กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 337 ย่อมมีช่วงเวลาที่เหตุผลใช้ไม่ได้ผล
สำหรับคำพูดของบัณฑิต เฉินผิงอันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
นักพรตเฒ่าเคยพาเขาท่องชมชีวิตคนสารพัดรูปแบบในพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันจึงพอจะเข้าใจสถานการณ์ในวงการขุนนางได้คร่าวๆ เรื่องเละเทะครั้งนี้ นับตั้งแต่เฉินผิงอันลงมือก็วางแผนไว้แล้วว่าจะหนีไปทางทิศใต้ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกผู้ฝึกลมปราณของราชวงศ์ต้าเฉวียนไล่ฆ่าไปไกลนับหมื่นลี้ ต่อให้บัณฑิตตกอับจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักใหญ่ของตระกูลเซียนบนภูเขาในใบถงทวีป อย่างเช่นหนึ่งในสี่กองกำลังใหญ่อย่างสำนักใบถงทวีป สำนักกุยหยก สำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิง ก็ยังยากที่เขาจะรับมือกับสภาพการณ์ยากลำบากในครั้งนี้ได้อยู่ดี
ส่วนข้อที่ว่าบัณฑิตมาจากสำนักศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งของลัทธิขงจื๊อหรือไม่ เฉินผิงอันคิดว่าน่าจะไม่ใช่ เพราะในความทรงจำของเขา นักปราชญ์และวิญญูชนของสำนักศึกษา เว้นเสียจากว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงระบบสืบทอดของหนึ่งแคว้น ก็จะไม่มีทางเต็มใจ แล้วก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าแทรก ‘เรื่องในบ้าน’ ของราชวงศ์โลกมนุษย์เด็ดขาด
ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินผิงอันก็น้อมรับความหวังดีของบัณฑิตไว้แล้ว
เพียงแต่เฉินผิงอันไม่ได้บุ่มบ่ามหันไปมองบัณฑิต เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เผยพิรุธออกมา
เพราะคนที่เฉินผิงอันกริ่งเกรงมากที่สุดคือขันทีในวังที่สวมชุดหม่างสีแดงคนนั้น ปราณวิญญาณทั่วร่างของเขามารวมตัวกันได้ถึงระดับ ‘น้ำสักหยดก็มิอาจเล็ดรอด’ อย่างที่กล่าวถึงในตำนาน รวมตัวกันอยู่ตรงจุดตันเถียนเหมือนโคมไฟดวงหนึ่งที่แขวนไว้กลางช่องโพรงลมปราณ ทุกครั้งที่หายใจทอดยาว เดี๋ยวก็มืดเดี๋ยวก็สว่าง แสงสว่างดำรงอยู่อย่างยาวนาน แต่ความมืดมิดนั้นกลับเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แม้ว่าจะไม่สามารถส่องแสงสว่างได้ตลอดเวลา แต่ต่อให้ไม่ได้เป็นเซียนดินโอสถทองที่แท้จริงก็เกรงว่าอยู่ห่างแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น
แม้จะบอกว่าห่างหนึ่งก้าวก็แตกต่างราวฟ้ากับเหว มีเพียงผู้ที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จเท่านั้นถึงจะเป็นคนรุ่นเดียวกับข้า
ทว่าคำพูดเช่นนี้ต้องเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่มีขอบเขตเซียนดินเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติพูดได้ สำหรับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ต่ำกว่าขอบเขตบังคับลมทุกคนแล้ว การดำรงอยู่ของคนที่สร้างโอสถทองได้ครึ่งหนึ่งก็ยังถือว่าสูงส่ง แค่ยกมือหรือขยับเท้าก็มีพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม
นอกโรงเตี๊ยม หรือบางทีควรพูดว่าในการมองเห็นของเว่ยเซี่ยนที่ยืนอยู่หน้าประตู
ผู้ฝึกลมปราณคนแล้วคนเล่าพุ่งทะยานมาพลิ้วกายหยุดอยู่ข้างนายทหารม้าหนุ่ม สองคนในนั้นก็คือเซียนซือแก่หง่อมที่อยู่ในห้องโดยสารก่อนหน้านี้ ในมือของเขาถือแส้ปัดฝุ่น และอีกคนคือผู้ฝึกตนสาว
ด้านหลังผู้ฝึกลมปราณหลายสิบคนคือทหารกล้าบนหลังม้าหลายร้อยนายที่กระจายตัวกันจัดวางค่ายกลอย่างรวดเร็ว พวกเขาโอบล้อมโรงเตี๊ยมไว้อย่างแน่นหนาจนน้ำสักหยดก็เล็ดรอดออกไปไม่ได้ ธนูแต่ละคันที่ทางราชสำนักสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่นำออกจากคลังสรรพาวุธล้วนจำเป็นต้องรายงานให้ที่ว่าการของกรมกลาโหมทราบ ไม่ว่าจะถูกทำให้เสียหาย ถูกทำลายหรือสูญหายก็ล้วนจำเป็นต้องไล่ตรวจสอบทีละชิ้นอย่างละเอียด
ทหารม้าหนุ่มทรุดตัวลงนั่งยอง สหายที่สนิทกันมาหลายปีตายตาไม่หลับ ดวงตาที่เบิกโพลงเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริดและสงสัย ทหารม้าเอามือลูบใบหน้าของกั๋วกงน้อยเบาๆ เพื่อให้เขาได้นอนตายตาหลับ
เห็นได้ชัดว่าเขาต่างหากที่เป็นผู้บงการตัวจริง ศพของเกาซู่อี้ที่จมน้ำในยุทธภพ (ยุทธภพอ่านว่าเจียงหู เจียงหูอีกความหมายหนึ่งคือแม่น้ำและทะเลสาบ) ตายอยู่บนพื้นนี้ แท้จริงแล้วคือสหายร่วมเรียนของคนผู้นี้ และในความเป็นจริงนอกจากเกาซู่อี้แล้ว ในโรงเตี๊ยมยังมีคนหนุ่มอยู่อีกสองคนที่ต่างก็เป็นสหายร่วมเรียนขององค์ชายยามเยาว์ซึ่งไม่มีทั้งตำแหน่งขุนนางและไม่ได้รับเงินเดือน พวกเขาต่างก็มาจากตระกูลของขุนนางผู้สร้างคุณความชอบ นี่ก็เพื่อให้วันใดวันหนึ่ง คำเรียกขานว่าองค์ชายจะเปลี่ยนไปเป็นองค์รัชทายาท หากสามารถเปลี่ยนจากองค์ชายเป็นฮ่องเต้ได้โดยตรงก็ยิ่งดีเข้าไปอีก
นายทหารหนุ่มก็คือหลิวเม่าองค์ชายสามแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน แม้พี่ชายสองคนอย่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต่างก็มีชื่อเสียงบารมีอย่างสูงอยู่ในกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นและแม่ทัพฝ่ายบู๊ ทว่าหลิวเม่ากลับเป็นองค์ชายที่ได้รับความรักความโปรดปรานมากที่สุด อีกทั้งในหมู่ชาวบ้านยังลือกันว่าตอนเด็กองค์ชายท่านนี้ชอบแอบออกจากวังมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์อยู่ด้านนอก ทุกครั้งที่กลับเข้าวังจะต้องเอาเรื่องน่าสนใจในหมู่ชาวบ้านและเรื่องราวในยุทธภพมากมายไปเล่าให้ฮ่องเต้ฟัง ทำให้ฮ่องเต้สำราญพระทัยอย่างยิ่งยวด
บวกกับที่แม่แท้ๆ ของหลิวเม่าเป็นสนมที่โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันรักใคร่มากที่สุด แต่นางกลับป่วยตายจากไป ฮ่องเต้หลิวเจินจึงยิ่งให้การปกป้องดูแลหลิวเม่ามากขึ้น คงจะเป็นเพราะรักใครก็ต้องรักนกที่เกาะชายคาบ้านคนผู้นั้นด้วย พวกเกาซู่อี้ที่เหล่าขุนนางเก่าแก่ส่งให้มาเป็นสหายร่วมเรียนในจวนองค์ชายสามจึงได้รับการปฏิบัติที่พิเศษกว่าคนอื่นไปด้วย
หลิวเม่าลุกขึ้นยืน บอกให้คนมาแบกศพของเกาซู่อี้ออกไป ก่อนจะหันไปพูดกับโรงเตี๊ยมว่า “ข้าประหลาดใจยิ่งนัก ในเมื่อเจ้าคิดจะช่วยสกุลเหยา เหตใดถึงต้องดึงดันสังหารบุตรชายของเซินกั๋วกง? เหตุใดถึงไม่ยอมรอ รอให้นกพิราบส่งสารของโรงเตี๊ยมส่งไปถึงสกุลเหยา ให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาออกหน้ามาคลี่คลายเรื่องนี้ด้วยตัวเอง? สังหารเกาซู่อี้ไปแล้วยังจะเหลือพื้นที่ให้พูดคุยกันได้อีกงั้นรึ?”
เว่ยเซี่ยนยืนเอียงตัวพิงประตูใหญ่ รู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย
เหยาเจิ้นแม่ทัพใหญ่เจิงหนันเพิ่งจะถูกลอบสงหาร ได้รับบาดเจ็บไม่เบา ต่อให้ได้ข่าวจากโรงเตี๊ยมก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเร่งรุดมาที่นี่ด้วยตัวเอง มีความเป็นไปได้มากว่าจะส่งบุตรหลานสายตรงสกุลเหยาหรือไม่ก็คนสนิทมาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยกับเกาซู่อี้ที่เหมือนหมาบ้ากัดคนไม่เลือกหน้า การที่เชื้อพระวงศ์ต้าเฉวียนซึ่งอำพรางตัวอย่างลึกล้ำตรงหน้าผู้นี้จงใจมาหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยม ใช้ข้ออ้างว่ามาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงของเหล้าบ๊วยมานาน เห็นได้ชัดว่าต้องการฉวยโอกาสจูงแกะติดมือไป แกะที่เขาต้องการจะจูงไปนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นแกะหัวหน้าฝูงของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาอย่างเหยาเจิ้นที่อยู่ไกลถึงชายแดน ในมือกุมอำนาจควบคุมกองทัพใหญ่ ความกำเริบเสิบสานของเกาซู่อี้ใช่ว่าจะเป็นการแสดงไปซะทั้งหมด ให้เขากระโดดออกมาทะเลาะกับลูกหลานสกุลเหยาทุกคนที่นอกเหนือจากตัวเหยาเจิ้นเอง ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมพอดี หากเหยาเจิ้นมาเยือนด้วยตัวเอง เกาซู่อี้จะไม่ใช่คนที่เหมาะสมอีกต่อไป ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เพราะเกาซื่อเจินเซินกั๋วกงอยู่คนละรุ่นกับเหยาเจิ้น แต่เพราะนอกจากเหยาเจิ้นแล้ว ทุกคนล้วนเป็นลูกพลับนิ่มที่เกาซู่อี้สามารถบีบได้ตามใจชอบ ดังนั้นไม่ว่าสกุลเหยาจะส่งคนมามากน้อยเท่าไหร่ก็มีแต่จะมาเพิ่มความสนุกให้ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ยิ่งเป็นการเผาผลาญพลังต้นกำเนิดของตัวเอง และสถานการณ์ก็มีแต่จะเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ
เว่ยเซี่ยนแน่ใจเลยว่า ฮ่องเต้หลิวเจินที่ปีนี้พลาดงานพิธีใหญ่ไปหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานฉลองจ้วงหยวน พิธีบวงสรวงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงสองครั้งที่ต่างก็ไม่ได้เผยตัว นี่หมายความว่าหากหลิวเจินไม่ได้ป่วยหนักก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเจอกับเหตุไม่คาดฝัน สูญเสียอำนาจในการควบคุมราชสำนักไปอย่างสิ้นเชิง การช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทที่เดิมทีต้องให้องค์ชายแต่ละคนแสดงความสามารถดุจนกยูงรำแพนหางกลับเปลี่ยนมาเป็นการช่วงชิงบัลลังก์มังกรโดยตรง ซึ่งแน่นอนว่าต้องยิ่งดุเดือดโหดร้าย มีแต่กลิ่นคาวเลือดมากกว่าเดิม
หากสกุลเหยาไม่เคยเกี่ยวดองกับตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับเจ้ากรมขุนนางผ่านทางลูกเขยอย่างหลี่ซีหลิง แต่ทำตามกฎระเบียบที่บรรพบุรุษกำหนดไว้ พวกเขาก็ยังมีโอกาสได้เฝ้าพิทักษ์ชายแดนต่อไปอย่างมั่นคงจริงๆ รอจนการเข่นฆ่าในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเลวร้ายสิ้นสุดลง ถึงเวลานั้นหากเหยาเจิ้นไม่ส่งบุตรชายคนโตเข้าเมืองหลวงไปพบฮ่องเต้องค์ใหม่เพื่อแสดงความจงรักภักดี ก็ต้องเป็นฮ่องเต้ที่เสด็จมาเยือนชายแดนใต้เพื่อซื้อใจคนตระกูลเหยาด้วยพระองค์เอง
คำพูดเหล่านี้ขององค์ชายสามหลิวเม่าที่อยู่นอกโรงเตี๊ยม แท้จริงแล้วไม่ได้พูดให้เฉินผิงอันฟัง แต่จงใจพูดให้จิ่วเหนียงและผู้เฒ่าหลังค่อมของโรงเตี๊ยมฟัง
หากอีกฝ่ายฟังเข้าหู ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ในโรงเตี๊ยมก็จะยิ่งน่าสนใจ
เจ้าเฉินผิงอันทุ่มสุดชีวิตเพื่อปกป้องตระกูลเหยา หากตระกูลเหยาไม่รับน้ำใจ กลับยังหันมาตำหนิการกระทำนี้ของเจ้าว่าทำให้ตระกูลเหยากลายเป็นคนเนรคุณ เจ้าเฉินผิงอันที่ลงมือเพราะยึดถือคุณธรรมจะยังรักษาความเลือดร้อนนี้ไว้ได้อีกหรือไม่? จิตใจที่กล้าหาญรักในคุณธรรมทนรับการทำลายล้างจากภูเขามีดทะเลเพลิงได้เสมอ เมื่อพบเจอคนที่ถูกชะตาในยุทธภพ หนึ่งคำพูดมีค่าดุจทองคำ สามารถสละชีวิตเข้าช่วยเหลือ แต่สิ่งเดียวที่ทนรับไม่ได้มากที่สุดก็คือเหล้าหนึ่งจอกของคนเนรคุณ
หลิวเม่าหัวเราะเสียงเย็น “หรือเจ้าคิดจะบีบให้สกุลเหยาก่อกบฏ? บุญคุณความแค้นที่นำพาความสาแก่ใจมาให้แค่ชั่วครู่ชั่วยามจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษในยุทธภพได้จริงๆ หรือ?”
แล้วก็จริงดังคาด
ใจคนมิอาจทนการหยั่งเชิงได้มากที่สุด
อีกทั้งคนบนโลกก็มักจะเป็นเช่นนี้ ในขณะที่เรื่องราวยังไม่เละเทะอย่างสิ้นเชิง ต่อให้ตัวเองตกอยู่ในทางตันก็ยังคงมีความหวังว่าตัวเองจะโชคดีรอดไปได้อยู่เสมอ
แม้ว่าประมุขตระกูลอย่างเหยาเจิ้นจะถูกคนชั่วลอบสังหาร แต่ก็แค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ส่วนในหนังสือลาออกที่เจ้ากรมผู้เฒ่าหลี่แห่งกรมขุนนางซึ่งเป็นญาติที่เกี่ยวดองทางการแต่งงานกับสกุลเหยาถวายขึ้นไป ฮ่องเต้ก็เขียนฎีกาตอบกลับมาด้วยประโยคที่ค่อนข้างจะมีอารมณ์ขันว่า ‘ความอ่อนเยาว์และความสามารถหายไปเพียงครึ่งเดียว ลาออกจากตำแหน่งตอนนี้ยังเร็วไป’ จากนั้นฮ่องเต้ก็ออกคำสั่งให้คนนำปลาบรรณาการหลายตัวไปมอบให้จวนตระกูลหลี่
พลังการต่อสู้ของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยายังคงเป็นที่หนึ่งท่ามกลางกองทัพมากมายของทิศใต้ ใครก็ไม่กล้าดูแคลน
คิดดูแล้วตอนนี้ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของสกุลเหยาที่ได้รับคำสั่งจากทางราชสำนักให้แทรกซึมเข้าไปในอาณาเขตของแคว้นเป่ยจิ้นคงกลับมาอยู่ข้างกายเหยาเจิ้นผู้เป็นประมุขตระกูลแล้ว
หลี่ซีหลิงบุตรเขยตระกูลเหยา ว่ากันว่ามีหวังจะได้เข้าไปอยู่ในสำนักศึกษาต้าฝูของลัทธิขงจื๊อที่ตั้งอยู่ภาคกลางของใบถงทวีป
ตระกูลเหยาและตระกูลหลี่ต่างก็เป็นเสาคานค้ำยันแคว้นของราชสำนักต้าเฉวียน คือตระกูลของขุนนางใหญ่มือสะอาด ต่อให้สองตระกูลแต่งงานกัน พวกชาวบ้านก็ไม่มีทางรู้สึกว่าพวกเขามีใจทะเยอทะยาน แต่กลับรู้สึกว่าเป็นคู่สร้างคู่สม คือการปักดอกไม้บนผ้าแพร ทำให้กองกำลังของแคว้นราชวงศ์ต้าเฉวียนเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป คือเรื่องราวงดงามที่คู่ควรให้ผู้คนกล่าวขานถึงอย่างแท้จริง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะปล่อยให้คนตระกูลเหยาตายไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
จิ่วเหนียงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
สีหน้าของผู้เฒ่าหลังค่อมเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
เหยาหลิ่งจือเด็กสาวบนชั้นสองก็ยิ่งมองไปยังคนชุดขาว บนใบหน้างดงามของนางเผยสีหน้ามืดมะมึนออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มีทั้งความซาบซึ้งที่ออกมาจากใจจริง แล้วก็มีทั้งความขุ่นเคืองที่ปิดไม่มิด
ไม่ใช่ว่านางรักตัวกลัวตายถึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้ แต่เป็นเพราะนับตั้งแต่สกุลหลิวก่อตั้งแคว้นขึ้นมา ในศาลบรรพชนตระกูลเหยาซึ่งเป็นตระกูลแม่ทัพรักษาชายแดน ป้ายวิญญาณที่วางเรียงหลายชั้นแน่นขนัดเหล่านั้น ทุกปีล้วนมีมาเพิ่มอยู่เสมอ แต่ละชื่อล้วนเป็นแซ่เหยา เหล่าบรรพบุรุษที่ตายไปในสนามรบ นอกจากจะมอบความกล้าหาญที่พร้อมกระโจนเข้าสู่ความตายให้แก่คนรุ่นหลังแล้ว ยังมอบความกดดันที่มองไม่เห็นด้วย ความบริสุทธิ์ของสกุลเหยาไม่อาจยินยอมให้อนุชนรุ่นหลังสร้างมลทินด่างพร้อย ไม่อาจปล่อยให้หยกขาวมีตำหนิได้
นี่คืออารมณ์ความรู้สึกของคนปกติทั่วไป
ลูกหลานสกุลเหยาตายได้ แต่ชื่อเสียงของสกุลเหยามิอาจถูกทำลาย หาไม่แล้วพวกเขาจะมีหน้าไปพบเหล่าบรรพบุรุษได้อย่างไร?
ทั้งน่าเศร้าและชวนให้ฮึกเหิม ขณะเดียวกันก็น่าเคารพนับถือ
คำถามทั้งสองครั้งจากหลิวเม่าองค์ชายสาม เฉินผิงอันล้วนไม่ใส่ใจ
หลิวเม่าเปิดปากเป็นครั้งที่สาม “ในเมื่อดูท่าแล้วเจ้าคงไม่มีทางเปลี่ยนใจ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ทุกคนในโรงเตี๊ยมที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกมา ตกลงไหม? คนหนุ่มเหล่านี้ล้วนเป็นลูกหลานของอ๋องและโหวสกุลหลิวต้าเฉวียนข้า หลังจากสร้างคุณความชอบแล้วยังไม่ทันได้นอนเสวยสุข กลับต้องพาตัวมาตกอยู่ในอันตราย ตกอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าของแคว้นศัตรู พวกเขาคือคนที่ไม่สมควรมาตายอยู่ที่นี่มากที่สุด”
ใช้เหตุผลอธิบายให้คนเข้าใจ ใช้ความรู้สึกทำให้คนหวั่นไหว ขณะเดียวกันก็มีหลักคุณธรรมแห่งยุทธภพ
ข้ารับใช้หนุ่มสองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะสองตัวในโรงเตี๊ยมต่างก็หันมามองเฉินผิงอันด้วยความรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น โดยเฉพาะคนสามคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกับเกาซู่อี้ที่ดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมาได้ ใจนึกอยากหยิบมีดไปปาดคอเฉินผิงอัน วันหน้าจะได้หิ้วหัวของเขาไปขอขมาบนหลุมศพของเกาซู่อี้
เว่ยเซี่ยนหันมามองเฉินผิงอัน รอคอยคำตอบว่าจะให้ปล่อยคน หรือฆ่าคน
เฉินผิงอันเอ่ยสั่งความเว่ยเซี่ยน “ห้ามปล่อยออกไปแม้แต่คนเดียว แต่ขอแค่พวกเขาไม่ขยับเข้าใกล้ประตูใหญ่ ก็ไม่ต้องสนใจ”
เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ขันทีชุดหม่างเป็นเพียงคนเดียวที่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชายสามหลิวเม่าแล้วยังมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเอง เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างขันที แต่ถ้อยคำเย็นชาว่า “องค์ชาย คนพวกนี้คือกลุ่มคนที่ไม่รู้จักดีชั่ว ขอองค์ชายโปรดอนุญาตให้บ่าวเฒ่ากับแม่ทัพสวี่และท่านสวีลงมือจับโจรชั่วจากเป่ยจิ้นกลุ่มนี้ ผู้ฝึกกระบี่แล้วอย่างไร ก็แค่มีเศษสวะอย่างกระบี่บินเพิ่มขึ้นมาสองเล่มเท่านั้น”
สตรีแต่งงานแล้วกำลังจะเปิดปากพูด บัณฑิตกลับชิงเอ่ยปลอบใจเสียก่อน “จิ่วเหนียง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงอย่างไรก็คงไม่แย่ยิ่งไปกว่านี้แล้ว ไม่สู้รอดูการเปลี่ยนแปลงอยู่เฉยๆ จะดีว่า เวลานี้เจ้าพูดอะไรไปก็ไม่มีความหมายแล้ว”
เด็กหนุ่มขาเป๋ที่หลบอยู่ตรงผ้าม่านหน้าประตูห้องครัวพยักหน้ารับแรงๆ “คนแซ่จงผู้นี้ ชั่วชีวิตนี้คงมีประโยคนี้นี่แหละที่พูดจามีเหตุผลที่สุด”
ผู้เฒ่าหลังค่อมหันหน้ากลับมาถลึงตาใส่อย่างดุดัน “เป็นคนขาเป๋แล้ว ยังอยากจะเป็นคนใบ้ด้วยใช่ไหม?!”
เด็กหนุ่มขาเป๋หุบปากฉับ เงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว
ในโรงเตี๊ยม คนห้าคนซึ่งรวมถึงเฉินผิงอันต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวทั้งหมด เดิมทีพวกเขาก็เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวอยู่แล้ว
ส่วนฝ่ายตรงข้ามนอกจากแม่ทัพฝ่ายบู๊อย่างสวี่ชิงโจวแล้ว ขันทีชุดหม่างและสวีถงต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณ คนอีกสองโต๊ะที่เป็นผู้ติดตามของพวกเขามีแต่จะเป็นตัวเกะกะขัดขวาง
เหยาหลิ่งจือที่อยู่บนชั้นสองพลันตะโกนใส่เฉินผิงอัน “เจ้าหยุดฆ่าคนได้แล้ว! ไม่อย่างนั้นตระกูลเหยาของพวกเราคงถูกเจ้าทำร้ายจนตายแน่!”
ประตูห้องชั้นที่สองเปิดออก เผยเฉียนจ้องเด็กสาวเขม็ง พูดเสียงขุ่นอย่างไม่ชอบใจ “ผู้หญิงบ้า หุบปากเหม็นๆ ของเจ้าไปซะ หากยังกล้าชี้ไม้ชี้มือสั่งพ่อข้า ข้าจะใช้วิชากระบี่ล้ำโลกที่พ่อข้าสอนให้แทงเจ้าให้ตาย!”
จากนั้นเด็กหญิงก็ถามมาทางชั้นหนึ่ง “ท่านพ่อ อ่านหนังสือจบไปรอบหนึ่งแล้ว ทำอะไรต่อ?”
เฉินผิงอันหันหลังให้ชั้นสอง “อ่านอีกรอบหนึ่ง”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พูดเสริมไปอีกประโยค “หากยังกล้าตะโกนเรียกส่งเดชอีก วันหน้าจะไม่ให้เจ้าอ่านหนังสือ แต่จะให้เจ้ากินหนังสือแทน”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “ได้เลย ท่านพ่อ! ข้าล้วนฟังท่าน”
วินาทีที่เผยเฉียนปิดประตู ทุกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมต่างก็ลงมือแทบจะพร้อมกัน
สุยโย่วเปียนที่อยู่บนชั้นสองบังคับกระบี่อาคมชือซินให้วาดเป็นวงโค้งพระจันทร์เสี้ยว ปาดไปที่ลำคอของเซียนซือสวีถง
เท้าของสวีถงเหมือนมีพายุลมกรดรองอยู่เบื้องล่าง ขยับว่องไวจนคนมองตาลาย ไม่เพียงแต่สามารถหลบชือซินมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ยังประกบสองนิ้วทำมุทรา ชายแขนเสื้อสองข้างเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ ชุดคลุมอาคมบนร่างปรากฏภาพไอหมอกก้อนเมฆหลากสีลอยขึ้นมา ขณะเดียวกันข้างกายของเขาก็มีแม่ทัพบู๊เกราะเงินคนแล้วคนเหล่าปรากฏตัว พวกมันมีเพียงชุดเกราะที่ว่างเปล่า ข้างในไม่มีเรือนกาย แต่กลับคล่องแคล่วปราดเปรียวผิดปกติ
แม้ว่าชือซินจะสามารถแทงทะลุเสื้อเกราะเหล่านั้นไปได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทำลายพลังการต่อสู้ของนักรบเสื้อเกราะที่เกิดจากยันต์เหล่านี้ได้เลย มีครั้งหนึ่งชือซินแทงทะลุ ‘ใบหน้า’ ของนักรบเสื้อเกราะตนหนึ่ง มันกลับยกสองแขนขึ้น สิบนิ้วกำคมกระบี่เอาไว้แน่นจนประกายไฟกระเด็นออกมาระลอกใหญ่พร้อมส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ
สวี่ชิงโจวที่ใช้เม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารคุ้มกันกายประมือกับหลูป๋ายเซี่ยงที่กุมดาบแคบหยุดหิมะไว้ในมือ ในเวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ พวกเขาก้าวเดินมาข้างหน้าพร้อมกัน คมดาบปะทะกัน ปลายดาบของทั้งสองฝ่ายคล้ายมีเส้นใยสีเงินเส้นหนึ่งไหลออกมา หลังจากที่คนทั้งสองแลกดาบกันแล้วก็สับเปลี่ยนตำแหน่งกันทันที
นอกโรงเตี๊ยม อาวุธวิเศษของตระกูลเซียนเจ็ดแปดชิ้นในมือผู้ฝึกลมปราณถูกขว้างเข้าใส่เว่ยเซี่ยนที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าประตูอย่างพร้อมเพรียงกัน ส่องแสงพร่างพราวท่ามกลางม่านราตรี
เว่ยเซี่ยนพลันกุมเม็ดเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่อยู่ในฝ่ามือแน่น กรอกปราณที่แท้จริงใส่ไปข้างใน เพียงชั่วพริบตาเสื้อเกราะก็ถูกสวมลงบนกาย ไม่ต่างจากสวี่ชิงโจวแม่ทัพของต้าเฉวียน
หมัดที่เขาปล่อยออกมาประหนึ่งมังกรที่พุ่งทะยานรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
พายุหมัดหนาข้นทั่วร่างรวมตัวกันคล้ายน้ำตกที่เทกระหน่ำ บวกกับมีเสื้อเกราะน้ำค้างหวานชั้นเยี่ยมช่วยปกป้องเรือนกาย แต่เว่ยเซี่ยนกลับไม่ได้พุ่งปะทะกับอาวุธของเซียนเหล่านั้นโดยตรง เขาแค่ปัดตีให้พวกมันหลบพ้นทาง ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงมีลำแสงเป็นเส้นๆ ที่ถูกชักดึงจากสมบัติอาคมขวางระเกะระกะ ส่งเสียงเหมือนโลหะกระทบกันอยู่เบื้องหน้าเว่ยเซี่ยน
เพียงแค่เสี้ยววินาที เว่ยเซี่ยนก็ถูกลำแสงเหล่านั้นห่อหุ้มไว้ภายใน แต่เว่ยเซี่ยนกลับยิ่งรบยิ่งห้าวหาญ พลังอำนาจทะยานพรวดพราด
ในโรงเตี๊ยม สุยโย่วเปียนเซียนกระบี่สาวจากพื้นที่มงคลดอกบัวมีสีหน้าเฉยเมย เห็นเพียงว่านางยกสองนิ้วของมือข้างหนึ่งประกบกัน ตั้งวางไว้ตรงหน้าอก บังคับกระบี่ชือซินให้โจมตีสวีถง มือเรียวยาวอีกข้างหนึ่งที่ขาวนวลเนียนราวกับไขมันแพะบิดข้อมือเบาๆ ตะเกียบทั้งหลายที่อยู่บนโต๊ะในชั้นหนึ่งเหมือนทหารที่ได้รับคำสั่ง จำนวนเกือบครึ่งกลายมาเป็น ‘กระบี่บิน’ ลอดทะลุผ่านตัวนักรบเสื้อเกราะทั้งหลายบุกไปสังหารสวีถง ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งบินมาหยุดอยู่รอบกายนางบนชั้นสอง รับมือกับวิชาสายฟ้าที่โผล่มาอย่างลับๆ ล่อๆ ของสวีถง ทุกครั้งที่ปะทะกัน จะต้องมีตะเกียบชิ้นหนึ่งระเบิดเป็นผุยผง
คนบ้าวรยุทธ์จูเหลี่ยนนั่งยองอยู่บนราวระเบียงเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
ในสายตาของเขามีเพียงสองคนอย่างเฉินผิงอันกับขันทีชุดหม่างที่เป็นคนตัดสินสถานการณ์ในครั้งนี้ได้อย่างแท้จริงเท่านั้นที่แค่ลงมือก็ทุ่มเทเต็มพละกำลัง
ใช้ยันต์ย่อพื้นที่ขยับเข้าใกล้ หมัดแรกของเฉินผิงอันก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
ส่วนโส่วกงไหวแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนผู้นั้นพลันปล่อยจิตหยินและจิตหยางออกจากร่างมาพร้อมกัน กายธรรมสองตนเป็นภาพมายาเลื่อนลอย แต่กลับมีบารมีน่าเกรงขามดุจทวยเทพ
หมัดของเฉินผิงอันไม่เพียงแต่ถูกขัดขวาง ตรงหัวใจยังถูกเทพหยินตนหนึ่งในนั้นยื่นมือแทงเข้ามา โชคดีที่สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ แม้ว่าความเจ็บปวดราวหัวใจถูกฉีกจะส่งมาเป็นระลอก
แต่เฉินผิงอันกลับยังยืนตระหง่านดุจขุนเขา กระทืบเท้าถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว
จิตวิญญาณแยกจากร่าง ทำให้มีเฉินผิงอันสามคนเช่นกัน อีกสองคนนั้นต่างก็แยกกันใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าปล่อยหมัดออกไปเป็นแนวเส้นตรง
หนึ่งหมัดผ่านไปก็ตามมาด้วยหมัดอีกนับไม่ถ้วน
—–