กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 341.1 ตวัดพู่กันมีเทพช่วย
เฉินผิงอันนอนลงบนเตียง ฝันประหลาดนั้นคอยวนเวียนรบกวนจิตใจไม่จางหาย
คราวก่อนเขาอ่านหนังสือในความฝันตอนอยู่บนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา ไม่รู้ว่าคราวนี้จะมีความหมายที่ลึกซึ้งอะไรอีก หรือนี่จะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น เป็นตนที่สงสัยขี้ระแวงมากไป?
เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง ในเมื่อนอนไม่หลับแล้ว เขาเลยลุกขึ้นมานั่งข้างโต๊ะแล้วเริ่มนับทรัพย์สมบัติของตัวเอง
ตอนกลางวันจิ่วเหนียงเอาข่าวที่แน่ชัดมาบอกให้รู้ว่า พรุ่งนี้ยามเช้าตรู่ ขบวนเดินทางสู่เมืองหลวงของตระกูลเหยาจะผ่านเมืองหูเอ๋อร์ ถึงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายเดินทางไปยังเมืองเซิ่นจิ่งด้วยกัน จากนั้นจะแยกทางกันที่ท่าเรือแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงของเมืองหลวง กลุ่มของเฉินผิงอันจะเดินทางขึ้นเหนือต่อ เพื่อเข้าไปยังแถบภูเขาเทียนแชว แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นจัดหาสถานะไว้ให้พวกเขาสองแบบ การเดินทางล่างภูเขาในช่วงท้ายต่อจากนั้นก็จะราบรื่นไร้อุปสรรคเช่นกัน
เฉินผิงอันจุดตะเกียง วางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้บนโต๊ะ กระบี่บินสืออู่พุ่งออกมา เฉินผิงอันหยิบชุดคลุมอาคมจินหลี่ออกมาด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ทั้งเสียดายที่วัตถุของเซียนนอกมหาสมุทรชิ้นนี้ถูกทำลาย ยิ่งเสียดายเงินเหรียญหนึ่งที่ใช้ซ่อมแซมจินหลี่ เงินฝนธัญพืชถูกใช้ไปหมดแล้ว แล้วก็ไม่ใช่เงินร้อนน้อย ยิ่งไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะ แต่เป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งในถุงเล็กที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้เป็นค่าตอบแทนเฉินผิงอันตอนอยู่นครมังกรเฒ่า
เฉินผิงอันลูบคลำชุดคลุมอาคมที่พับอย่างเป็นระเบียบแล้วถอนหายใจ
มิน่าเล่าคนถึงได้พูดกันว่าการฝึกตนคืองานที่ต้องกินภูเขาเงินภูเขาทอง ใครก็อย่าหวังจะพูดได้ว่าตัวเองมีเงินมากมายจนใช้ไม่หมด
แต่อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ไพล่นึกไปถึงหลิวโยวโจวแห่งจวนหยวนโหรวของภูเขาห้อยหัว คาดว่าคนวัยเดียวกันที่บิดาคือเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปผู้นี้ต่างหากที่มีคุณสมบัติพูดว่าตัวเองมีเงินมากจนเป็นทุกข์
จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบเงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงนั้นออกมาเทลงบนโต๊ะเบาๆ เงินเหรียญแล้วเหรียญเล่าทับซ้อนกันเป็นหอเรือนเล็กๆ สูงไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ หอเรือนนี้เล็กไปหน่อย เตี้ยไปหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาคงดีใจมากกว่านี้
เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่มีมูลค่าควรเมืองเหล่านี้ ไม่มีเงินก้งหย่างและเงินอิ๋งชุนแม้แต่เหรียญเดียว แต่เป็นเงินยาเซิ่งแบบเดียวกันทั้งหมด ด้านหน้าและด้านหลังแบ่งแยกกันสลักคำว่า ‘แคล้วคลาดปลอดภัย’ ‘ร่มเย็นเป็นสุข’ ตัวอักษรที่ใช้ไม่เหมือนกับเงินยาเซิ่งที่เฉินผิงอันเคยสัมผัสครั้งแรกตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู คิดดูแล้วการสร้างเหรียญเงินทุกๆ หกสิบปีคงมีการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่เฉินผิงอันอยู่ภูเขาห้อยหัว เขาเคยเรียนวิชาหล่อหลอมวัตถุที่มองดูเหมือนตื้นเขิน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นวิธีดั้งเดิมที่ถูกต้องที่สุดมาจากบุรุษกอดกระบี่ ก่อนหน้านี้ตอนที่หลอมเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญนั้นใช้เวลาแค่หนึ่งถ้วยชา (ประมาณ 10 นาทีหรือ 14.4 นาที) เส้นใยแนวตั้งแนวนอนบนชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เต็มไปด้วยรอยฉีกขาดเสียหายก็เหมือนกิ่งหลิ่วแตกหน่ออย่างมีชีวิตชีวา มหัศจรรย์อย่างยิ่ง
เฉินผิงอันคาดการณ์ว่าอย่างมากที่สุดเสื้อคลุมตัวนี้ต้องใช้เวลาสิบวันถึงจะสามารถกลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้ และยังมีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีอย่างหนึ่งเกิดขึ้น นั่นคือเฉินผิงอันค้นพบว่าลักษณะของมังกรทองหลายตัวที่อยู่บนชุดคลุมอาคมแปลกไปจากเดิม ก่อนหน้านี้แสงสีทองของไข่มุกเม็ดที่มังกรขนดตัวนั้นคาบเอาไว้และดวงตาของมังกรทองตัวเล็กสองตัวล้วนไม่เด่นชัดเท่าไหร่ แต่พอ ‘กิน’ เหรียญทองแดงแก่นทองเข้าไปเป็นอาหารก็เหมือนการแต้มนัยน์ตามังกร โดยเฉพาะปราณวิญญาณในไข่มุกสีทองเม็ดนั้นที่คล้ายจะเข้มข้นดุจน้ำ
การค้นพบนี้ทำให้เฉินผิงอันที่ไม่เคยยึดติดกับสมบัติอาคมหรือของวิเศษบนโลกก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้ เพราะระดับขั้นของชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้กำลังเพิ่มพูนเหมือนขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของพวกเว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยน ควรรู้ไว้ว่าเหนือสมบัติอาคมคืออะไร? อาวุธเซียน! ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปสั่งสมทรัพย์สมบัติมานานนับพันปีก็ยังไม่เคยได้ครอบครองอาวุธเซียนที่แท้จริงมาก่อนแม้แต่ชิ้นเดียว
แต่เฉินผิงอันไม่ได้คาดหวังว่าจินหลี่จะต้องกลายเป็นชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นเทียบเท่ากับอาวุธเซียน ถึงอย่างไรก็มีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจำเป็นต้องใช้เหรียญทองแดงแก่นทองกี่เหรียญ อีกอย่างตอนนี้ถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่เหลืออยู่แล้ว จึงมีความเป็นไปได้มากว่าเหรียญทองแดงแก่นทองทั้งสามชนิดจะหายสาบสูญ ไม่มีปรากฏบนโลกอีกนับแต่นี้
ต่อให้โชคดีสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะได้สำเร็จก็ยังต้องหล่อหลอมสมบัติอาคมห้าธาตุอีกห้าชิ้น ใช้สี่คำว่ายากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์มาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าสำหรับเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงก็ถือว่ายังดี ก็แค่ฝึกหมัดครบหนึ่งล้านหมัดแล้วค่อยฝึกอีกหนึ่งล้านหมัดเท่านั้น ขอแค่มองเห็นเส้นทางใต้ฝ่าเท้าที่เดินไป รู้ว่าก้าวต่อไปของตัวเองควรจะขยับไปทางไหนก็พอแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าต้องไปไกลแค่ไหน เดินไปได้ยากเท่าไหร่ เขาไม่คิดถึงมันให้วุ่นวาย
เฉินผิงอันหยิบสิ่งของบางส่วนที่เก็บไว้นานแล้วออกมา
หัวใจบุ๋นสีทองที่เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินมอบให้ เศษชิ้นส่วนร่างทองที่เหลือทิ้งไว้ในโลกมนุษย์หลังจากร่างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มอดม้วย
แผ่นไม้ไผ่สีเขียวขจีที่มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาชิงเสินหนึ่งกอง ซึ่งเกินครึ่งถูกเฉินผิงอันเอามาสลักบทกลอนและถ้อยคำไพเราะไว้จนเต็ม
หินดีงูก้อนที่นักพรตหญิงเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพมอบให้เขา
สุดท้ายเฉินผิงอันหยิบตราประทับตัวอักษรคำว่าน้ำที่อาจารย์ฉีแกะสลักด้วยตัวเองออกมาวางลงตรงกลางโต๊ะเบาๆ เฉินผิงอันฟุบตัวนอนคว่ำ สุภาษิตบอกว่าน้ำและภูเขาไม่แยกจากกัน ตราประทับอักษรภูเขาถูกทำลายในร่องน้ำเจียวหลง ตราประทับอักษรน้ำจึงดูโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
เฉินผิงอันนั่งเหม่อ ความคิดหนึ่งพลันบังเกิดขึ้นมา นั่นคือระหว่างที่เดินทางจะหาโอกาสซื้อปิ่นหยกสีขาวสักอัน ต่อให้วัสดุจะธรรมดาก็ไม่เป็นไร หลังจากแกะสลักตัวอักษรแปดคำนั้นลงไปแล้วก็สามารถเอามาปักมวยผม ไม่ใช่เพื่อโอ้อวดอะไร แค่เพราะเขารู้สึกว่าการแต่งกายของตัวเองในทุกวันนี้ แม้ว่าจะไม่ได้สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ต้องสวมชุดคลุมยาวสีเขียวปักปิ่นหยกอยู่ดี แม้ไม่ใช่บัณฑิต แต่ก็ลองแต่งกายให้คล้ายบัณฑิตดูได้ ถ้าอย่างนั้นเมื่อกลับไปถึงแจกันสมบัติทวีป ไปหาพวกหลี่เป่าผิงที่สำนักศึกษาซานหยาก็ไม่ต้องกังวลใจอีกแล้วว่าจะทำให้พวกเขาถูกเพื่อนร่วมชั้นดูแคลน
อ่านหนังสือมามากมาย ได้เห็นหลักการอริยะปราชญ์มาหลากหลาย แต่เฉินผิงอันก็ยังคงชอบอักษรแปดตัวนั้นมากที่สุดอยู่ดี
หวนคำนึงถึงวิญญูชน ผู้อ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยก
เพียงแต่พอคิดถึงวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่ปูผ้านอนบนพื้นในโรงเตี๊ยม เฉินผิงอันก็เริ่มสงสัยใคร่รู้ว่าสำนักศึกษาต้าฝูเป็นอย่างไร หากไม่ใช่เพราะไม่สะดวกให้เดินทางล่าช้าอยู่ในใบถงทวีป เฉินผิงอันก็อยากจะไปเยือนสำนักศึกษาต้าฝูสักครั้งจริงๆ
เฉินผิงอันเก็บของทั้งหมดกลับเข้าไปในวัตถุฟางชุ่นทีละชิ้น
ตอนนั้นเพื่อสะสางบัญชีเก่าใหม่ทั้งสองครั้งให้สะอาดเอี่ยม นอกจากเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงแล้ว เจิ้งต้าเฟิงยังมอบวัตถุจื่อชื่อในตำนานชิ้นหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน คือป้ายหยกแผ่นหนึ่ง ไม่มีตัวอักษรใดสลักไว้ เรียบง่ายแต่งดงามอย่างถึงที่สุด
เพียงแต่เฉินผิงอันเคยชินกับการสื่อสารกับกระบี่บินสืออู่ อีกทั้งเวลาใช้ก็คล่องมือ จึงไม่เคยแตะต้องวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้น ของล้ำค่าที่แม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดก็อาจจะไม่มีในครอบครองกลับถูกเฉินผิงอันเก็บซ่อนไว้แบบนี้
‘ซีเยว่’ เสื้อเกราะน้ำค้างหวานนำไปมอบให้เว่ยเซี่ยนใช้ชั่วคราว ดาบแคบหยุดหิมะก็ห้อยอยู่ที่เอวของหลูป๋ายเซี่ยง กระบี่ชือซินถูกสุยโย่วเปียนสะพายไว้ข้างหลัง
เชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ทำมาจากหนวดของเจียวเฒ่า หากไม่เป็นเพราะสีสันสะดุดตาเกินไป ไม่ว่าจะใช้กับจินหลี่ที่เวลาปกติเป็นสีขาวหิมะ หรือใช้กับชุดคลุมยาวสีเขียวที่ซื้อมาจากร้านค้าข้างทางก็ล้วนไม่เหมาะ ไม่อย่างนั้นก็สามารถเอามาใช้เป็นเข็มขัดรัดเอวได้
เก็บทรัพย์สมบัติมากมายไปแล้ว อารมณ์ของเฉินผิงอันก็ผ่อนคลาย สิ่งใดที่ช่วยคลายความกังวลให้เขาได้? มีเพียงเงินและสุราเท่านั้น
ลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดหน้าต่าง พลันสัมผัสได้ว่าเผยเฉียนที่อยู่ห้องติดกันไม่มีความเคลื่อนไหว ผนังห้องของโรงเตี๊ยมเก็บเสียงได้ไม่ดีนัก เวลาที่เด็กหญิงนอนหลับมักจะส่งเสียงกรนเบาๆ เสมอ เฉินผิงอันนึกว่าเผยเฉียนทำเหมือนเมื่อก่อนคือพอตกกลางคืนก็กลายเป็นหนู แอบไปขโมยของกินในห้องครัว เพียงแต่หลังจากรอมาหนึ่งก้านธูปกลับได้ยินเสียงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเปิดและปิดลง เฉินผิงอันดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้ง ไฟในตะเกียงก็มอดดับ เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงเผยเฉียนเดินขึ้นมาชั้นบน
รอจนห้องข้างๆ ปิดประตูลงแล้ว เฉินผิงอันถึงสงบใจลงได้ จุดตะเกียงใหม่อีกครั้ง หยิบหนังสือสามเล่มออกมาเปิดอ่าน
‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ ที่ถือว่ายืมกู้ช่านมาอ่าน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้
ตอนนี้บทความทั้งหลายในตำรา เฉินผิงอันล้วนท่องจำได้ขึ้นใจแล้ว เพียงแต่ว่านอกจาก ‘เชียนชิว’ นอนนิ่งของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาที่เริ่มฝึกในช่วงนี้แล้ว เรื่องการเขียนยันต์และการฝึกวิชากระบี่ เมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่จะจับผลัดจับผลูเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัวก็แทบจะไม่มีความก้าวหน้า เพราะไม่อาจแบ่งสมาธิไปสนใจได้จริงๆ เฉินผิงอันเชื่อว่าหลังจากนี้น่าจะเริ่มทดลองขยับพู่กันวาดยันต์ตาม ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่มีระดับสูงกว่ายันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเล็กน้อยได้แล้ว ถ้ามีโอกาสคงสามารถวาดได้รวดเดียวเสร็จ
เฉินผิงอันอ่านหนังสือทั้งคืนจนถึงตอนเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ได้ยินเสียงแสกสากเบาๆ จากห้องด้านข้าง ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็มีเสียงเคาะประตูดังมา เฉินผิงอันเก็บตำราทั้งสามเล่ม ลุกขึ้นไปเปิดประตู ผลคือเห็นเผยเฉียนที่แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง อีกทั้งยังสะพายห่อสัมภาระมาด้วย ในมือนางถือไม้เท้าเดินป่า เงยหน้ายิ้มกว้างถามเขาว่า “พวกเราจะออกเดินทางไปเมืองเซิ่นจิ่งเมื่อไหร่?”
เฉินผิงอันถาม “บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม?”
รอยยิ้มของเผยเฉียนยังคงไม่แปรเปลี่ยน แกล้งโง่พูดต่อว่า “จะให้ข้าไปเรียกเจ้าเป๋น้อยลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้พวกเราไหม? กินข้าวอิ่มแล้วค่อยเดินทางจึงจะดี ได้ยินว่าเมืองหูเอ๋อร์ห่างจากเมืองหลวงต้าเฉวียนไปตั้งสองสามพันลี้ ไกลมากเลยนะ”
เฉินผิงอันกำลังจะพูด บัณฑิตตกอับที่กำลังอ้าปากหาวกลับมาปรากฏตัวตรงปากบันได เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสอง จงขุยตบท้ายทอยเผยเฉียนหนึ่งที ถามเฉินผิงอันทั้งที่ยังสะลึมสะลือ “คนตระกูลเหยามาเช้าขนาดนี้เชียวหรือ? เหยาเจิ้นอยากเป็นเจ้ากรมกลาโหมขนาดนั้นเลยหรือไง”
เผยเฉียนที่อยู่ดีๆ ก็โดนตบอย่างไร้เหตุผลโมโหเดือด ยกไม้เท้าขึ้นมาเตรียมจะฟาดเข้าที่เอวของจงขุย แต่พอชำเลืองตาไปเห็นเฉินผิงอันก็รีบหยุดการกระทำลง ก้มหน้าบ่นเบาๆ “ในตำราว่าไว้ วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ เจ้าเป็นบัณฑิตได้อย่างไร สมควรแล้วที่จิ่วเหนียงไม่ชายตาแลเจ้า เจ้าเป๋น้อยพูดไม่ผิดเลย ใต้หล้านี้ก็มีแต่บัณฑิตยากจนอย่างพวกเจ้านี่แหละที่น่ารังเกียจที่สุด”
จงขุยไม่สนใจเสียงบ่นจากเด็กหญิง เอาฝ่ามือข้างหนึ่งกดหัวเผยเฉียนเอาไว้ พูดยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าพานางไปด้วยเถอะ ข้าไม่อยากทะเลาะกับนังหนูนี่ทุกวันหรอกนะ เสียสุขภาพจิตเกินไป เกรงว่าแม้แต่เหล้าบ๊วยก็คงไร้รสชาติ อีกอย่างเมืองหูเอ๋อร์ก็ไม่ค่อยสงบสุขนัก เจ้าทิ้งนางไว้ที่นี่จะผิดต่อความตั้งใจเดิมของตัวเองเอาได้””
เผยเฉียนรีบขยับตัวยืนให้ดี ยืดอกตั้ง ตามองจมูก จมูกมองใจ พยายามทำให้ตัวเองดูเรียบร้อยว่าง่ายที่สุด
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบทันที “ขอข้าคิดดูก่อน”
จงขุยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ควรต้องคิดดูให้ดีจริงๆ นั่นแหละ”
เฉินผิงอันเดินลงจากชั้นสองแล้วออกไปเดินเล่นข้างนอก จงขุยเพิ่งจะเปิดประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม พวกจิ่วเหนียงสามคนก็ตื่นกันแล้ว แต่ละคนเริ่มลงมือเตรียมอาหารเช้า
คนสี่คนซึ่งรวมถึงจูเหลี่ยนเปิดประตูห้องบนชั้นสองออกมาแทบจะเวลาเดียวกัน
ทันใดนั้นบรรยากาศก็พลันครึกครื้น
ตอนที่เผยเฉียนเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับจงขุย นางแอบกระตุกชายแขนเสื้อเขา รอจนเขาหันหน้ามาแล้ว เผยเฉียนถึงกล่าวเสียงอ่อยว่า “เดี๋ยวข้าจะไปพูดถึงเจ้ากับจิ่วเหนียงดีๆ บ้าง”
นี่เรียกว่าเขามอบผลท้อให้เรา เราตอบแทนกลับคืนด้วยผลหลีสินะ?
จงขุยชูนิ้วโป้งให้นาง “มีคุณธรรม!”
เฉินผิงอันเดินเตร็ดเตร่ไปได้หลายลี้ ทั้งไปและกลับต่างก็ใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวเดินไปบนถนนทางหลวงอย่างเชื่องช้า ทั้งสีหน้าและจิตใจล้วนปลอดโปร่งแจ่มใส
เขาหันไปมองเค้าโครงของเมืองหูเอ๋อร์ที่เห็นอยู่ไกลๆ อยู่หลายครั้ง
เฉินผิงอันเกือบจะข่มใจไม่ไหว อยากจะหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นออกมา ซึ่งก็คือยันต์ปราณหยางส่องไฟเพียงหนึ่งเดียวที่เขียนด้วยกระดาษยันต์สีทอง เพื่อเอามาตรวจสอบดูว่าที่เมืองหูเอ๋อร์แห่งนั้นมีเทพเจ้าท่านใดซุกซ่อนตัวอยู่กันแน่ หากเป็นฝีมือของปีศาจตบะแก่กล้า ยันต์ปราณหยางส่องไฟธรรมดาอาจไม่สามารถทำให้มันปราฎตัวได้ แต่การที่มีวิญญูชนจากสำนักศึกษาต้าฝูมาเฝ้าอยู่ที่นี่ แสดงว่าต้องไม่ใช่ ‘ปีศาจใหญ่ขอบเขตห้า’ อย่างในแคว้นไฉ่อีแน่นอน
เพียงแต่ว่าความคิดนี้เพิ่งจะบังเกิดขึ้นก็ถูกเฉินผิงอันล้มเลิกไปอย่างรวดเร็ว หากเรียกยันต์ปราณหยางส่องไฟสีทองแผ่นนั้นออกมา แล้วถ้ามีปีศาจใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหูเอ๋อร์จริง การเผาไหม้ของยันต์เป็นทั้งการบอกเตือน ขณะเดียวกันก็เป็นการท้าทายอย่างหนึ่ง เฉินผิงอันต้องกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเท่านั้นถึงจะหาปัญหาใส่ตัว อีกอย่างกระดาษยันต์สีทองแผ่นหนึ่งเป็นของหายาก ทุกวันนี้ใช้หมดไปแผ่นหนึ่งก็น้อยลงแผ่นหนึ่ง ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องล้างผลาญแบบนั้น
พอเฉินผิงอันกลับไปถึงโรงเตี๊ยม นั่งลงบนธรณีประตู เขาก็รู้สึกปวดหัวเพิ่มกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
—–