กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 338.2 หมัดแข็งเกินไป สุราลงทัณฑ์รสชาติดี
เปรียบเทียบกับทุกหมัดปะทะเนื้อของเฉินผิงอันกับหลี่หลี่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้การทุบตีจากเทพหยินกลับยิ่งน่าตะลึงพรึงเพริดมากกว่าเดิม
ยังดีที่สิ่งนี้ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอันนัก ตอนที่อยู่บนภูเขากู่หนิวแล้วต้องรับมือกับกายธรรมร่างทองของติงอิงก็เป็นปรากฎการณ์ภูเขาถล่มพื้นดินปริแตกแบบนี้ไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ว่าคราวก่อนเฉินผิงอันได้แค่ฝืนทนรับเอาไว้ ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน ภูเขากู่หนิวทั้งลูกถูกร่างทองของติงอิงทุบตีเสียจนระเบิดแตกกระจาย
ตอนนี้เฉินผิงอันแค่ต้องต่อยตีกับเทพหยิน ‘เล็กๆ’ ตนหนึ่งเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีใครหลบเลี่ยงใคร
ชุดคลุมอาคมจินหลี่จากที่เป็นสีหิมะขาวโพลนเพราะถูกร่ายเวทบังตาก็กลับคืนสภาพเดิมกลายมาเป็นสีทองแล้ว
หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าไปสิบหมัด ประกายในดวงตาของหลี่หลี่หม่นมัวลงเล็กน้อย แต่เขากลับยังไม่สนใจ ปล่อยให้คนหนุ่มรัวหมัดใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า
เทพหยินสามเศียรหกกรที่มีหน้าตาท่วงท่าเหมือนอริยะในศาลบู๊แหลกสลายดั่งไอหมอก ปราณวิญญาณแผ่กระจายไปสี่ทิศ
ส่วนชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ปรากฏรอยกรีด รอยแตกยับเป็นริ้วๆ ตอนนี้ยังไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ อีกทั้งปราณวิญญาณบนชุดยังกระจัดกระจายอย่างยุ่งเหยิงด้วย
หลี่หลี่กระชากชุดหม่างสีแดงสดที่สภาพขาดวิ่นไม่เหลือดีตัวนั้นทิ้งไป มองคนหนุ่มที่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ฝ่ามือและหลังมือทั้งสองข้างต่างก็เปรอะเลอะไปด้วยเลือด เขาพยายามฝืนเบิกตาสองข้างขึ้น ใบหน้ามีเลือดสดไหลนอง ดูเหมือนว่าจะมีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังคงใสสะอาดกระจ่างแจ้ง
หลี่หลี่เอ่ยกลั้วยิ้ม “น่าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว นี่หมายความว่าเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับใบถงทวีปและสำนักกุยหยก ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ”
เฉินผิงอันหลับตาลงข้างหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ร่างจำแลงสองร่างนี้ของเจ้าทนรับการทุบตีไม่ได้เลย เพิ่งจะสิบเจ็ดสิบแปดหมัดก็แตกสลายซะแล้ว เทียบติงอิงไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หลี่หลี่ยิ้มบางๆ “แล้วยังไง?”
เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “หลังจากนี้ขอแค่ข้าปล่อยไปอีกสามหมัดก็สามารถแลกชีวิตกับเจ้าได้แล้ว เจ้ากลัวหรือไม่?”
หลี่หลี่ตอบรับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
อีกอย่างในฐานะโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียน ผู้ที่สร้างโอสถทองได้ครึ่งเม็ดอย่างเขา จะไม่มีวิธีรับมืออื่นเตรียมรอไว้เลยได้อย่างไร ก็แค่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากหน่อยเท่านั้น
ค่าตอบแทนที่ว่ามากนั้น มากกว่าชีวิตของเขาด้วยซ้ำ
คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไป ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่หลี่พลันขมวดคิ้ว พูดเสียงเฉียบว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง เหตุใดถึงใช้วิธีการที่ตรงกันข้าม แอบดึงดูดปราณวิญญาณมาใช้?!”
หลี่หลี่ถอยหลังไปหลายก้าว เข้าใจว่าคนผู้นี้จงใจเปิดประตูใหญ่ให้แก่ช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่ง ปล่อยให้ปราณวิญญาณกรอกเทเข้าสู่ร่าง นี่ก็คือโอกาสที่เจ้าเด็กคนนี้ช่วงชิงมาทำให้เขาต้องพินาศวอดวายไปด้วย
เสียสติไปแล้วจริงๆ
บัณฑิตแซ่จงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวใช้ปราณวิญญาณหล่อหลอมจิตวิญญาณ ช่างใจกล้ายิ่งนัก แต่ก็อันตรายมากเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้นหมัดที่สามก็มีโอกาสส่งออกไปแล้ว
หากหลี่หลี่ประมาทก็ต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่
ศึกครั้งนี้ถือว่าไม่เหนื่อยเปล่าสำหรับคนหนุ่ม ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้ากำลังตามหาดีแห่งวีรบุรุษก้อนหนึ่ง (ดีสามารถเปรียบเปรยได้ถึงความใจกว้าง ความกล้าหาญ) อย่างยากลำบาก จิตหยินที่แปลกประหลาดของโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนผู้นี้ก่อกำเนิดขึ้นจากการนิมิตถึงอริยะสามท่านในศาลบู๊พอดี แต่นิมิตนี้เป็นวิธีนอกรีต เป็นที่สงสัยว่าเป็นการหมิ่นประมาททวยเทพ อีกทั้งยังทำลายโชคชะตาฝ่ายบู๊ เท่ากับว่าหลี่หลี่เอาของส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว เชื่อว่าคนในราชสำนักต้าเฉวียนก็อาจจะไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ ศึกระหว่างคนหนุ่มกับเทพหยิน เมื่อเขาคว้าชัยชนะมาได้แล้วเทพหยินเหล่านั้นก็แตกสลาย อริยะบู๊แห่งราชวงศ์สกุลหลิวสามท่านย่อมต้องสัมผัสได้ถึง ในอนาคตหากคนหนุ่มมีโอกาสเดินทางไปเมืองหลวงต้าเฉวียน เข้าไปในศาลบู๊แห่งนั้น เชื่อว่าต้องได้รับการตอบแทนอย่างดีแน่นอน
แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้ คนหนุ่มกับพวกผู้ติดตามท่าทางประหลาดของเขาต้องรอดชีวิตไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน
เขารับปากอีกฝ่ายไว้ว่าจะช่วยเก็บกวาดให้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะช่วยปกป้องคนหนุ่มผู้นั้น
ขันทีหลี่หลี่กวาดตามองไปรอบด้านแล้วเดินออกไปสิบกว่าก้าว มาหยุดข้างโต๊ะเหล้าตัวหนึ่ง หยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มเหล้าแล้ววางลงเบาๆ มองผู้ติดตามหนุ่มทั้งหลายที่อยู่ตรงทางขึ้นบันได คนหนึ่งในนั้นคือท่านโหวน้อย คนหนึ่งคือลูกหลานแม่ทัพหลงเซียง คนอื่นๆ ก็ถือเป็นทหารผู้กล้าแห่งกองทหารรักษาพระองค์ที่อนาคตกว้างไกล
เจ้าเศษสวะสวี่ชิงโจว ไม่เพียงแต่ไม่สามารถจัดการกับเจ้าคนใช้ดาบผู้นั้นได้ กลับกันยังกลายเป็นคนป้อนกระบวนท่าดาบให้อีกฝ่ายดูโดยที่ตัวเองดันไม่รู้ตัว
สวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ยังจมจ่อมอยู่กับพลังอำนาจของวิชาสายฟ้านอกรีตผายลมสุนัข นึกว่าตัวเองจะกุมชัยชนะไว้ได้อยู่มือ แต่กลับไม่รู้เลยว่านังผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่อาจารย์กระบี่ เพียงแค่มีปณิธานแห่งกระบี่แตกหน่อขึ้นในใจประดุจต้นไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่มีชีวิตชีวาเท่านั้น พรสวรรค์ของอีกฝ่ายดีเยี่ยมจนสมควรเรียกว่าเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่แล้ว
ส่วนตรงนอกประตูก็ยิ่งตีกันอย่างครึกครื้น ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ก็แค่มองดูแล้วคึกคักเท่านั้น
สุดท้ายหลี่หลี่มองไปทางสตรีแต่งงานแล้วกับผู้เฒ่าหลังค่อม เขาไม่สนใจคนทั้งสองแม้แต่น้อย กลับเป็นบัณฑิตตกอับคนนั้นที่หลี่หลี่รู้สึกมองไม่ออก แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมาก
ในโรงเตี๊ยม ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือเป็นคนกันเอง ทุกคนล้วนต้องตายทั้งหมด
หลี่หลี่โบกมือหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมก็พลันปิดลงดังปัง
จูเหลี่ยนเอ่ยเนิบช้า “ระวัง”
หลี่หลี่ยื่นมือมาวางทับไว้ตรงท้องนอกจุดตันเถียนแล้วเริ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
ทุกครั้งที่พ่นลมหายใจจะต้องมีไอสีแดงสดถูกพ่นออกมาด้วย
เฉินผิงอันกระโจนไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ
กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าถูกปล่อยไปเป็นครั้งที่สาม
หมัดนั้นต่อยลงบนหลังมือที่วางแนบติดกับหน้าท้องของขันที
ส่วนหลี่หลี่ก็ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยเข้าที่หัวใจของเฉินผิงอัน
แค่หมัดง่ายๆ สองหมัดเท่านั้น
หลี่หลี่หงุดหงิดอย่างถึงที่สุด สภาพจิตใจของเขาเหมือนไม่ใช่จิตใจของเซียนดิน ขันทีในวังลึกผู้กุมกองทัพม้าคอยปกป้องเมืองหลวงอีกต่อไป สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนมาเป็นดุดัน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ยกฝ่ามือตบฉาดลงบนจุดไท่หยางของเฉินผิงอัน
ครึ่งร่างของเฉินผิงอันปลิวออกไป มีเพียงสองเท้าที่ปักตรึงอยู่กับพื้น นั่นก็เพื่อปล่อยหมัดครั้งต่อไป
แต่ละหมัดที่ปล่อยออกไปล้วนเร็วกว่าหมัดก่อนหน้า
ส่วนแต่ละหมัดของหลี่หลี่ก็ยิ่งมีพลังอำนาจดุจสายฟ้า
กระบี่บินชูอีกับสืออู่ที่แทงเข้าไปในร่างของคนผู้นี้ แต่กลับเหมือนเข้าไปอยู่ในเขาวงกต พุ่งชนอยู่ท่ามกลางช่องโพรงลมปราณของอีกฝ่ายอย่างสะเปะสะปะ หาทางออกไม่เจอเสียที
กระดูกในร่างของเฉินผิงอันส่งเสียงลั่นแตกเป็นระลอก
บนใบหน้าของหลี่หลี่ที่ผ่านการบำรุงรักษาอย่างดีจึงยังเหมือนคนวัยกลางคนมีเส้นใยลอยขึ้นมา บางจุดปูดนูน บางจุดเว้ายวบลงไปราวกับว่าใบหน้านี้เป็นของปลอม
โอสถทองที่สร้างได้ครึ่งเม็ดระเบิดแตกดังโพล๊ะ
เพียงแต่วาเป็นเพียงชั้นผิวภายนอกเท่านั้นที่ระเบิดแตก เหมือนที่ก่อนหน้านี้หลี่หลี่ถอดชุดหม่างสีแดงคลุมกายทิ้งไป
จูเหลี่ยนถอนหายใจอยู่ในใจ ราวระเบียงใต้ฝ่าเท้าระเบิดแตก พื้นกระดานก็ปริร้าวตามไปด้วย เขาพลิ้วกายลงมายังชั้นหนึ่ง ความเร็วนั้นดั่งพายุลมกรด ย่างก้าวสองสามก้าวเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับมาหยุดอยู่ข้างกายหลี่หลี่แล้ว เขาดีดปลายเท้าเล็กน้อย ร่างก็ทะยานขึ้นสูง ก่อนจะตีศอกใส่ศีรษะของขันทีเฒ่าที่อายุมากถึงเก้าสิบปีผู้นี้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งชักออกมาอย่างว่องไว ทำมือเป็นมีดที่แทงทะลุเข้าไปยังลำคอของหลี่หลี่
หลี่หลี่ที่เดิมทีควรต้องตายอย่างมิต้องสงสัยกลับยังคงออกหมัดต่อยเฉินผิงอัน พอเขาปล่อยหนึ่งหมัดไปแล้ว เลือดสดก็ไหลทะลักออกมาจากหูทั้งสองข้างของเฉินผิงอันเหมือนน้ำพุพุ่ง
ส่วนจูเหลี่ยนนั้นปลิวกระเด็นออกไปดังตูม ร่างกระแทกเข้ากับผนังที่อยู่ห่างไปไกลจนผนังแตกผัง แล้วหล่นตุ้บลงด้านนอก
หลี่หลี่ที่ลำคอถูกแทงทะลุสีหน้าเฉยเมย ใจคิดแต่ว่าต้องฆ่าคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ก่อน ส่วนคนอื่นๆ หลังจากที่เขาเผยร่างแท้จริงแล้ว ต่อให้ร่วมมือกันมาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ร่างของจูเหลี่ยนลอยหวือไปตกท่ามกลางกองทัพทหารม้าที่อยู่ด้านนอก อยู่ดีๆ มีคนคนหนึ่งลอยออกมา ทำเอาพวกทหารตกใจขวัญกระเจิง ในขณะที่กำลังจะล้อมสังหารคนผู้นี้ จูเหลี่ยนกลับถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ กลิ้งตัวไปด้านหลัง พอลุกขึ้นยืนก็เหมือนวานรที่ปีนป่ายอยู่ในป่า และความดุร้ายอำมหิตของคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ก็ได้สำแดงออกมาอย่างไม่มีกักเก็บไว้ มือทั้งคู่ของเขาดึงแขนสองข้างของทหารม้าคนหนึ่งกระชากออก ฉีกแขนทั้งสองข้างของคนผู้นั้นไปโดยตรง
ครั้นแล้วจึงใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ศีรษะของทหารม้านายนั้น เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว
หมัดหนึ่งต่อยเข้าที่หน้าอกทะลุเรือนกาย เพราะรังเกียจที่ศพนี้ขวางหูขวางตา จึงทำมือเป็นมีดฟันฉับเป็นแนวเฉียงตั้งแต่ไหล่จนถึงหน้าท้อง ศพของคนผู้นั้นถูกผู้เฒ่าหลังค่อมฟันผ่าออกเป็นสองท่อน เลือดสดและไส้ไหลทะลักนองเต็มพื้น
ในโรงเตี๊ยม
สวีถงและสวี่ชิงโจว สุยโย่วเปียนและหลูป๋ายเซี่ยง ต่างฝ่ายต่างหยุดมือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เพราะการเปลี่ยนแปลงของขันทีหลี่หลี่น่าเหลือเชื่อเกินไป
สัญชาตญาณทำให้พวกเขาทุกคนมองหลี่หลี่เป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด
และเวลานี้เอง จิ่วเหนียง ผู้เฒ่าหลังค่อม เด็กหนุ่มขาเป๋และเหยาหลิ่งจือที่อยู่บนชั้นสองต่างก็ตัวอ่อนนอนพังพาบอยู่บนพื้นอย่างน่าประหลาดใจ
ไม่รู้ว่าบัณฑิตตกอับแซ่จงมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหลี่หลี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งใช้สองนิ้วคีบยาเม็ดสีแดงสดไว้หนึ่งเม็ด ก้มหน้าลงจ้องมองมันนิ่งๆ พลางพึมพำกับตัวเองว่า “มิน่าเล่า”
บัณฑิตออกแรงเล็กน้อย โอสถทองที่แท้จริงเม็ดนี้ก็ถูกบีบจนแตก
ได้ยินว่าเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังต่อยหมัดใส่หน้าอกของขันทีที่ตายไปแล้ว และกระดูกมือของเฉินผิงอันก็แตกละเอียดไปหมด บัณฑิตก็หันหน้ากลับมา เนื่องจากยังมีหลี่หลี่ที่ร่างยังไม่ล้มลงขวางอยู่ เขาจึงได้แต่ขยับตัวเบี่ยงออกมา แสยะยิ้มให้เฉินผิงอัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “น้องชายคนนี้ เจ้าไม่รู้จักเจ็บหรือไร?”
เฉินผิงอันยังคงจมจ่อมอยู่กับปณิธานหมัดของตัวเอง
อันที่จริงหมัดสุดท้ายไม่ถือว่ามีพลังพิฆาตอะไร มันค่อนข้างจะเบาหวิวด้วยซ้ำ ต้องรู้ว่ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าคือวิชาหมัดที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยซึ่งเคยยืนอยู่บนยอดสูงสุดของขอบเขตสิบวิถีวรยุทธ์ภาคภูมิใจมากที่สุด และหวังจะนำกระบวนท่าหมัดนี้ไปถามมรรคาจารย์เต๋าว่าสูงหรือต่ำ
ร่างของเฉินผิงอันโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ การมองเห็นพร่าเลือน เขายังพอจะมองเห็นได้ว่าขันทีที่ลำคอแหลกเละผู้นั้นไหล่ลู่คอตก เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง อีกฝ่ายก็ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น เฉินผิงอันสัมผัสไม่ได้ถึงพลังชีวิตของเขา
เฉินผิงอันยืนอยู่ท่าเดิม ยังคงค้างอยู่ในท่าปล่อยหมัด ไม่ได้เก็บหมัดกลับมา นาทีนี้ในหัวของเขามีแค่ความคิดเดียว โชคดีที่หมัดสุดท้ายนี้ไม่ได้ปรากฏอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าเปลือยเท้า ไม่อย่างนั้นผู้เฒ่าต้องด่าเขาจนไม่เหลือชิ้นดีแน่
บัณฑิตมองสวีถงและสวี่ชิงโจว กะพริบตาปริบๆ ถามว่า “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ คำพูดหลอกเด็กพวกนี้ พวกเจ้าเชื่อจริงๆ หรือ?”
สวีถงกับสวี่ชิงโจวกลืนน้ำลาย
แขนสองข้างของเฉินผิงอันห้อยตกลง นั่งแปะลงไปบนพื้น ขยับขานั่งขัดสมาธิ
ใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายกำสองมือเป็นหมัดวางลงบนหัวเข่าเบาๆ ได้แต่ลืมตาข้างเดียว
ชุดคลุมอาคมจินหลี่เสียหายอย่างหนัก ปราณวิญญาณบางเบาจนแทบไม่เหลืออยู่ สูญเสียประสิทธิภาพไปชั่วคราว
เลือดสดที่ท่วมร่างเขาเด่นชัดสะดุดตายิ่งกว่าชุดหม่างสีแดงสดที่หลี่หลี่สวมก่อนหน้านี้ซะอีก
บัณฑิตพูดกับคนหนุ่มว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองคืออะไร?”
แต่เพราะในโรงเตี๊ยมยังมีคนอยู่อีกมาก บัณฑิตจึงไม่ได้บอกคำตอบออกมา ก่อนที่ตนจะลงมือ ลมปราณของคนหนุ่มได้เปลี่ยนแปลงไป นั่นน่าจะเป็นวิชารักษาตัวรอดที่อีกฝ่ายอำพรางไว้อย่างลึกล้ำ หรือไม่ก็เป็นกระบวนท่าสังหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บัณฑิตพอจะเดาออกแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นช้าๆ ยังคงลืมตาได้แค่ข้างเดียว เขายิ้มบางๆ ตอบว่า “เบื้องหน้าไร้คน”
บัณฑิตทรุดตัวลงนั่งยอง ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
เฉินผิงอันหลับตาลง
บัณฑิตกลอกตามองสูงใส่
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมกลางอากาศเหมือนเด็กระบายสี
หลังจากที่เรือนกายและโอสถทองของหลี่หลี่ทยอยกันระเบิดแตก ปราณวิญญาณฟ้าดินในโรงเตี๊ยมก็ค่อยๆ ไหลเข้าหาผู้ฝึกยุทธ์หนุ่ม อีกทั้งตำแหน่งที่มารวมตัวกันยังเป็นช่องโพรงลมปราณที่ปราณกระบี่สิบแปดหยุดของเฉินผิงอันต้องไหลเวียนผ่านพอดี
นอกจากนี้เมื่อเขากวักมือหนึ่งครั้ง ศพของหลี่หลี่ก็หายวับไป แต่ชูอีสืออู่กลับพุ่งพรวดออกมาหยุดลอยอยู่สองข้างไหล่ของเฉินผิงอันอย่างรวดเร็ว ปลายกระบี่ชี้ไปที่บัณฑิต
บัณฑิตแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เขาเงยหน้าตะโกนขึ้นไปยังชั้นสอง “นังหนูน้อย หยุดอ่านหนังสือได้แล้ว รีบมาดูพ่อเจ้าเร็วเข้า”
เผยเฉียนที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงอ่านหนังสืออยู่นานแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้อง นางมองไปที่บัณฑิตตกอับก่อน จากนั้นก็ถามอย่างแกล้งโง่ว่า “อะไรนะ? ดูพ่อเจ้า?”
บัณฑิตจุ๊ปากพูด “โอ้โห รู้จักรังแกคนอื่นด้วยหรือนี่”
เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดลงมาจากชั้นบน เหยียบลงบันไดเสียงดังตึงๆ
นางมานั่งยองอยู่ข้างบัณฑิตชุดเขียว เผยเฉียนมองเฉินผิงอันแล้วเอ่ยถามคนที่อยู่ข้างกายเบาๆ “คงไม่ได้ตายแล้วหรอกนะ?”
บัณฑิตพยักหน้ารับ “จากไปตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
เผยเฉียนมองซ้ายมองขวา ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น
เผยเฉียนหันขวับมามองบัณฑิตด้วยสายตาเดือดดาล “ทำไมเจ้าต้องสาปแช่งให้พ่อข้าตายด้วย? พ่อเจ้าต่างหากที่ตาย!”
บัณฑิตทำสีหน้าไร้เดียงสา “พ่อข้าตายไปตั้งนานแล้วนี่นา ทุกปีพอถึงช่วงเทศกาลชิงหมิง (เชงเม้ง) ข้าก็ต้องไปเก็บกวาดสุสาน”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าลงมาจิบเหล้าบ๊วยคำเล็กๆ ตอนที่ยกมือขึ้น สภาพมือข้างนั้นน่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ทำเอาเผยเฉียนที่เห็นเหงื่อแตกพลั่ก คิดเหมือนกับบัณฑิตข้างกายเลยว่า ใต้หล้านี้มีคนที่ไม่กลัวเจ็บขนาดนี้ได้อย่างไร?
บัณฑิตยิ้มถาม “เพื่อตระกูลเหยา เกือบต้องมาตายอยู่ที่นี่ ไม่รู้สึกกลัวในภายหลังบ้างเลยรึ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่เพื่อตระกูลเหยา”
บัณฑิตยิ้มชั่วร้าย “ตระกูลเหยาเจอกับหายนะใหญ่ครั้งนี้ อันที่จริงมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความงาม เชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้ ขนาดบุรุษยึดมั่นในรักที่จิตใจแข็งแกร่งดุจหินผาอย่างข้าก็ยังเกือบจะไขว้เขวไป ความงามของสตรีผู้นั้น แค่คิดก็พอจะรู้ได้”
หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน คนหนึ่งสองมือกุมด้ามดาบ อีกคนหนึ่งสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ต่างก็มายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน
คนหนึ่งใช้เงินฝนธัญพืชสองเหรียญ อีกคนหนึ่งกลับใช้เงินฝนธัญพืชแค่เหรียญเดียว
สี่คนรวมกันก็ใช้เงินฝนธัญพืชที่เฉินผิงอันเก็บสะสมไว้หมดพอดี
นักพรตเฒ่าช่างผลักคนลงหลุมได้ลึกนัก
บัณฑิตพลันถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าคงไม่ได้รู้ถึงการดำรงอยู่ของข้า ก็เลยมองศึกเป็นตายครั้งนี้เป็นตัวขัดเกลาตบะวิถีวรยุทธ์หรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ แต่ถามยิ้มๆ กลับมาว่า “เจ้าคือ?”
บัณฑิตโบกมือ “ไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง”
เฉินผิงอันจึงไม่ถามอะไรต่ออีก
บัณฑิตหันมามองเผยเฉียนที่เบิกตากว้าง เขาจ้องดวงตาคู่นั้นของนาง ดั่งตะวันลอยขึ้นเหนือทะเลบูรพา ดั่งดวงจันทราลอยเหนือภูเขาทักษิณ งดงามจริงๆ
ทว่านิสัยแบบนี้กลับไม่น่าชื่นชอบเอาเสียเลย
บัณฑิตหันไปมองทางประตูใหญ่ “เหยาเจิ้นและคนขององค์ชายอีกท่านหนึ่งใกล้จะมาถึงแล้ว”
สุดท้ายเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าพักรักษาตัวให้สบายใจก็พอ หลังจากนี้มอบให้ข้าจัดการเอง”
เฉินผิงอันดิ้นรนลุกขึ้นยืน เขากุมหมัดคารวะบัณฑิต เห็นมือทั้งคู่ของเขา บัณฑิตก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ สุดท้ายเฉินผิงอันหันไปพูดกับหลูป๋ายเซี่ยง “ขอบคุณมาก หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เจ้าน่าจะได้ออกมาเป็นคนแรก”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปยังสุยโย่วเปียน ฝ่ายหลังมองตาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฉินผิงอันเดินขึ้นไปยังชั้นสอง เผยเฉียนตามติดมาด้านหลัง
ข้ารับใช้หนุ่มเหล่านั้น แต่ละคนหน้าไร้สีเลือด
บัณฑิตมองแผ่นหลังของหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่แล้วก็เกาหัว คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นก็เลยไม่คิดให้เปลืองแรงอีก
พอเขาคิดได้ว่าหลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไปจะไม่สามารถมาขอกินฟรีอยู่ฟรีที่นี่ได้อีกแล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย
ดังนั้นอันดับต่อมาบัณฑิตจึงนั่งลงแล้วเริ่มดื่มเหล้า บัณฑิตคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยหยกประดับเดินออกจากประตูไป สำหรับเขาแล้วทุกคนที่อยู่ตรงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมคล้ายไม่มีตัวตน เขาเงื้อฝ่ามือข้างหนึ่งตบจนองค์ชายคนนั้นพลิกตัวกลิ้งตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบ บัณฑิตอีกคนหนึ่งพกกระบี่จำแลงร่างกลายเป็นรุ้งขาวพุ่งจากไปไกล ไปหาองค์ชายต้าเฉวียนอีกคนหนึ่งแล้วเตะอีกฝ่ายจนกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น ก่อนจะกระทืบลงบนใบหน้าของเขาอย่างแรง
หลังจากที่จิตหยินและจิตหยางของบัณฑิตออกจากช่องโพรงไปแล้ว ในรัศมีพันลี้รอบด้าน ขอแค่เป็นวัตถุหยินหรือภูตผีปีศาจ ต่อให้เป็นทวยเทพของศาลเถื่อนทั้งหลายก็ล้วนก้มลงกราบกรานตัวสั่นอย่างที่มิอาจห้ามตัวเองได้
หมื่นผีบนโลก พบข้าจงขุย ต้องโขกศีรษะให้
—–