดถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หัวเราะ
ทางฝ่ายของเว่ยเซี่ยน เขาเมาเละดุจขี้โคลน นอนอยู่บนเตียงก็ละเมอพูดด้วยความเมามาย “บนร่างไร้ปราณสังหาร แต่จิตสังหารผุดขึ้นรอบกาย นี่เรียกว่าการปูรากฐานของกษัตริย์”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เฉินผิงอันเก็บเงินฝนธัญพืชสามเหรียญสุดท้ายและม้วนภาพวาด กำลังจะเดินไปเปิดประตู จูเหลี่ยนกลับทำแทนแล้ว
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็รีบขยับออกห่างจูเหลี่ยนไปเสียไกล วิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน
จูเหลี่ยนปิดประตู หันหน้ามาหัวเราะให้ “นังหนูคนนี้ฐานกระดูกดีมากจริงๆ คือบุตรสาวของนายน้อยหรือ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง
แต่เฉินผิงอันกลับส่ายหน้า จากนั้นหันไปถามคนข้างหลัง “มาหาข้ามีธุระอะไร?”
เผยเฉียนมองจูเหลี่ยนแล้วก็ส่ายหน้า
จูเหลี่ยนรู้กาลควรไม่ควร ถามด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อย มีที่พักให้ข้าอีกไหม?”
เฉินผิงอันกล่าว “ออกจากประตูไป ห้องที่สองทางขวามือ แต่ตอนนี้เว่ยเซี่ยนพักอยู่ที่นั่น หากเจ้าไม่เต็มใจจะพักร่วมห้องกับเขา ข้าจะช่วยหาห้องใหม่ให้เจ้าอีกหนึ่งห้อง”
“เดินทางอยู่ในยุทธภพ ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันเรื่องพวกนี้”
จูเหลี่ยนโบกมือ จากนั้นก็ยกมือมาจับปลายคางตัวเอง พูดอย่างครุ่นคิดว่า “นายน้อย ท่านเลือกฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นั้นก่อนหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยกำชับว่า “พวกเจ้าสองคน อย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์เด็ดขาด”
จูเหลี่ยนเอ่ยยิ้มๆ “เว่ยเซี่ยนที่หมื่นศัตรูก็มิอาจต่อกร ข้าเลื่อมใสเขามากเลยล่ะ ขอดื่มเหล้าคารวะเขายังแทบไม่ทัน มีหรือจะทำให้เขาไม่พอใจ”
จูเหลี่ยนเดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตูให้เบาๆ
ทว่าขณะที่เหลือรอยแง้มเล็กๆ จูเหลี่ยนพลันถามขึ้นว่า “ขอถามนายน้อย ท่านต้องจ่ายเงินเพื่อข้าไปเท่าไหร่?”
เฉินผิงอันตอบตามจริง “สิบเจ็ดเหรียญเงินฝนธัญพืช”
จูเหลี่ยนยิ้ม “ทำให้นายน้อยต้องสิ้นเปลืองแล้ว”
ผู้เฒ่าจากไปแล้ว เผยเฉียนก็ยังคงไม่วางใจ นางต้องเดินไปลงกลอนประตูก่อนถึงจะทำท่าโล่งอก
เฉินผิงอันถาม “เว่ยเซี่ยนตีหน้าเคร่งเครียดใส่ทุกวัน ไม่เห็นเจ้าจะกลัว จูเหลี่ยนท่าทางเป็นมิตรขนาดนี้ แต่เจ้ากลับกลัวเสียได้?”
เผยเฉียนพูดเบาๆ “ข้ากลัวก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันถามอีก “มีเรื่องอะไร?”
เผยเฉียนพูดเสียงแผ่วอยู่เหมือนเดิม “ข้ารู้สึกว่าเถ้าแก่เนี้ยะผู้นั้นไม่ใช่คนดี บวกกับเด็กขาเป๋แล้วก็ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่น พวกเขาดูประหลาดมากเลย ที่นี่ใช่ร้านเถื่อนหรือเปล่า? เรื่องที่คนเล่านิทานชอบเอามาเล่ามีพูดถึงเรื่องร้านเถื่อนด้วย พวกเขาชอบวางยาเบื่อคน จากนั้นก็เอาไปทำเป็นซาลาเปาไส้เนื้อคน”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉิวๆ “คิดเหลวไหลไปเรื่อย รีบไปอ่านหนังสือได้แล้ว”
เผยเฉียนเดินถอนหายใจจากไป
เฉินผิงอันไม่มีอารมณ์เปิดม้วนภาพที่เหลืออีกสองภาพออกดูแล้ว หลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน คนหนึ่งเขาไม่ค่อยกล้าเชิญออกจากภูเขา เพราะกลัวว่าเชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับไปยาก ส่วนคนหลังก็ยิ่งไม่กล้ายุ่งเกี่ยว
นึกถึงความรู้สึกที่เผยเฉียนมีต่อเว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยน
อันที่จริงลางสังหรณ์ของนางไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย
สายตาที่เว่ยเซี่ยนมองคนคือสายตาของคนที่มองจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ถึงอย่างไรเขาก็เคยเป็นกษัตริย์ของหนึ่งแคว้นที่ได้รับการบันทึกชื่อลงในประวัติศาสตร์
แต่สายตาที่จูเหลี่ยนมองคนนั้นกลับเหมือนคนเป็นที่มองคนตาย สายตาอึมครึม มืดมนดุจบ่อน้ำลึก รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่อาจมองเป็นความจริงใจได้
บนธรณีประตูของโรงเตี๊ยม ลูกค้าชุดเขียวนั่งหันหลังให้กับห้องโถงใหญ่ เงยหน้ามองขอบฟ้ายามสนธยาที่ทอประกายสีสันงดงามจับตา เขาตบเข่าตัวเองเบาๆ ในมือหิ้วกาเหล้าเอาไว้ ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าบ๊วยหนึ่งอึกก็จะต้องพึมพำหนึ่งประโยค
“จุดลึกของก้อนเมฆมองเห็นมังกร ยามอยู่ในป่าลึกบังเอิญเจอกวาง ข้างดอกท้อมีสาวงาม บนสนามรบมีวีรบุรุษ ปัญญาชนในตรอกแคบเก่าโทรม…”
เสียงตุ้บดังขึ้น
บุรุษชุดเขียวล้มหน้าทิ่มพื้น แต่ก็ไม่ลืมกำกาเหล้าเอาไว้แน่น
ที่แท้เด็กหนุ่มขาเป๋ก็ถีบเข้าที่หลังเขา พูดอย่างเดือดดาลว่า “ไม่แล้วไม่เลิกสักทีนะ เจ้ายังเสพติดไม่เลิกอีกรึ? ข้าทนเจ้ามานานพอแล้ว!”
บุรุษลุกขึ้นด้วยสภาพกระเซอะกระเซิง ปัดฝุ่นบนร่าง เอ่ยเสียงหนัก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
เด็กหนุ่มขาเป๋ชำเลืองตามองบัณฑิตยากจนที่ดูแปลกตาไปจากเดิม เริ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบ แต่ก็ยังแข็งใจแผดเสียงใส่ “เจ้าเป็นใคร?”
ลูกค้าชุดเขียวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเรียกจิ่วเหนียงว่าอะไร?”
เด็กหนุ่มขาเป๋งงงัน “ก็เรียกเถ้าแก่เนี้ยะไงล่ะ”
ลูกค้าชุดเขียวถามอีก “ถ้าอย่างนั้นสามีของเถ้าแก่เนี้ยะ เจ้าต้องเรียกว่าอะไร?”
เด็กหนุ่มขาเป๋โมโหแทบบ้าแล้ว
เขากระโจนออกไปนอกธรณีประตู สาวหมัดต่อยยกเท้าเตะ วิ่งไล่กวดเจ้าคนสารเลวที่เขารู้แค่ว่าแซ่จงคนนี้
บุรุษชูกาเหล้าขึ้นสูง ขยับหลบไปรอบด้าน วิ่งหนีพลางดื่มเหล้าไปด้วย โดนหมัดต่อยหรือโดนเท้าเตะก็ไม่เจ็บไม่คัน
ภายใต้แสงสนธยา
เคยมีคำทำนายเกี่ยวกับบัณฑิต
ซึ่งเป็นประโยคที่ตัวบัณฑิตเองไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังมากที่สุด
ก่อนคนแซ่จงลงจากภูเขา เหล่าผีใต้หล้าไร้ยำเกรง
—–