กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 340.2 คนประหลาด ฝันประหลาด
จงขุยพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ชายฉกรรจ์คนที่ขัดขวางพวกผู้ฝึกลมปราณอยู่นอกประตูคืนนั้นสวมใส่ หากข้ามองไม่ผิดน่าจะเป็น ‘ซีเยว่’ ที่ถูกบันทึกไว้ในตำราโบราณของสำนักการทหาร คือหนึ่งในเสื้อเกราะบรรพบุรุษแปดตัวของเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน เจ้าได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษงั้นรึ?”
เฉินผิงอันใจสั่นเล็กน้อย เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “ซื้อมาจากหอหลิงจือของภูเขาห้อยหัว”
จงขุยถาม “จ่ายเงินเงินฝนธัญพืชไปกี่เหรียญ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่จ่ายเงินร้อนน้อยไปบางส่วน ไม่แพง กะว่าวันหน้าจะเอาไปมอบให้คนอื่น”
จงขุยเอ่ยยิ้มๆ “หอหลิงจือไม่รู้จักดูของ ทำให้เจ้าโชคดีได้มาครอง แต่ก็เป็นเรื่องปกติ ซีเยว่ถูกยอดฝีมือร่ายตราผนึกเอาไว้ หากไม่เป็นเพราะในสำนักศึกษาของข้ามีตำราลับที่ใกล้จะขาดเป็นเศษชิ้นส่วนเล่มนั้น จึงรู้เรื่องวงในด้านการสืบทอดเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารพอดี อีกทั้งตอนนั้นยังพยายามเพ่งมองอยู่นาน ก็คงไม่มีทางจำได้ว่าเป็นมัน ข้าแนะนำเจ้าว่าเก็บมันไว้จะดีกว่า มันมีค่าขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่มันยังมีเรื่องราวมากมาย มอบให้คนอื่นง่ายๆ คงน่าเสียดายยิ่งนัก”
เฉินผิงอันไม่ได้บอกว่าสุดท้ายแล้วจะมอบหรือไม่มอบให้ใคร เขาเพียงถามอย่างใคร่รู้ว่า “เสื้อเกราะบรรพบุรุษแปดตัว?”
จงขุยหยิบถั่วลิสงหนึ่งเม็ดโยนเข้าปาก “เสื้อเกราะน้ำค้างหวานมีชื่อเต็มว่าเทพรับน้ำค้าง ข้าถามเจ้า เทพอะไร? รับน้ำค้างอะไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้
จงขุยจึงคลี่ยิ้ม “นอกจากซีเยว่แล้ว เสื้อเกราะน้ำค้างหวานอีกเจ็ดตัวแรกสุดแบ่งออกเป็นฝอกั๋ว ฮวาเปา ซานกุ่ย สุ่ยเซียน เสียกวาง ไฉ่อีและอวิ๋นไห่ ส่วนใหญ่ล้วนถูกทำลายไปในสนามรบและสูญหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ที่เหลืออยู่มีไม่มาก ตามหลักฐานซึ่งสามารถตรวจสอบได้ก็มีแค่ซานกุ่ยและไฉ่อีสองชิ้นเท่านั้น อย่าเห็นว่าซีเยว่ที่อยู่ในมือเจ้าพังเละมากแล้ว เมื่อเทียบกับอีกสองชิ้นที่ยังอยู่บนโลกมนุษย์ได้อย่างยากลำบากก็ถือว่าดีมากแล้ว หากไปเจอกับคนที่รู้จักดูของ เจ้าสามารถเรียกราคาได้เต็มที่ รับรองว่าจะต้องได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ว่าถึงอย่างไรเสื้อเกราะบรรพบุรุษเหล่านี้ก็สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปแล้ว วิชาอภินิหารที่ช่วยปกป้องเจ้านายไม่เหลือแม้แต่ส่วนเดียว เป็นเรื่องที่น่าเสียดายนัก สำหรับเรื่องนี้ สมควรต้องดื่มหนึ่งจอก”
จงขุยยกถ้วยเหล้าขึ้น แหงนหน้ากระดกดื่มจนหมดนำไปก่อน
เฉินผิงอันจึงได้แต่ดื่มตามไปอีกถ้วย
แล้วจงขุยก็เป็นฝ่ายเอ่ยถึงหายนะในครั้งนี้ด้วยตัวเอง “องค์ชายสองคนนั้นไม่ใช่คนดีอะไร หลังจากนี้หากเจ้ายังอยู่ต่อในต้าเฉวียนก็ต้องระวังตัวสักหน่อย ล่างภูเขาย่อมมีกฎของล่างภูเขา อีกทั้งยอดฝีมือที่อยู่ล่างภูเขาก็มีมากมาย ยกตัวอย่างเช่นเมื่อองค์ชายสามผู้นั้นมาพบกับเจ้าก็คือเหนือภูเขายังมีภูเขา ดังนั้นเขาถึงได้กลับไปอย่างสะบักสะบอม”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็คือหลักการนี้”
จู่ๆ จงขุยก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “คิดถึงการเข่นฆ่าระหว่างเจ้ากับโส่วกงไหวของต้าเฉวียนคืนนั้น แล้วหันมามองเจ้าตอนนี้ที่นั่งดื่มเหล้าพูดจาเออออกับข้า ข้ารู้สึกไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ ทำไม ตอนอยู่บ้านเกิดเคยลำบากเพราะสำนักศึกษามาก่อนงั้นหรือ ถึงได้กริ่งเกรงยศวิญญูชนถึงขนาดนี้?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
จงขุยเอ่ยขึ้นอีกว่า “วันนั้นที่เจ้าพูดว่าเหตุผลของใครก็ล้วนมีเหตุผลเสมอ ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดได้ดีมาก ส่วนที่บอกให้กั๋วกงน้อยถามใจตัวเองดู แม้ฟังแล้วจะเผด็จการไปสักหน่อย แต่ก็สมเหตุสมผล หาข้อตำหนิไม่ได้เลย แต่อันที่จริงแล้วค่อนข้างจะ…ไม่มีมารยาทสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
จงขุยพยักหน้ารับ “ก็จริง เรื่องราวบนโลกก็เป็นเช่นนี้ ตัวอยู่ในหลุมขี้ก็เลยรู้สึกว่าการกินขี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน มีคนยกกับข้าวมาให้หนึ่งถาด คนเขาก็ยังไม่เต็มใจจะกิน”
เฉินผิงอันฟังแล้วถึงกับเดาะลิ้น
นี่คือ ‘หลักการ’ ที่วิญญูชนของลัทธิขงจื๊อพูดกันหรือ?
จงขุยทอดถอนใจ “แต่ต่อให้โลกใบนี้จะเละเหมือนหลุมขี้ก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเราจะกินขี้”
คราวนี้เฉินผิงอันที่มือหนึ่งคีบอาหาร มือหนึ่งถือถ้วยเหล้าอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
จงขุยเห็นท่าทางผิดปกติของเฉินผิงอันก็รีบพูดปลอบใจ “ที่พวกเรากินดื่มไม่ใช่ขี้เยี่ยว คืออาหารดีสุรารสเลิศ เจ้ากินให้สบายใจ”
เฉินผิงอันจึงเริ่มกินดื่มอีกครั้งเงียบๆ
พูดคุยกับคนผู้นี้แล้วรู้สึกตามความคิดของเขาไม่ทันสักเท่าไหร่
ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ไพล่นึกไปถึงเป่าผิงน้อย
ตรงหน้าประตู มีจิ่วเหนียงออกหน้าให้ เพียงไม่นานปัญหาก็คลี่คลาย
ตอนนี้โรงเตี๊ยมในสายตาของชาวบ้านเมืองหูเอ๋อร์ทั้งลึกลับและพิลึกพิลั่น ดังนั้นแม้แต่ความกล้าที่จะเข้ามาโวยวายข้างในก็ยังไม่มี
เฉินผิงอันขอบคุณสตรีแต่งงานแล้ว แล้วจึงเดินไปทางบันได เผยเฉียนยังนั่งวาดวงกลมอยู่ตรงนั้น เฉินผิงอันพูดว่าตามข้ามา นางก็เดินตามไปด้านหลังแต่โดยดี ไหล่ลู่คอตก มองดูเหมือนคนที่ทำความผิดแล้วรู้ว่าตัวเองผิด แต่เฉินผิงอันใช้หัวเข่าคิดยังรู้เลยว่าเด็กหญิงที่อยู่ด้านหลังกำลังแอบหัวเราะชอบใจ เขาถึงขั้นจินตนาการได้ถึงท่าทางเห่อเหิมลำพองใจของเผยเฉียนยามนางไปเยือนเมืองหูเอ๋อร์คราวหน้า
มาถึงในห้อง เฉินผิงอันก็นั่งลง เผยเฉียนไม่กล้านั่ง พอปิดประตูลงแล้วก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะ
เฉินผิงอันพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “วันหน้าเจ้าก็อยู่ที่นี่ต่อไป ข้าจะมอบเงินก้อนหนึ่งให้ทางโรงเตี๊ยม”
เผยเฉียนพลันเงยหน้าขึ้นอย่างเดือดดาล กำลังจะขยับปากพูด แต่พอนางเห็นสีหน้าเย็นชาของเฉินผิงอันก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง “ข้าผิดไปแล้ว คราวหน้าไม่กล้าแล้ว เดี๋ยวข้าจะกลับไปที่เมืองหูเอ๋อร์ ซื้อว่าวตัวใหม่ให้เสี่ยวเหมย จะซื้อว่าวผีเสื้อตัวใหญ่สีสันสวยงามราคาสี่สิบอีแปะให้นาง มันสวยกว่าว่าวรูปกบเยอะเลย พวกเสี่ยวเหมยอยากได้มานานแล้ว แต่พวกลูกกระต่ายยากจนที่พอได้ถังหูลู่ไม้เดียวก็รู้สึกเหมือนได้ฉลองปีใหม่พวกนั้นซื้อไม่ไหว คราวนี้ถือว่าได้ดีนางไป”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าไปเอาเงินมาจากไหน?”
เผยเฉียนเงยหน้า กะพริบตาปริบๆ “ขอยืมมาจากจิ่วเหนียง ไม่มากหรอก รวมกันก็แค่สองตำลึงเงินเท่านั้น”
เฉินผิงอันถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะใช้คืนอย่างไร?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างขลาดๆ “ลงบัญชีไว้ด้วยกันก่อน วันหน้าข้าจะเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้า ค่อยๆ ใช้คืนเจ้าไปทีละนิด”
เฉินผิงอันเอ่ย “วันหน้าเจ้าก็อยู่ที่นี่ไปเถอะ เงินก้อนนี้ เจ้าสามารถช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ของโรงเตี๊ยมเป็นการใช้คืนจิ่วเหนียงไปทีละนิด”
เผยเฉียนยู่หน้าเล็กๆ น้ำตาคลอเจียนจะหยด
เฉินผิงอันชี้ไปที่ประตูห้อง พูดเสียงเรียบ “ออกไป”
นางเช็ดน้ำตาแรงๆ พูดเสียงดังว่า “ข้ารู้แล้ว! เจ้าชอบแค่หนอนหนังสืออย่างเฉาฉิงหล่างคนเดียวเท่านั้น! เจ้าเอาแต่เป็นห่วงเขา หากเป็นไปได้ เจ้าก็ไม่มีทางต้องการข้า แต่จะพาเฉาฉิงหล่างมาอยู่ข้างกาย พอเขาทำผิด เจ้าก็ไม่มีทางทำแบบนี้ เจ้ามีแต่จะค่อยๆ พูดเหตุผลกับเขา และยังบอกเขาด้วยว่าวันหน้าอย่าทำตัวเหมือนข้า! เฉินผิงอัน วันทั้งวันเจ้าก็เอาแต่คิดจะสลัดข้าทิ้ง!”
เผยเฉียนวิ่งจากไป กระแทกประตูเปิดอย่างแรง กลับไปที่ห้องของตัวเอง
เฉินผิงอันเริ่มใคร่ครวญถึงการเดินทางขึ้นเหนือของใบถงทวีปหลังจากนี้ ถึงอย่างไรท่าเรือตระกูลเซียนที่เดินทางจากแจกันสมบัติทวีปไปถึงนครมังกรเฒ่าก็อยู่ทางเหนือของต้าเฉวียน หากเดินอ้อมก็ต้องเดินเพิ่มอีกเป็นระยะทางสองสามพันลี้ ตอนนี้แตกหักกับองค์ชายสามสกุลหลิวต้าเฉวียนไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาต้องเรียกว่าไม่ตายไม่ยอมเลิกรา หากกลุ่มของตนเดินอาดๆ ตรงเข้าไปทางเหนือ หากเปลี่ยนตนไปเป็นองค์ชายสามก็ไม่มีทางอดทนได้ไหว ต่อให้ครั้งนี้พวกเขาจะถูกตนกับวิญญูชนแห่งสำนักต้าฝูเล่นงานจนหวาดกลัวไปแล้ว แต่องค์ชายคนหนึ่งที่สามารถกรีฑาทัพเดินทางไกลบุกเข้าไปกลางถิ่นของศัตรู เข่นฆ่าเจ้าเมืองและศาลเทพวารีของแคว้นอื่นได้ ต่อให้ไม่คิดจะใช้วิธีทำให้วอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะสร้างปัญหามากมายให้ตน
หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องเดินทางอ้อมไปแล้ว
บนชั้นเดียวกัน ไม่พูดถึงเผยเฉียนที่ ‘ปิดด่าน’ เว่ยเซี่ยนกำลังอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่งที่ซื้อมาจากเมืองหูเอ๋อร์ ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้ปฏิบัติต่อตัวเองเป็นอย่างดี บนโต๊ะมีทั้งสุรา มีทั้งเนื้อ และยังวางเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารเอาไว้ข้างกัน หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป เขาใคร่ครวญอยู่นานก็ต้องทอดถอนใจให้กับฝีมือเทพเซียนของผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้าไพศาล รวมไปถึงวัตถุวิเศษของฟ้าดินแห่งนี้ที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
ขยับไปอีกหน่อยก็คือห้องของจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ เขากำลังยืนเอาสองมือไพล่หลัง ค้อมเอวเดินวนรอบโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า
หลูป๋ายเซี่ยงยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องตัวเอง ทอดสายตาไปไกล ตรงเอวห้อยดาบแคบหยุดหิมะที่เฉินผิงอันมอบให้เขาไว้ชั่วคราว ว่ากันว่านี่เป็นของชิ้นหนึ่งของเซียนดินก่อกำเนิดที่ตายไป ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ศาสตราวุธทั้งหลายในบ้านเกิดของเขาจะเทียบเคียงได้เลย
สุยโย่วเปียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เข้าฌานทำสมาธิ วางกระบี่บินชือซินไว้บนโต๊ะ
เฉินผิงอันหยิบม้วนภาพวาดอันหนึ่งที่ว่างเปล่าออกมา นึกถึงจิตสังหารที่ผุดวาบขึ้นมาในคืนนั้นก็ยิ้มขื่นอย่างอดไม่ได้
ใจที่คิดร้ายต่อผู้อื่นไม่ควรมี ใจที่คิดป้องกันคนอื่นไม่ควรขาด
ยามสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันลงไปกินข้าวเย็นข้างล่าง คนในภาพวาดสี่คนที่อยู่ชั้นบน มีแค่จูเหลี่ยนที่ทำตัวสนิทสนมมานั่งโต๊ะเดียวกับเฉินผิงอัน อีกทั้งยังช่วยรินเหล้าให้ด้วย พวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคนไม่ได้ออกมาจากห้อง ส่วนเผยเฉียนก็อยู่ในห้องตลอดเวลา ไม่มีความเคลื่อนไหว เฉินผิงอันออกจากโรงเตี๊ยมไปเพียงลำพัง เดินเลียบทางหลวงไปยังเมืองหูเอ๋อร์ช้าๆ
เดินอยู่บนทางดินเหลืองที่เป็นหลุมเป็นบ่อไม่ราบเรียบ เฉินผิงอันมองไปทางทิศตะวันตกแวบหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับโรงเตี๊ยม
เขากับคนกลุ่มหนึ่งมาถึงนอกโรงเตี๊ยมแทบจะเวลาเดียวกัน อีกฝ่ายก็คือเจ้าประมุขสกุลเหยาที่ยังได้รับบาดเจ็บ แม่ทัพใหญ่เหยาเจิ้น เขาพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ตอนนั้นก็เป็นหนึ่งในคนที่ตกอยู่ในวงล้อมสังหารมาด้วย นอกจากนี้ก็มีเหยาหลิ่งจือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ที่ผ่านคลื่นมรสุมในโรงเตี๊ยมมากับตัว รวมไปถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมหน้า ด้านหลังคนเหล่านี้มีทหารม้าห้าหกนาย ไม่ใช่กองทหารม้าชายแดนของตระกูลเหยา แต่เป็นผู้ฝึกตนที่ติดตามกองทัพซึ่งไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อเกราะ คนบนภูเขาที่เข้าร่วมกองทัพเหล่านี้ หากอยู่ที่ต้าหลีน่าจะถูกเรียกว่าเลขาธิการฝ่ายบู๊
พอเห็นเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียว แม่ทัพผู้เฒ่าที่สีหน้าอิดโรย แต่ยังยืนกรานจะมาเยือนโรงเตี๊ยมด้วยตัวเองก็รีบลงจากหลังม้า เดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน กุมมือคารวะพลางกล่าวว่า “สองครั้งที่ผู้ผดุงคุณธรรมให้ความช่วยเหลือ สกุลเหยาของข้าซาบซึ้งยิ่งนัก! วันนี้มาพบผู้มีพระคุณ ขอท่านโปรดรับการคารวะจากข้าเหยาเจิ้น!”
ผู้เฒ่าพูดจบก็โค้งตัวลงต่ำให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันได้แต่รั้งแขนของผู้เฒ่าเอาไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายทำท่าคารวะที่ยิ่งใหญ่นี้
เพียงแต่ว่าแม้จะห้ามปรามเหยาเจิ้นไว้ได้ แต่ลูกหลานสกุลเหยาคนอื่นๆ รวมไปถึงผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับคนสกุลเหยากลับก้มลงคารวะเขาอย่างพร้อมเพรียงกันแล้ว
ผู้เฒ่าหน้าซีดขาว ใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพมานานทำให้เขามีนิสัยตรงไปตรงมา จึงถามเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ไม่ทราบว่าต้องการให้ตระกูลเหยาของข้าตอบแทนเช่นไร?”
เห็นเฉินผิงอันไม่พูดไม่จา ผู้เฒ่าก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “หาใช่ดูแคลนน้ำใจและความมีคุณธรรมของคุณชายไม่ แต่บุญคุณยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากสกุลเหยาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พวกเราก็คงไม่มีหน้าชูธงที่ด้านบนมีอักษรคำว่าเหยาไว้เหนือกองทัพชายแดนตระกูลเหยาอีกต่อไปแล้ว”
เฉินผิงอันจึงถามอย่างไม่เกรงใจ “แม่ทัพผู้เฒ่ามีวิธีช่วยให้ข้าหลบเลี่ยงหูตาของราชสำนักต้าเฉวียนจนกระทั่งเดินทางไปถึงยอดเขาเทียนแชวของชายแดนทางเหนือหรือไม่?”
เหยาเจิ้นถาม “กลุ่มของผู้มีพระคุณมีกันทั้งหมดกี่คน?”
เดิมทีเฉินผิงอันอยากตอบว่าหกคน แต่พอคำพูดมารอตรงปากแล้วก็รีบเปลี่ยนใหม่ว่า “ห้าคน”
เหยาเจิ้นทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้ารับ “ได้! หากผู้มีพระคุณเชื่อใจสกุลเหยาก็รออยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน หลังจบเรื่องจะต้องทำให้กลุ่มของผู้มีพระคุณทั้งห้าไปถึงยอดเขาเทียนแชวทางทิศเหนือได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”
เฉินผิงอันถาม “จะสร้างปัญหาให้พวกท่านหรือไม่?”
เหยาเจิ้นหัวเราะเสียงดังกังวาน “ปัญหาใหญ่เทียมฟ้ายังผ่านมันไปได้แล้ว ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่จะเป็นปัญหาได้อีกแล้ว”
ตอนที่แม่ทัพผู้เฒ่าพูดประโยคนี้ เขารู้สึกเบาสบายไปทั้งร่าง แม้ว่าบาดแผลจะสาหัส ขี่ม้ากระเด้งกระดอนมาตลอดทางก็ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ แต่ระหว่างที่พูดคุยกันนี้ เขากลับรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
เพียงแต่ว่าทุกคนที่อยู่ด้านหลังเหยาเจิ้นกลับมีสีหน้าหนักอึ้ง แฝงไว้ด้วยความไม่ยินยอมอย่างเข้มข้น
—–