กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 339 เมืองหูเอ๋อร์
ก่อนจะเดินไปถึงหน้าประตูห้องบนชั้นสอง เผยเฉียนก็วิ่งเร็วๆ ผ่านเฉินผิงอันไปเปิดประตูให้เขาก่อน คล่องแคล่วว่องไวเหมือนสุนัขรับใช้อย่างยิ่ง
เฉินผิงอันก้าวยาวๆ เข้าไปในห้อง เผยเฉียนกำลังลังเลว่าควรจะตามไปดีไหม เฉินผิงอันก็หันหน้ามาสั่งความเสียก่อน “เจ้าไปขอเช่าห้องจากทางโรงเตี๊ยมไว้สามห้อง บอกให้จิ่วเหนียงลงบัญชีเอาไว้ แล้วไปบอกเว่ยเซียนด้วยว่าข้าจะปิดด่านสองสามวัน ช่วงนี้ไม่พบเจอใครทั้งนั้น และทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าห้าคนก็อย่าไปไกลจากโรงเตี๊ยมมากนัก”
เผยเฉียนมองเฉินผิงอัน “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สภาพเช่นนี้ของตนเหมือนคนไม่เป็นไรงั้นหรือ แต่เขาก็ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ยังไม่ตายหรอก”
เผยเฉียนปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง สุดท้ายเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “มีเรื่องอะไรก็เรียกข้า ข้าอยู่ที่ห้องข้างๆ นี่แหละ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
กระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีและสืออู่หยุดลอยอยู่กลางอากาศในห้อง เฉินผิงอันหยิบยันต์ชำระสิ่งสกปรกออกมาก่อนหนึ่งปึก แปะไปทั่วทุกมุมในห้อง จากนั้นหยิบขวดยาออกมาสองขวด ระดับความล้ำค่าของวัสดุต่างกันราวฟ้ากับเหว ขวดหนึ่งเป็นขวดกระเบื้องสีแดงที่ลู่ไถมอบให้ สามารถทำให้กระดูกขาวมีเนื้องอกขึ้นมาได้ ศึกในผืนป่านอกป้อมอินทรีบิน เฉินผิงอันเคยเห็นความมหัศจรรย์ของยาขวดนี้กับตาตัวเองมาก่อนแล้ว ส่วนอีกขวดหนึ่งคือยาสูตรลับที่มีเฉพาะในร้านยาตระกูลหยางเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะเจ็บปวดรุนแรงแค่นี้ ยานี้ก็สามารถช่วยหยุดความเจ็บปวดนั้นได้ ออกเดินทางไกลสองครั้ง พบเจอกับภูตผีปีศาจและตัวประหลาดตามแม่น้ำภูเขามามากมาย เฉินผิงอันไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ คิดไม่ถึงว่าจะได้เอามาใช้ตอนอยู่ในเมืองเล็กๆ ริมชายแดนแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักออกจากกาย ระหว่างถอดกระทบโดนผิวหนัง กระดูกและเส้นเอ็นจำนวนมาก ทำเอาเฉินผิงอันเจ็บปวดจนเหงื่อเย็นๆ แตกพลั่กเต็มศีรษะ เขานั่งอยู่ข้างโต๊ะ ยื่นมือสั่นๆ ไปเปิดจุกขวดกระเบื้องสีขาวของร้านยาตระกูลหยางออก เทยาสีดำสนิทออกมาหนึ่งเม็ด โยนเข้าปากฝืนกลืนลงไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ดื่มเหล้าบ๊วยตามไปหนึ่งอึก จากนั้นถึงได้เริ่มใช้ยาเนื้อเหลวในขวดกระเบื้องสีชาดทาลงบนมือสองข้าง แขนและไหล่ ต้องทนรับความทรมานอีกคำรบหนึ่ง
ความแข็งแกร่งของขันทีชุดหม่างแห่งต้าเฉวียนผู้นั้นอยู่เหนือการคาดการณ์ของเฉินผิงอันไปมาก เพื่อรับมือกับมรสุมในครั้งนี้ เฉินผิงอันระมัดระวังตัวมากแล้ว นอกจากคนบ้าวรยุทธ์จูเหลี่ยน เขายังเชิญอีกสองคนที่เหลือในภาพวาดอย่างสุยโย่วเปียนและหลูป๋ายเซี่ยงออกมา แต่นึกไม่ถึงว่าหลี่หลี่โส่วกงไหวแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนจะไร้เหตุผลได้ขนาดนี้ นอกจากที่เขาจะมีขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณแล้ว เรือนกายยังสามารถเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกคนหนึ่งด้วย
ก่อนหน้านี้ข้างมือของเฉินผิงอันเหลือเงินฝนธัญพืชแค่สามเหรียญ เมื่อลองคิดตามความคิดของพวกนักพรตเฒ่าและนักพรตน้อยที่แบกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีทองไว้บนหลัง เฉินผิงอันก็ลองเดิมพันโดยการโยนเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งเข้าไปในม้วนภาพวาดที่เดิมทีไม่คิดแตะต้องมากที่สุด แล้วก็จริงดังคาด ใช้เงินฝนธัญพืชแค่เหรียญเดียว เซียนกระบี่หญิงแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวก็เดินเยื้องย่างออกมาจากม้วนภาพวาด มาเยือนโลกมนุษย์แห่งนี้
เห็นได้ชัดว่านักพรตน้อยคำนวณได้อย่างแม่นยำว่าเฉินผิงอันจะเชิญสุยโย่วเปียนออกมาเป็นคนสุดท้าย หากไม่เป็นเพราะคนจิ๋วดอกบัว ‘ชี้ทางออกให้’ ตามลำดับการเลือกของตัวเฉินผิงอันเอง เขาต้องเชิญจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ที่พ่ายแพ้ให้แก่ติงอิงออกมาก่อนแน่ หลังจากนั้นถึงจะเป็นเว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้น หลูป๋ายเซี่ยงแห่งลัทธิมารและสุยโย่วเปียน ถ้าเช่นนั้นจูเหลียนที่จำเป็นต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชไปถึงสิบห้าเหรียญก็คือการตัดไม้ข่มนามที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันอาจจะเก็บม้วนภาพที่เหลืออีกสามม้วนไว้บนชั้นโดยไม่แตะต้องอีกก็ได้
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ หลับตาลง มือสองข้างตกลงเบื้องล่างตามธรรมชาติ แต่เขาคิดภาพว่าตัวเองนั่งอยู่ในท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ลมหายใจค่อยๆ มั่นคงขึ้นประหนึ่งภิกษุเฒ่าเข้าฌาน ประหนึ่งการนั่งลืมตนของนักพรตเต๋า
ตอนเที่ยงของสองวันต่อมา เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาด ในที่สุดก็เดินออกจากห้อง เขายืนอยู่ตรงราวระเบียง สังเกตเห็นว่าห้องโถงใหญ่ตรงชั้นหนึ่งค่อนข้างจะแปลกประหลาด ความแปลกประหลาดที่ว่านั้นก็คือโรงเตี๊ยมอยู่ในสภาพที่เงียบสงบเกินไป ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งอยู่บนม้านั่งยาวข้างผ้าม่าน กำลังสูบยาพ่นควันโขมง เด็กหนุ่มขาเป๋กำลังเช็ดโต๊ะและม้านั่ง เถ้าแก่เนี้ยะดูแลลูกค้าโต๊ะหนึ่งที่กำลังกินดื่มอย่างสำราญ บัณฑิตตกอับชุดเขียวนั่งอยู่ตรงธรณีประตู สีหน้าเศร้าโศก
หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันสัมผัสได้อย่างเฉียบไวถึงลมหายใจเบาบางที่ทอดยาวสี่ขุมในสองห้องซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นของจูเหลี่ยน เขาก็อาจเข้าใจผิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เขาไม่เคยได้เจอกับบุตรชายของเซินกั๋วกงหรือขันทีชุดหม่างอะไร เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก การขัดเกลาทางวิถีวรยุทธ์ที่อยู่ระหว่างเส้นความเป็นความตายครั้งนี้ เมื่อเทียบกับศึกต่อสู้กับติงอิงแล้ว แม้ว่าผลเก็บเกี่ยวจะน้อย แต่กลับทำให้เขาสะท้อนใจได้มากกว่า ซึ่งนี่น่าจะเกี่ยวกับสภาพจิตใจและผลการแพ้ชนะ
‘คนในภาพวาด’ ที่เดินออกมาจากในห้องก่อนคือผู้เฒ่าจูเหลี่ยน หลังของเขายังคงโก่งงอ มีรอยยิ้มประดับใบหน้า แกว่งหมัดให้เฉินผิงอันสองทีพลางกล่าวว่า “นายน้อยได้รับโชคดีจากความโชคร้าย ขอแสดงความยินดีด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วถามว่า “พวกกองทัพทหารม้าและคนตระกูลเหยาที่อยู่นอกห้องตอนนั้นเล่า?”
จูเหลี่ยนขยับเข้ามาใกล้เฉินผิงอันแล้วพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “วิญญูชนจากสำนักศึกต้าฝูคนนั้น แค่ลงมือก็สยบคนได้ทั้งสามฝ่าย องค์ชายที่อยู่ข้างนอกรีบพาคนจากไปทันที เขาเอาแค่ศพของเกาซู่อี้กั๋วกงน้อยกลับไปด้วย ส่วนศพของขันทีผู้ควบคุมกองทหารม้า เขากลับไม่ถามถึงสักคำ องค์ชายอีกคนที่อายุมากหน่อยที่เร่งรุดมาเยือนโรงเตี๊ยมพร้อมกับกองทัพตระกูลเหยาก็ไม่กล้ามาถึงที่นี่ พอรู้ข่าวก็หันหัวกลับทันที รอจนพวกเถ้าแก่เนี้ยะฟื้นขึ้นมา วิญญูชนผู้นี้ถึงแต่งเรื่องขึ้น บอกว่าคุณชายเปิดฉากสังหารไปสี่ทิศ ใช้หมัดสยบผู้คน แล้วก็มีองค์ชายอีกคนยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ เรื่องใหญ่จึงกลายเป็นเรื่องเล็ก จากนั้นวิญญูชนผู้นั้นก็ตีเนียนกินฟรีอยู่ฟรีที่นี่ต่อไป หากบัณฑิตในใต้หล้าไพศาลทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ก็คงน่าสนใจยิ่งนัก”
จากนั้นจูเหลียนก็เล่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในมรสุมครั้งนี้ให้ฟัง
เฉินผิงอันเดินขึ้นบันใด กล่าวอย่างกังขาว่า “จนถึงตอนนี้พวกจิ่วเหนียงก็ยังถูกปิดหูปิดตา? แบบนี้ก็ได้หรือ?”
จูเหลี่ยนเอ่ยยิ้มๆ “วิญญูชนของสำนักศึกษาท่านนี้ต้องเคยพูดคุยกับทั้งสามฝ่ายมาก่อนแล้วว่าไม่ให้เปิดเผยตัวตนของเขา เขาจงใจปิดบังทุกคนในโรงเตี๊ยม”
เฉินผิงอันถาม “เผยเฉียนล่ะ?”
จูเหลี่ยนชี้ไปยังทิศทางของเมืองหูเอ๋อร์ กล่าวว่า “นางขอยืมเงินจากคนอื่นแล้วไปเที่ยวเล่นที่เมืองหูเอ๋อร์อยู่น่ะ”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว พอเดินลงมาที่ชั้นหนึ่งก็ตรงดิ่งไปหาบัณฑิตที่นั่งอยู่หน้าประตู จูเหลี่ยนไม่ได้ติดตามไปด้วย เขานั่งลงข้างโต๊ะที่อยู่ใกล้กับธรณีประตูมากที่สุดเหมือนพ่อบ้านผู้เฒ่าที่ช่วยดูแลเรือนหลังเล็ก
เฉินผิงอันนั่งลงบนธรณีประตู ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้ายื่นส่งให้อีกฝ่าย
บัณฑิตชุดเขียวส่ายหน้า จ้องเป๋งไปยังสตรีแต่งงานแล้วที่กำลังหัวเราะเริงร่าอยู่กับพวกลูกค้า “ไม่ดื่ม ไม่ใช่เหล้าที่จิ่วเหนียงยื่นส่งให้ข้าด้วยตัวเอง ไม่มีรสชาติ”
เฉินผิงอันหดมือกลับมาแล้วดื่มเหล้าของตัวเองไป “นักโทษที่พวกเกาซู่อี้คุมตัวมาตอนนั้นเป็นใครในแคว้นเป่ยจิ้นที่อยู่ทางใต้?”
บัณฑิตที่ชื่อว่าจงขุยไม่ได้ปิดบัง “ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกกากเดนที่เหลืออยู่ของศาลเทพวารีทะเลสาบซงเจิน รวมไปถึงเทพภูเขาจินหวงและลูกเมียของเขา รู้แค่ว่านกกระยางสู้กับหอยกาบ ชาวประมงได้ผลประโยชน์ ล้วนถูกองค์ชายสามของราชวงศ์ต้าเฉวียนตีรวบมาหมด หากไม่เป็นเพราะเจ้ายื่นเท้าเข้าแทรก เกรงว่าในรถนักโทษคงมีคนตระกูลเหยาเพิ่มเข้าไปด้วย แต่เจ้าวางใจเถอะ ข้าเคยรับปากเจ้าว่าจะเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้เอง ไม่ต้องกังวลว่าราชวงศ์ต้าเฉวียนจะมองเจ้าเป็นศัตรู แต่องค์ชายสามก็ดี จวนเซินกั๋วกงก็ช่าง พวกเขาต่างก็เคียดแค้นในตัวเจ้า เรื่องนี้ข้าขัดขวางไม่ได้ แต่หากเรื่องแค่นี้เจ้าเองยังรับมือไม่ไหว…”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “รับมือกับเรื่องพวกนี้ยังพอไหว เชื่อว่าราชวงศ์ต้าเฉวียนแห่งนี้คงไม่มีโส่วกงไหวปรากฏขึ้นเป็นคนที่สองแล้ว”
ราชวงศ์สกุลหลิวแห่งต้าเฉวียนมีพลังอำนาจของแคว้นที่แข็งแกร่งกว่าแคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปอยู่มาก
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเจ้าเมืองจินหวงที่มอบความประทับใจไม่เลวให้แก่เขาถึงได้เปลี่ยนจากเทพภูเขากลายมาเป็นนักโทษของแคว้นอื่น ทั้งๆ ที่ปีศาจใหญ่ควายดำตัวนั้นตายด้วยน้ำมือของเฉินผิงอันไปแล้ว แต่สุดท้ายตระกูลของเขากลับยังถูกกวาดล้าง เรื่องนี้เฉินผิงอันไม่สนใจ ยิ่งไม่คิดจะซักถามให้มากความหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ตอนที่เฉินผิงอันพูดถึงหลี่หลี่ขันทีผู้ควบคุมกองทหารม้า สีหน้าของบัณฑิตมืดทะมึนไปเล็กน้อย ราวกับว่านั่นเป็นเรื่องที่เขายุ่งยากใจอย่างมาก
เฉินผิงอันเห็นว่าบัณฑิตเงียบไปก็หันหน้าไปมองนอกโรงเตี๊ยม เขายังคงไม่วางใจจึงลุกขึ้นยืน ขยับมายืนอยู่ข้างทางหลวง มองไปทางเมืองหูเอ๋อร์ กังวลว่าเผยเฉียนจะไปก่อเรื่องที่นั่น
รอจนเฉินผิงอันกลับมาที่โรงเตี๊ยม สั่งอาหารหนึ่งโต๊ะจากสตรีแต่งงานแล้ว บอกให้จูเหลี่ยนไปเรียกพวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคนลงมา เพิ่งจะกินข้าวกันเสร็จ เผยเฉียนก็เดินเอ้อระเหยกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ท่าทางมีความสุขมาก พอเห็นเฉินผิงอัน สายตานางก็หลุกหลิกเหมือนคนร้อนตัว เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรอย่างละเอียด แค่ถามนางว่ากินข้าวแล้วหรือยัง เด็กหญิงที่ท้องกลมป่องส่ายหน้าบอกว่ายังไม่ได้กินเลย จากนั้นก็กินอาหารที่เหลือบนโต๊ะ เฉินผิงอันเดินออกมาข้างนอกเพียงลำพัง ทั้งอยากเดินเล่นและอยากผ่อนคลายอารมณ์
ผลคือพอเฉินผิงอันกลับมาถึงโรงเตี๊ยมอีกครั้งก็พบว่ามีคนมายืนขวางอยู่หน้าประตู ด่ากราดเข้าไปในโรงเตี๊ยมเสียงดังโฉงเฉง คึกคักอย่างยิ่ง
—–