กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 335 โลกมนุษย์หนทางคับแคบ จอกเหล้ากว้าง
หลังจากพระอาทิตย์ลับหายไปทางภูเขาทิศตะวันตกแล้ว แสงสนธยาก็ยิ่งเข้มข้น อาศัยช่วงที่แสงสุดท้ายยังอาวรณ์โลกมนุษย์ บุรุษชุดเขียวที่วิ่งไล่กวดอยู่กับเด็กหนุ่มขาเป๋พลันหยุดวิ่ง มองไปยังสุดปลายของถนนเส้นที่อยู่ทางทิศใต้ เด็กหนุ่มขาเป๋ฉวยโอกาสต่อยไหล่เขาหนึ่งที ร่างของบัณฑิตตกอับโงนเงน แต่ไม่ได้ให้ความสนใจเขา เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกประหลาดใจจึงมองไปทางทิศใต้ตามสายตาของบัณฑิตผู้นี้ แต่เขามองไม่เห็นอะไร เลยนึกว่าบัณฑิตจงใจทำให้เขาเสียสมาธิจึงเตรียมจะป้อนหมัดให้อีกฝ่ายต่ออีกครั้ง วันหน้าเขาจะได้ไม่กล้ามาลามปามเถ้าแก่เนี้ยะของตนอีก
ทว่าทันใดนั้นเด็กหนุ่มพลันใจสั่น รีบทรุดตัวลงนอนหมอบ เอาหูแนบพื้นสีหน้าเคร่งเครียด นั่นเป็นเสียงของทหารม้ากองหนึ่ง แถมจำนวนยังไม่น้อย เมืองหูเอ๋อร์นอกจากทหารของจุดพักม้าที่อาจจะผ่านทางมาเป็นครั้งคราวแล้วก็ไม่เคยมีกองทัพใหญ่ปรากฎตัวมาก่อน พวกคนหนุ่มสาวในเมืองหูเอ๋อร์ชื่นชมบารมีของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาจึงมักจะรวมกลุ่มกันไปยังเมืองกว้าเจี่ยจวินที่อยู่ห่างไปไกล พวกเขาถึงจะพอมีโอกาสได้เห็นกองทัพใหญ่อยู่ไกลๆ บ้าง
ในสายตาของลูกหลานตระกูลคนยากจนในเมืองหูเอ๋อร์ เกราะเหล็ก ม้าศึก หน้าไม้ มีดดาบ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่แสดงความองอาจของบุรุษได้ดีที่สุดในใต้หล้า
เด็กหนุ่มขาเป๋เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าคนวัยเดียวกันในเมืองหูเอ๋อร์ไม่ชอบพาเขาไปเล่นด้วย
เวลานี้เด็กหนุ่มขาเป๋ทิ้งลูกค้าชุดเขียวให้อยู่คนเดียว ส่วนตัวเองเข้าไปแจ้งข่าวกับเถ้าแก่เนี้ยะในห้องโถงใหญ่ สตรีแต่งงานแล้วที่กำลังอ้าปากหาวตอบแค่ว่ารู้แล้ว ทหารพวกนี้ไม่มีทางสนใจโรงเตี๊ยมของพวกเราและเมืองหูเอ๋อร์แน่นอน มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นทหารที่เร่งเดินทางยามค่ำคืน มุ่งหน้าไปยังเมืองกว้าเจี่ยจวินที่อยู่ทางเหนือ ไม่จำเป็นต้องสนใจ
เด็กหนุ่มขาเป๋ร้องอ้อรับหนึ่งทีแล้วรีบวิ่งออกจากโรงเตี๊ยม ปีนขึ้นไปบนหลังคา ยกมือบังไว้ตรงหว่างคิ้ว เขม้นสายตามองไปไกล ฉวยโอกาสตอนที่ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนราง เขาคิดอยากจะมองการแต่งตัวของกองทัพม้าเหล็กชายแดนในระยะใกล้สักหน่อย วันหน้าที่เถ้าแก่เนี้ยะสั่งให้เขาไปซื้อพวกข้าวสาร น้ำมันในเมืองหูเอ๋อร์จะได้เอาไปโอ้อวดกับคนวัยเดียวกัน
ห่างออกไปไกลบนเส้นทางพอจะมองเห็นฝุ่นคลุ้งตลบได้รางๆ แรงสั่นสะเทือนอื้ออึงส่งมาจากพื้นดิน ยิ่งนานก็ยิ่งชัดเจน
ทว่าสีท้องฟ้าไม่รอคอยคน เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย เขารีบปีนลงมาจากหลังคา เข้าไปในห้องโถง ถามเถ้าแก่เนี้ยะว่าแขวนโคมไฟเลยได้ไหม สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่ แขวนโคมไฟเร็วขนาดนี้ ใครจะเป็นคนจ่ายค่าเทียน? เด็กหนุ่มขาเป๋ตบอกบอกว่าข้าจ่ายเอง หากไม่ไหวจริงๆ ก็จดไว้ในบัญชีของผู้เฒ่าหลังค่อมก่อน สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มขาเป๋จึงเอาโคมใหญ่สองดวงไปแขวนไว้นอกโรงเตี๊ยมด้วยความเบิกบาน เพิ่งจะเตรียมปีนขึ้นไปบนหลังคาก็สังเกตเห็นว่ามีม้าตัวหนึ่งอ้อมออกจากทางหลวงมาปรากฏอยู่นอกโรงเตี๊ยมอย่างเงียบเชียบ คนบนหลังม้าสวมเสื้อเกราะแวววาวที่งดงามอย่างยิ่ง ไม่ใช่เสื้อเกราะรูปแบบธรรมดาทั่วไปที่ทหารชายแดนตระกูลเหยาสวมใส่กัน ทหารม้านายนั้นปลดหมวกเกราะลงมาถือไว้ตรงหน้าอก ถามด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “มีเหล้าบ๊วยขายใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มขาเป๋กลืนน้ำลาย ตอบด้วยความอกสั่นขวัญแขวน “ตอบท่านทหาร มีเหล้าบ๊วยขาย”
ทหารม้าคนนั้นกล่าวเสียงหนัก “ภายในหนึ่งก้านธูป บอกให้เถ้าแก่ทำโรงเตี๊ยมให้ว่าง จากนั้นเตรียมอาหารห้าโต๊ะ เอาเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุดออกมา ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะจ่ายให้พวกเจ้าโดยไม่ขาดไปแม้แต่อีแปะเดียว หากเหล้าบ๊วยอร่อยจริงสมคำเล่าลือยังจะมีรางวัลก้อนโตให้อีก! จำไว้ว่าเมื่อเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว พวกเราจะส่งคนไปตรวจสอบห้องทั้งหมด หากยังมีคนตกค้างอยู่ในห้องจะถูกสังหารโดยไม่มีข้อยกเว้น เมื่อพวกเราจากไปแล้ว แขกที่เข้าพักทุกคนสามารถกลับเข้าไปพักได้ใหม่”
ทหารม้าสวมหมวกเกราะกลับลงไปบนศีรษะอีกครั้ง แล้วจึงหันหัวม้ากลับหลังควบตะบึงจากไป
เด็กหนุ่มขาเป๋สีหน้าแข็งทื่อ แขกชุดเขียวนั่งยองอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมเพียงลำพัง หมาตัวนั้นกลับบ้านของตัวเองไปแล้ว แต่เขากลับยังไม่มีที่พักค้างแรม เห็นว่าเด็กหนุ่มยังยืนเหม่อก็เอ่ยเตือนว่า “รีบไปบอกจิ่วเหนียงเร็วเข้า หากทำให้คนสูงศักดิ์ในเมืองหลวงพวกนี้โมโห โรงเตี๊ยมคงเปิดกิจการต่อไปไม่ได้อีก”
เด็กหนุ่มขาเป๋รีบวิ่งแผล็วเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วไปหาผู้เฒ่าหลังค่อม กำลังปรึกษากันอยู่ พอเด็กหนุ่มขาเป๋ไปถึงเลยต้องรับหน้าที่เป็นทัพหน้า ให้เขาเป็นคนไปแจ้งสถานการณ์ให้พวกแขกรู้อย่างชัดเจน รบกวนให้พวกเขารีบออกจากโรงเตี๊ยมไปก่อน จะได้ไม่ต้องมีใครเสียเลือดเสียเนื้อ
เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย สตรีแต่งงานแล้วโบกมือหนึ่งครั้ง บอกว่าจะไม่คิดค่าเทียนทั้งหมดแล้ว เด็กหนุ่มขาเป๋รีบพุ่งไปที่ชั้นสองทันที ห้องพักแรกเป็นห้องของเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มขาเป๋แจ้งข่าวแก่แขกที่มาเปิดประตู เฉินผิงอันฟังแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังบอกด้วยรอยยิ้มว่าแขกในอีกสองห้องที่เหลือเขาจะไปบอกเอง ให้เด็กหนุ่มไปแจ้งคนที่พักอยู่ห้องอื่นได้เลย เด็กหนุ่มขาเป๋เอ่ยขอบคุณแล้วรีบร้อนจากไป
เผยเฉียนเปิดประตู ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะถูกจุดแล้ว หนังสือเล่มหนึ่งวางแบไว้ด้านข้าง นางยิ้มพูดว่าข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่น่ะ
เฉินผิงอันไม่ได้เปิดโปงแผนการเล็กๆ น้อยๆ ของนาง อันที่จริงเผยเฉียนกำลังเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวในห้องของจูเหลี่ยนกับเว่ยเซี่ยน พอได้ยินเสียงเคาะประตูถึงรีบหยิบหนังสือออกมาจากห่อสัมภาระ แล้วเอามาจัดวางให้เฉินผิงอันเข้าใจว่านางกำลังอ่านหนังสือ
เฉินผิงอันบอกให้นางเก็บสัมภาระ เพราะจำเป็นต้องออกไปจากโรงเตี๊ยมชั่วคราว
ห้องที่อยู่ติดกัน จูเหลี่ยนเปิดประตูห้องออกมาแล้ว เขาพูดกับเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากเว่ยเซี่ยนมาเปิดประตูให้ก็หลับไปอีกครั้ง ข้าไปปลุกเขาให้นายน้อยดีไหม?”
ตอนที่จูเหลี่ยนกำลังจะหมุนตัวกลับ เว่ยเซี่ยนที่กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่วร่างก็ลุกขึ้นมานั่งแล้ว เขานวดคลึงหว่างคิ้ว พูดกับคนทั้งสองว่า “ตื่นแล้ว”
มือปราบสามคนของเมืองหูเอ๋อร์ซึ่งรวมถึงตัวหม่าผิงเอง พอได้ยินว่าจะมีกองทัพทหารม้าผ่านมาก็เอะอะโวยวาย แต่สุดท้ายก็ยอมออกไปจากห้องพักแต่โดยดี
เด็กสาวผูกผมหางม้ายืนอยู่ตรงระเบียงนอกห้อง นางพักห้องที่ตั้งอยู่สุดปลายทางของระเบียงชั้นสอง เวลานี้กำลังถลึงตามองไปยังสตรีแต่งานแล้วที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง “โรงเตี๊ยมของเจ้ารับรองแขกกันแบบนี้หรือ? ช่างเปิดหูเปิดตาให้ข้าจริงๆ ไม่นึกเลยว่าในชายแดนแห่งนี้จะยังมีคนที่กล้าทำตัวไร้เหตุผลภายใต้เปลือกตาของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยา ข้าอยากจะเห็นนักว่าเป็นเทพเซียนจากที่ใด ถึงได้สามารถไล่คนทั้งหมดออกจากโรงเตี๊ยมด้วยคำพูดประโยคเดียว!”
เด็กสาวใช้มือข้างเดียวเท้าราวระเบียงแล้วกระโดดลงไปจากชั้นสองโดยตรง ทำเอาพวกหม่าผิงสามคนที่มองอยู่หนังตากระตุก นังหนูบ้านไหนถึงมีฝีมือได้ขนาดนี้
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเจื่อน ขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
ผู้เฒ่าหลังค่อมถือกระบอกสูบยา คิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้าไปคุยให้เองแล้วกัน พวกเราเปิดโรงเตี๊ยมต้อนรับแขก จะแบ่งแยกคนจนคนรวยได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าเดินดิ่งออกจากโรงเตี๊ยม เรือนกายหายไปท่ามกลางแสงราตรีอันกว้างใหญ่
สตรีแต่งงานแล้วหันไปเอ่ยขออภัยแขกสองกลุ่มที่อยู่บนชั้นสอง “อีกเดี๋ยวพวกเจ้าแค่อยู่ในห้องของตัวเองก็พอ เรื่องในคืนนี้เป็นโรงเตี๊ยมของพวกเราที่ผิดต่อทุกท่าน หลังจบเรื่องจะมอบเหล้าบ๊วยหมักห้าปีให้พวกเจ้าคนละหนึ่งไห”
เด็กสาวทะยานตัวกลับมาที่ชั้นสอง ปิดประตูห้องตามหลังดังปัง
พวกหม่าผิงสามคนก็กลับห้องไปอย่างขุ่นเคือง
เฉินผิงอันบอกให้เว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยนไปนั่งที่ห้องเขาก่อนสักครู่หนึ่ง ส่วนเผยเฉียนก็แน่นอนว่าไม่ต้องพูดให้มากความ
สตรีแต่งงานแล้วบอกให้เด็กหนุ่มขาเป๋ออกไปข้างนอก ไปบอกให้บัณฑิตแซ่จงคนนั้นเลือกห้องพักที่ชั้นสอง อย่าป้วนเปี้ยนอยู่ข้างนอกให้เกะกะสายตาของคนอื่น
บัณฑิตชุดเขียวเลือกห้องพักที่ชั้นสองได้แล้วก็มายืนฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง สตรีแต่งงานแล้วยื่นนิ้วชี้มาทางเขา “ไสหัวเข้าไปในห้อง”
บัณฑิตกล่าวอย่างเป็นกังวล “จิ่วเหนียง เจ้าหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ ทหารนิสัยหยาบกระด้างพวกนั้นจะคิดชั่วกับเจ้าหรือไม่ พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้วก็ยิ่งง่ายที่จะทำตัวเหลวไหล…”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะได้เป็นวีรบุรุษช่วยเหลือสาวงามพอดีไม่ใช่หรือ หากข้าตาบอดขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจจะมอบชีวิตตอบแทนเจ้าก็ได้”
เขาโบกมือปฏิเสธ “ฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นอ่อนแอ มิใช่การกระทำของวิญญูชน จิ่วเหนียงเจ้าวางใจเถอะ บัณฑิตอย่างพวกเรามีปราณแห่งความเที่ยงธรรมอยู่เต็มร่าง บวกกับหลักการอริยะปราชญ์ที่มีอยู่เต็มท้อง ขอแค่ข้ายืนอยู่ตรงนี้ เชื่อว่าต่อให้พวกเขาจะดื่มมากแค่ไหนก็ไม่มีทางเกิดความคิดชั่วร้ายได้แน่นอน…”
ไม่รอให้สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอะไร เด็กสาวแซ่เหยาที่อยู่ในห้องห่างไปไกลก็เปิดประตูออกมา ชักดาบออกจากฝักมาครึ่งหนึ่งจนเกิดเสียงโลหะเสียดสีดังกังวาน ตวาดใส่บัณฑิตเสียงกร้าว “เจ้าบ้ากาม หุบปากเดี๋ยวนี้!”
เห็นได้ชัดว่าดาบของเด็กสาวใช้ได้ผลกว่าหมัดและเท้าของเด็กหนุ่มขาเป๋มาก บัณฑิตรีบเดินเข้าไปในห้องทันที ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมด้วยซ้ำ
ยิ่งเป็นเช่นนี้ เด็กสาวยิ่งผิดหวังในตัวของสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ชั้นล่าง ตลอดทั้งปีเอาแต่มั่วสุมอยู่กับผู้ชายพวกนี้ นั่งดื่มนั่งกิน แตกต่างจากสตรีในหอโคมเขียวตรงไหน?
เข้าไปในห้อง เด็กสาวนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ อารมณ์เศร้าใจตีตื้นขึ้นมาจึงเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
สตรีแต่งงานแล้วยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน ถอนหายใจหนึ่งที เทเหล้าบ๊วยให้ตัวเองหนึ่งชาม
เสียงตุ้บดังขึ้น
สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าบัณฑิตกระโดดจากชั้นสอง ร่วงตกลงมาบนพื้น พอลุกขึ้นยืนก็เดินมาทางโต๊ะขึ้นเงินแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่วเหนียง คิดซะว่าข้าเป็นคนทำบัญชีก็แล้วกัน อยู่ห่างเจ้าเกินไป ข้าไม่วางใจ”
บัณฑิตคลี่ยิ้มอ่อนโยน
สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึง ก่อนจะตอบกลับไปว่า “แต่เจ้าขี้เหร่ขนาดนี้ อยู่ใกล้เจ้าเกินไป ข้าสะอิดสะเอียน”
บัณฑิตรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ทรุดตัวนั่งยอง ยกมือกุมหัว
ที่แท้คำพูดออดอ้อนกระหนุงกระหนิงของบุรุษมากความสามารถกับสตรีงดงามในนิทาน คำรักรื่นหูของชายหญิงที่เคยเห็นเคยอ่านมาล้วนเป็นเรื่องโกหก ใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว
ผู้เฒ่าหลังค่อมเดินนำเข้ามาในโรงเตี๊ยมก่อน
ด้านหลังมีคนกลุ่มหนึ่งติดตามมา น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายค่อนข้างมีเหตุผลจึงไม่ได้ไล่แขกที่พักบนชั้นสองออกไป แล้วก็ไม่ได้กรูกันเข้ามานั่งเต็มโต๊ะห้าตัวในคราวเดียว
คนที่เป็นผู้นำคือชายวัยกลางคนสวมชุดสีแดงหลายหม่าง (ชุดลายงูเหลือมหรือมังกรสี่เล็บ) ใบหน้าขาวไร้หนวดเครา พลังอำนาจเฉียบคมน่ายำเกรง
คนสองคนด้านหลังบุรุษชุดหม่าง คนหนึ่งสวมเสื้อเกราะสีเงินที่สลักลายเมฆ เวลาก้าวเดินเกราะเหล็กบนร่างจะส่องแสงแวววาว และยังมีอีกคนหนึ่งที่อายุประมาณเจ็ดสิบปี สวมชุดผ้าแพร บนศีรษะสวมกวานสูง ลักษะท่าทางเหมือนเซียน
คนเจ็ดแปดคนด้านหลังน่าจะเป็นข้ารับใช้คนสนิท
พวกบุรุษชุดหม่างสามคนนั่งลงตรงโต๊ะตัวหนึ่ง ข้ารับใช้คนอื่นๆ นั่งลงบนโต๊ะอีกสองตัว ในบรรดาผู้ติดตามมีคนหนุ่มหน้าตาไม่สะดุดตาอยู่คนหนึ่ง ตรงเอวห้อยหยกประดับหนึ่งชิ้น พอเห็นสตรีแต่งงานแล้วก็คลี่ยิ้ม
นอกโรงเตี๊ยมคือทหารม้าเจ็ดแปดร้อยนาย ยังมีรถม้าอีกหลายสิบคัน ในรถม้าทุกคันต่างก็มีนักโทษอยู่หนึ่งคน รวมไปถึงคนสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง ทุกคนที่เฝ้ายามล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางของราชวงศ์ต้าเฉวียนโดยไม่มีข้อยกเว้น
ผู้เฒ่าหลังค่อมยู่หน้า
ผู้เฒ่านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นคนพวกนี้
ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้เห็นแก่หน้าของตาแก่มอซออย่างเขา แต่เห็นแก่หน้าของตระกูลเหยาเท่านั้น ทว่าหน้าของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาแปดหมื่นนายและหน้าของแม่ทัพใหญ่ผู้กรีฑาทัพลงใต้กลับใหญ่ได้แค่แลกคนสามโต๊ะจากห้าโต๊ะเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงไม่ขับไล่แขกบนชั้นสองไป ก็เพราะผู้ติดตามหนุ่มคนหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า หากคนมากก็ครึกครื้น ดื่มเหล้าถึงจะสนุก ขันทีชุดหม่างที่มีท่าทางยโสโอหังจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
แม่ทัพบู๊ที่สวมชุดเกราะสีเงินมองมาทางสตรีแต่งงานแล้ว เอ่ยสั่งความว่า “เอาเหล้าบ๊วยมาก่อนแล้วรีบยกอาหารตามมา”
ผู้เฒ่าหลังค่อมเลิกผ้าม่านเข้าไปง่วนอยูในครัว
เด็กหนุ่มขาเป๋เริ่มเดินเอาเหล้าไปส่งที่โต๊ะทั้งสาม
บรรยากาศของชั้นหนึ่งในโรงเตี๊ยมค่อนข้างเคร่งเครียด
รอบด้านเงียบสงัดจนแทบจะได้ยินเสียงเทเหล้า
แล้วทันใดนั้นก็มีคนยกมือขึ้นพูดกับสตรีแต่งงานแล้วด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เนี้ยะ รบกวนท่านรินเหล้าให้เหล่าพี่น้องด้วยตัวเอง ได้ยินว่าเหล้าบ๊วยสืบทอดวิธีทำมาจากบรรพบุรุษของท่าน แล้วท่านก็เป็นคนหมักเองกับมือ แน่นอนว่าต้องให้ท่านรินเหล้าด้วยตัวเองถึงจะถูก”
เมื่อมีคนหนุ่มพูดเปิดงาน ผู้ติดตามโต๊ะนี้ก็พลันหัวเราะครื้นเครงอย่างไม่เหลือความกังวลอีกต่อไป
สตรีแต่งงานแล้วยกเหล้าบ๊วยมาไหหนึ่ง คลี่ยิ้มเตรียมจะเดินไปรินให้ลูกค้า
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมร่างกายของสตรีแต่งงานแล้วถึงแข็งเกร็ง เปิดโรงเตี๊ยมมานานหลายปี สามสำนักเก้าสาขาในยุทธภพล้วนพบเจอมาหมด ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณเทพเซียนบนภูเขาก็ยังเจอมาไม่น้อย แต่เมื่อนางประสานสายตากับผู้ติดตามหนุ่มคนนั้นกลับเกิดความรู้สึกหวาดกลัว ราวกับคนธรรมดาทั่วไปที่เจอกับคนชั่วร้าย เหมือนคนเจอผีตอนกลางคืน เป็นความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ
บุรุษชุดเขียวพลันคว้ามือของสตรีแต่งงานแล้วเอาไว้ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “วันนี้ร่างกายของจิ่วเหนียงไม่ค่อยจะดี ข้าที่เป็นคนคิดบัญชีจะรินเหล้าให้เหล่าแขกผู้มีเกียรติด้วยตัวเอง ได้ไหม?”
ผู้ติดตามหนุ่มคนนั้นเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า เขากวาดตามองไปรอบด้าน “พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้าว่าได้หรือไม่?”
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้
ผู้ติดตามหนุ่มถึงได้มองมาทางบัณฑิตชุดเขียว “ไม่ได้ จะทำอย่างไรล่ะ? ไม่อย่างนั้นก็ให้เถ้าแก่เนี้ยะรินเหล้าอย่างเดิมดีไหม? แค่รินเหล้าเท่านั้น ไม่ได้บอกให้จิ่วเหนียงของเจ้าไปที่เมืองกว้าเจี่ยจวินเป็นเพื่อนพวกเราสักหน่อย ถูกไหม?”
ขันทีที่สวมชุดหม่างสีแดงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ส่วนเซียนซือผู้เฒ่าที่สวมกวานสูงกลับเบี่ยงหน้ามายิ้มบางๆ
เด็กสาวเหยาหลิ่งจือเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “ไม่ได้!”
ผู้ติดตามหนุ่มลุกขึ้นยืน ทำให้เขาดูโดดเด่นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่
เขาเงยหน้าขึ้น ถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมล่ะ?”
เพียงแค่มองประสานสายตากับคนผู้นี้ ในใจเด็กสาวก็รู้สึกหวาดหวั่น นางเอื้อมมือไปจับด้ามดาบตามจิตใต้สำนึก พูดออกไปอย่างไม่คิดว่า “ที่นี่คือถิ่นของตระกูลเหยา!”
เหยาหลิ่งจือไม่รู้เลยว่าวินาทีที่นางจับด้ามดาบ ผู้ติดตามทุกคนที่อยู่ในชั้นหนึ่งล้วนเกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว
แม่ทัพเกราะเงินที่นั่งอยู่ด้านข้างขันทีชุดหม่างและเซียนซือกวานสูงก็ยิ่งแผ่ปราณสังหารเข้มข้น
ผู้ติดตามหนุ่มยืดคอมองมาทางชั้นสองอยู่ตลอดเวลา แต่กลับเหมือนว่าเห็นความเคลื่อนไหวทั้งหมดในชั้นหนึ่งอยู่ในสายตา จึงยื่นมือข้างหนึ่งออกมากดลงเบาๆ บอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าอย่าได้วู่วาม จากนั้นถึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทว่าตลอดทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียนล้วนเป็นถิ่นของตระกูลข้านี่นา ทำอย่างไรดี? หรือว่าตระกูลเหยาของพวกเจ้าคิดจะก่อกบฏ?”
สตรีแต่งงานแล้วหิ้วกาเหล้าเดินออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน นางหันไปพูดเสียงหนักกับเด็กสาวก่อน “หลิ่งจือ กลับเข้าห้องไป!”
แล้วจึงยอบตัวคาระผู้ติดตามหนุ่มผู้นั้น “จิ่วเหนียงจะรินเหล้าให้คุณชายเดี๋ยวนี้”
ผู้ติดตามหนุ่มกระตุกมุมปากขึ้น จ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้ว ก่อนชี้ไปทางเด็กสาวที่อยู่ชั้นสอง “พวกเจ้าสองแม่ลูกมาพร้อมกันเลย ดีไหม?”
สตรีแต่งงานแล้วหน้าซีดเผือด
ประตูห้องบนชั้นสองเปิดออก คนหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งเดินออกมา “ข้าคิดว่าไม่ดี”
ผู้ติดตามหนุ่มหันไปมองคนผู้นั้น สายตาฉายแววคลุมเครือ “อ้อ? เจ้าคือหอมต้นไหนล่ะ?” (คือวลีฮิตในอินเตอร์เน็ต มีความหมายในเชิงดูถูก เพราะต้นหอมเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันจึงถือว่ามีความสำคัญ ประโยคนี้จึงเหมือนถามว่า คิดว่าตัวเองสำคัญนักหรือไง? หรือคิดว่าตัวเองเป็นใคร?)
คราวนี้ชั้นหนึ่งมีคนช่วยตอบแทนเฉินผิงอัน “แล้วเจ้าล่ะคือหอมต้นไหน?”
คือบัณฑิตตกอับแซ่จงคนนั้น
ผู้ติดตามหนุ่มทอดถอนใจอย่างเศร้าใจ “เอาล่ะ คืนนี้แต่ละคนล้วนจงใจหาเรื่องข้า ไม่เต็มใจไล่แขกไปจากโรงเตี๊ยม เถ้าแก่เนี้ยะที่ไม่เต็มใจรินเหล้าให้ เด็กสาวตระกูลเหยาที่อ้าปากได้ก็พูดจาสามหาว คนต่างถิ่นสวมชุดขาวที่คิดว่าตัวเองคือเซียนกระบี่ บัณฑิตสวมชุดเขียวที่คิดว่าตัวเองคืออริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ…”
เขาพลันหันไปมองสตรีแต่งงานแล้ว ก่อนจะมองเด็กสาวที่อยู่ชั้นบนแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร คืนนี้พวกเจ้าสองคนลองพยายามช่วยตระกูลเหยาดูได้ หากข้าอารมณ์ดี ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยดึงตระกูลเหยาขึ้นมาจากหลุมไฟก็ได้”
สตรีแต่งงานแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งคล้ายตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด นางหันหน้าไปพูดกับบัณฑิตตกอับว่า “จงขุย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็พอจะมีความสามารถ ดังนั้นหลังจากนี้หากเจ้าหนีไปได้ก็หนีไปซะ ไม่ต้องสนใจพวกเรา”
จากนั้นนางก็เงยหน้ามองไปทางเฉินผิงอัน กำลังจะเปิดปากพูด
เฉินผิงอันกลับถามด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เนี้ยะ คำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้า พูดว่าอย่างไรแล้วนะ?”
สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกสงสัย จึงเงียบไปพักหนึ่ง
เฉินผิงอันจึงพูดกับตัวเองว่า “บนโลกมนุษย์หนทางคับแคบ แต่จอกเหล้ากว้าง”
หนทางคับแคบ ดังนั้นถึงได้บังเอิญเจอกับคนตระกูลเหยาที่เกี่ยวข้องกับใบไหว
หนทางคับแคบ ดังนั้นจึงได้พบเจอกับคนกลุ่มนี้ที่ต้องการให้คนอื่นตายไปทั้งหมด
แต่ไม่เป็นไร เหล้าบ๊วยของที่นี่อร่อยมาก
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “วันนี้คงต้องรบกวนทั้งสี่ท่านแล้ว”
ภายใต้การจับจ้องมองมาของทุกคน ในห้องด้านหลังของคนหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่บนชั้นสองมีคนเดินออกมาสี่คน
ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนเดินนำออกมาก่อน เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”
จากนั้นจูเหลี่ยนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ก็ค้อมเอวเดินออกมายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเฉินผิงอัน เอามือสองข้างไพล่หลัง พูดกลั้วหัวเราะว่า “คำพูดประโยคนี้ของนายน้อยเกินความจำเป็นแล้ว”
สตรีงามเลิศล้ำคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่ ‘ชือซิน’ มายืนอยู่ข้างเว่ยเซี่ยน นางก็คือสุยโย่วเปียนเซียนกระบี่สาวแห่งพื้นที่มงคลดอกบัว นางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ขอบคุณคุณชายที่ให้ยืมกระบี่”
สุดท้ายคือบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของลัทธิมารผู้มีเรือนกายกำยำ หลูป๋ายเซี่ยง มือทั้งสองข้างของเขากุมด้ามดาบยืนอยู่ข้างกายจูเหลี่ยน พูดพร้อมยิ้มบางๆ “นายท่าน ดาบนี้ไม่เลวเลย หยุดหิมะ ชื่อก็ดีด้วย”
สุดท้ายและท้ายสุด น้ำเสียงอ่อนเยาว์ขลาดๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านพ่อ แล้วข้าล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “กลับไปอ่านหนังสือในห้อง!”
เด็กหญิงร่างผอมแห้งร้องอ้อหนึ่งที หลังจากปิดประตูลงเบาๆ แล้วก็เริ่มท่องหนังสือเสียงดัง หลักการของอริยะปราชญ์ที่อยู่ในตำราถูกนางอ่านออกเสียงจนดังสะเทือนเลือนลั่น
บัณฑิตชั้นหนึ่งฟังเสียงท่องหนังสือจากบนชั้นสอง
บนชั้นสองนอกจากเสียงท่องหนังสือแล้วยังมีเฉินผิงอัน เว่ยเซี่ยน จูเหลี่ยน สุยโย่วเปียน และหลูป๋ายเซี่ยง
—–