กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 336.1 การคุมเชิงระหว่างราชสำนักกับป่าเขา
ค่ำคืนนี้ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ริมชายแดนแห่งนี้มีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน
หลังจากที่ห้าคนนั้นเดินออกมาจากในห้อง ลมหายใจของเด็กสาวเหยาหลิ่งจือก็เริ่มหนักอึ้ง
นี่ทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่อ
ความหวาดกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ติดตามหนุ่มคนนั้นต้องเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่เจือปนไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ประหนึ่งหญิงสาวผู้บอบบางเผชิญหน้ากับบุรุษที่มีความคิดชั่วร้าย ดั่งลูกน้องที่เคารพยำเกรงในอำนาจที่มองไม่เห็น ดั่งคนที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงพวกคนที่จิตใจชั่วร้ายมาตั้งแต่เกิด
ทว่าอาการหายใจติดขัดที่เกิดขึ้นเมื่อเหยาหลิ่งจือมองไปยังคนห้าคนที่อยู่บนชั้นเดียวกันกลับเป็นการหยั่งรู้ที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ
อยู่ในป่าผืนเดียวกัน ดั่งกระต่ายและกวางพบเสือกับหมี อยู่ในแม่น้ำสายเดียวกัน ดั่งกุ้งและปลาพบเจอเจียวกับมังกร
เหยาหลิ่งจือรับหน้าที่หน่วยสอดแนมของกองทัพชายแดนมานานถึงสามปีแล้ว มีอยู่สองครั้งที่ร่วมรบในศึกเป็นตาย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทว่าไม่เคยมีครั้งใดที่เหยาหลิ่งจือคิดอยากจะถอยหนี ตามหลักแล้วก็ไม่ควรมีความรู้สึกแบบนี้ถึงจะถูก
นางคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลเหยารุ่นนี้ อายุแค่สิบสี่ปีก็เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ อีกทั้งยังมีหวังว่าจะฝ่าคอขวดไปได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าตอนอายุสิบห้า หรือเป็นขอบเขตห้าตอนอายุสิบเจ็ด นางก็ล้วนคู่ควรกับคำว่า ‘ผู้มีพรสวรรค์’ ทอดสายตามองออกไปทั่วราชวงศ์ต้าเฉวียน ไม่ว่าจะเป็นในกองทัพหรือในยุทธภพ เหยาหลิ่งจือก็ถือเป็นหยกดิบชั้นเยี่ยม เพียงแค่ผ่านการเจียระไนเล็กน้อยก็สามารถส่องแสงเปล่งประกาย ไม่มีใครสงสัยว่าในอนาคตนางจะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตบังคับลมได้อย่างราบรื่น กลายเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ที่พิชิตพื้นที่แห่งหนึ่งได้หรือไม่
โดยเฉพาะในข้อที่ว่ายอดฝีมือที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพ พลังพิฆาตจะรุนแรงมากพิเศษ นี่ก็ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลย
ในยุทธภพ การเข่นฆ่าของปรมาจารย์ส่วนใหญ่มักจะเป็นการงัดข้อกับคนในระดับที่ฝีมือสูสีเท่าเทียมกัน บนสนามรบแสวงหาคำว่าหนึ่งคนคือด่านปราการอันแน่นหนา ร้อยศัตรู พันศัตรูมิอาจต่อกร
เหยาหลิ่งจือกำวัตถุชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนก้อนเงินไว้ในมือแน่น วัตถุชิ้นนี้ก็คือเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมือง อีกทั้งยังเป็นเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ย (จินอูคือนกสามขาในตำนาน จิงเหว่ยหมายถึงเส้นแวงและเส้นรุ้ง) ที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาเรียกเหน็บแนมว่า ‘เสื้อเกราะแอ่งน้ำ’ คือสมบัติตระกูลเซียนอย่างสมชื่อ แค่นี้ก็รู้แล้วว่ากองทัพชายแดนสกุลเหยาฝากความหวังไว้ที่เหยาหลิ่งจือสูงแค่ไหน
ผู้ติดตามหนุ่มมองห้าคนที่อยู่บนชั้นสองแล้วตบโต๊ะ แสร้งพูดอย่างโมโหว่า “อาศัยว่ามีคนมาก เลยคิดจะข่มขู่ข้างั้นหรือ?”
ตอนที่คนหนุ่มพูดประโยคนี้ คิ้วตาของเขากลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
ในโรงเตี๊ยมมีคนนั่งอยู่เต็มสามโต๊ะ ด้านนอกยังมีทหารม้าอีกหลายร้อยนาย คงเพราะรู้สึกได้ว่าตัวเองไร้ยางอายเกินไปหน่อย เขาจึงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้
ทหารกล้าในกองทัพซึ่งแต่งกายเป็นข้ารับใช้ที่นั่งอยู่อีกสองโต๊ะก็พากันหัวเราะตามอย่างครื้นเครง
พวกเขาไม่เห็นความเคลื่อนไหวของคนบนชั้นสองอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แม้จะบอกว่าพลังอำนาจของคนเหล่านั้นน่าเกรงขามมากพอ ถึงขั้นทำให้จิตใจคนสั่นสะเทือนได้ แต่แล้วอย่างไรเล่า?
ก็แค่พวกคนบุ่มบ่ามในยุทธภพเท่านั้น
คนในยุทธภพของราชวงศ์ต้าเฉวียนถูกตัดกระดูกสันหลังกันไปนานแล้ว เป็นได้แค่สุนัขกลุ่มหนึ่งที่นอนหมอบส่ายหางขอความสงสารเมตตาอยู่หน้าประตูราชสำนักเท่านั้น
และคนที่ลงมือตัด ทุบกระดูกสันหลังของทั้งยุทธภพให้แหลกละเอียดด้วยมือตัวเอง วันนี้ก็นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมพอดี
ผู้ที่เจตนาดีไม่มา ผู้ที่มาเจตนาไม่ดี
เถ้าแก่เนี้ยะที่มีฉายาว่าจิ่วเหนียงไม่ได้รู้สึกโล่งอกเพราะการปรากฏตัวของเฉินผิงอัน กลับกันยังหนักใจมากกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ท่านปู่สามแจ้งชื่อแซ่ของตัวเองไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังบีบบังคับกันถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจมาเพราะคำว่า ‘เหยา’
หากเกิดข้อพิพาทกันขึ้นมา กลัวก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะนำเรื่องนี้ไปสร้างความลำบากใจให้กับตระกูลเหยา
ผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่ตรงผ้าม่านพยักหน้าให้สตรีแต่งงานแล้วเบาๆ
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มขื่น เดิมทีอีกฝ่ายก็เหมือนนักประพันธ์ร่ำสุรา แต่ไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของสุรา (สุภาษิตที่มีความหมายเปรียบเปรยถึงว่าเจตนาไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ แต่อยู่กับสิ่งอื่น หรือมีเจตนาอย่างอื่น) อยู่แล้ว พวกเขาอาจจะกลัวว่าใต้หล้ายังไม่วุ่นวายพอด้วยซ้ำ คงต้องการลากคนทั้งตระกูลเหยาลงน้ำ
ทั้งที่รู้ดีว่าทุกวันนี้ตระกูลเหยาอยู่ท่ามกลางมรสุมที่พัดแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทางที่ดีที่สุดคือควรอยู่เงียบๆ ห้ามเคลื่อนไหวทำอะไร และนางกับโรงเตี๊ยมก็ได้แต่ทนแล้วทนอีก ทว่าเวลานี้นางกลับไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนบนชั้นสองถอยกลับไป คนเขาหวังดีออกหน้าช่วยเหลือ แต่เจ้ากลับต้องการให้คนเขาทำตัวเป็นเต่าหดหัวในกระดอง สตรีแต่งงานแล้วทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
บัณฑิตชุดเขียวกล่าวอย่างสงสัย “คนพวกนี้คือ?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเฝื่อน “ผู้สูงศักดิ์ที่มาจากเมืองหลวง ไม่ควรมีเรื่องด้วย”
บัณฑิตร้องอ้อหนึ่งที ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ขณะที่กำลังจะพูด สตรีแต่งงานแล้วก็เอ่ยอย่างระอาใจเสียก่อน “จงขุย ถือว่าข้าขอร้องเจ้า เลิกก่อกวนได้แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้วุ่นวายมาก ข้าไม่มีอารมณ์มาสนใจเจ้าอีก”
บัณฑิตถอนหายใจหนึ่งที แล้วก็ยอมปิดปากเงียบจริงๆ
เฉินผิงอันหลุบตามองต่ำมายังชั้นหนึ่ง ถามว่า “รังแกสตรีคนหนึ่งอย่างเถ้าแก่เนี้ยะ ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่กระมัง?”
ผู้ติดตามหนุ่มหัวเราะคิกคัก “ออกมาทำการค้า รินเหล้าให้ลูกค้าแค่ไม่กี่จอก จะเรียกว่ารังแกได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันชี้ไปที่หัวใจของชายหนุ่ม “ลองถามใจตัวเองดู”
คนหนุ่มอึ้งตะลึงไปก่อน แต่แล้วก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มเหล้าคำใหญ่ ก่อนจะเช็ดปาก พูดด้วยรอยยิ้ม “หากประโยคนี้ออกมาจากปากของอาจารย์ฉู่แห่งสำนักศึกษา ข้าต้องตั้งใจใคร่ครวญให้ดีอย่างแน่นอน แต่เจ้าน่ะ คู่ควรด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เหตุผลก็คือเหตุผล ยังต้องแบ่งด้วยหรือว่าออกมาจากปากของใคร? เจ้าชอบรังแกคนที่อ่อนแอ หวาดกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่าไม่ใช่หรือ? เชื่อว่าขอแค่เป็นคนที่หมัดแข็งแกร่งกว่าเจ้า จะมีเหตุผลหรือไม่ เจ้าก็คงต้องยอมฟังกระมัง?”
คนหนุ่มพยักหน้ารับ “คำพูดเหล่านี้ ข้ารับฟังไว้แล้ว มีเหตุผลมากจริงๆ”
จากนั้นเขาก็ขว้างถ้วยเหล้าที่อยู่ในมือ ชูแขนขึ้นสูง กางนิ้วทั้งห้าออกแล้วกำเป็นหมัดเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็มาลองดูว่าหมัดใครแข็งกว่ากัน? ข้าอยากจะเห็นนักว่าในอาณาเขตของต้าเฉวียนแห่งนี้ จะมีสักกี่คนที่กล้างัดข้อกับข้า”
สตรีแต่งงานแล้วกังวลว่าเฉินผิงอันที่ยังเด็กจะใช้อารมณ์นำเหตุผล ชิงลงมือก่อน ถึงเวลานั้นจะเสียเปรียบอย่างหนัก จึงรีบเอ่ยเตือนว่า “คุณชายอย่าได้วู่วาม คนเหล่านี้ได้รับคำสั่งจึงออกมาจากเมืองหลวง มีพระราชโองการของฮ่องเต้อยู่กับตัว หากท่านลงมือก่อน ต่อให้มีเหตุผลก็อธิบายได้ไม่กระจ่าง”
ผู้ติดตามหนุ่มมองไปทางสตรีแต่งงานแล้วด้วยสายตามืดทะมึน “หุบปาก! เป็นแค่แม่หม้ายรองเท้าขาด (รองเท้าขาดเป็นคำด่าผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับบุรุษไม่เลือกหน้า) มีสิทธิ์อะไรมาสอดปากพูด? รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
สตรีแต่งงานแล้วหน้าเขียวคล้ำ
ผู้ติดตามหนุ่มชี้ไปยังจิ่วเหนียง แล้วค่อยชี้ไปทางพวกเฉินผิงอันที่อยู่บนชั้นสอง แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “จิ่วเหนียงแซ่เหยาแอบสมคบคิดกับคนในยุทธภพของแคว้นอื่น หวังจะชิงรถนักโทษ มีโทษมหันต์”
สตรีแต่งงานแล้วเดือดดาลอย่างถึงที่สุด ในที่สุดก็หลุดด่าด้วยคำหยาบคาย “ตะพาบน้อยอย่างเจ้าเป็นใครกันแน่?!”
คนหนุ่มชี้ไปที่ตัวเอง พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้า? ตะพาบน้อย?!”
เขากระแอมหนึ่งที จัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเอง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อิงตามคำพูดของเหยาฮูหยินท่านนี้ เกาซื่อเจินก็ต้องเป็นตะพาบเฒ่าสินะ ฮ่าๆ เจ้าว่าตลกหรือไม่? กลับไปบ้านข้าจะต้องเอาเรื่องตลกนี้ไปเล่าให้เกาซื่อเจินฟังสักหน่อย”
จิ่วเหนียงสตรีแต่งงานแล้วกับท่านปู่สามผู้เฒ่าหลังค่อมหันมามองตากัน ต่างคนต่างใจสั่น
เซินกั๋วกง เกาซื่อเจิน!
ท่านกั๋วกงบุคคลผู้มากความสามารถที่หาได้ยากในราชวงศ์ต้าเฉวียน ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอย่างยิ่ง
ต้าเฉวียนสงบสุขมานาน สกุลหลิวสืบทอดแคว้นมาถึงสองร้อยปี ยุคแรกของการก่อตั้งประเทศ คนต่างแซ่ที่ได้รับบรรดาศักดิ์รวมแล้วมีจวิ้นหวังสามคน กั๋วกงเจ็ดคน แต่ผู้ที่สามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์มาจนถึงทุกวันนี้กลับมีแค่สายของเซินกั๋วกงสายเดียว คนอื่นๆ ล้วนทุบถ้วยข้าวที่บรรพบุรุษใช้ชีวิตแลกมาทิ้งไปหมดแล้ว และเซินกั๋วกงก็มีบุตรชายอยู่คนเดียว เป็นบุตรชายที่ได้มาตอนเขาอายุมากแล้ว ก็คือกั๋วกงน้อยเกาซู่อี้ อยู่ในเมืองหลวงเจ้าหมอนี่ก็มีชื่อเสียงว่าเป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่กำเริบเสิบสาน โด่งดังไปทั่วราชสำนัก อาศัยร่มเงาของบรรพบุรุษสร้างหายนะใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับอยู่รอดปลอดภัยมาได้ทุกครั้ง ความใจกว้างที่ฮ่องเต้มีต่อเกาซู่อี้ ไม่ว่าองค์ชายหรือองค์หญิงคนใดก็ไม่อาจทัดเทียมได้
ดังนั้นวงการขุนนางของราชสำนักจึงมีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า กั๋วกงน้อยออกจากจวน แผ่นดินไหวภูเขาโยกคลอน
ลูกหลานผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ขนาดนี้มาเข้าร่วมการกรีฑาทัพลงใต้ครั้งนี้ได้อย่างไร? แม้ฮ่องเต้จะปฏิบัติต่อสายของเซินกั๋วกงดีเป็นพิเศษ ทว่าด้วยความปรีชาของฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางทำเรื่องเหมือนเด็กเล่นขายของแบบนี้เด็ดขาด
คนในราชวงศ์ต้าเฉวียนที่ไม่กลัวว่าจะหาเรื่องให้ไฟลุกลามไหม้ตัวมากที่สุด เกรงว่าคงเป็นเกาซู่อี้ที่ไร้ขื่อไร้แปผู้นี้แล้ว
ซ่งเซียวแม่ทัพใหญ่ที่คุณูปการการต่อสู้เกริกก้อง ควบตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหม หลังจากที่หลานชายคนโตถูกเกาซู่อี้รังแก ก็ยังได้แค่ด่าเกาซู่อี้ประโยคหนึ่งว่าไม้กวนขี้
บนชั้นสอง เว่ยเซี่ยนอธิบายถึงภูมิหลังของเซินกั๋วกงให้เฉินผิงอันฟังเบาๆ
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ และในขณะที่ทุกคนนึกว่าเขาที่รู้ถึงปัญหาแล้วจะยอมถอยนั้นเอง เขาที่อยู่บนชั้นสองกลับมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าท่านกั๋วกงน้อยในเวลาเพียงชั่วพริบตา
……
บนถนนด้านนอกโรงเตี๊ยม ทหารม้าคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังสารถีกำลังเคี้ยวอาหารแห้งฝืดคอ บางครั้งก็ยกกาน้ำขึ้นดื่ม
เขาเงยหน้ามองนกพิราบส่งสารตัวหนึ่งที่บินขึ้นไปจากด้านหลังโรงเตี๊ยม แล้วก็มีคนวิ่งตะบึงออกมา รอให้ทหารม้าออกคำสั่ง บนไหล่ของทหารม้าผู้นี้มีนกอินทรีสีขาวปลอดลักษณะสูงสง่าตัวหนึ่งยืนเกาะอยู่ เขาเพียงโบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจ”
คนผู้นั้นจึงถอยออกไปเงียบๆ
ทหารม้าก็คือคนที่นำข่าวมาส่งให้โรงเตี๊ยมตอนแรกสุดคนนั้น สารถีที่อยู่ข้างกายเขายืดเอวตั้งตรง ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเลิกผ้าม่านเดินออกมา ถามด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชาย เหตุใดถึงไม่เข้าไปในโรงเตี๊ยมด้วยกันเล่า?”
บุรุษยิ้มให้แล้วส่ายหน้า
การควบคุมตัวเองคือความรู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
สำหรับคนที่เกิดมาในครอบครัวของเชื้อพระวงศ์อย่างพวกเขาแล้ว การควบคุมคนเป็นเรื่องที่ได้รับกล่อมเกลาจากสิ่งที่เห็นและได้ยินมาตั้งแต่เด็ก และการใช้ประวัติศาสตร์มาเป็นกระจกเงาก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยาก
—–